เที่ยวต่างแดน
เที่ยวพม่า
เที่ยวเอง
บันทึกท่องเที่ยว
บันทึกเที่ยวพม่า
นั่งรถไฟฉึกฉักเอื่อยๆ ไปใช้ชีวิตสบายๆที่เมือง สีป้อ (Hsipaw)
22.3.59
เราอยากไปถึงสถานีรถไฟตอนตี
3 จึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้
ตี 2.30 ห้องนอนของ act
star เกสเฮาสต์ที่เราเข้าพัก
เป็นแบบเตียงรวม 2 ชั้น
(หญิงล้วน) เราได้นอนเตียงด้านบน เรานอนไม่ค่อยหลับเลยเพราะกังวลเรื่องเงินที่เบิกมาเกิน
อีกทั้งกลัวการนอนหลับเพลินไม่ตื่นตามที่ตั้งไว้
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการกลัวการหลับเพลินทำให้ไม่ค่อยได้นอน
แล้วมาหลับเอาช่วงเที่ยงคืนนั้นจะไม่ทำให้เราตื่นผิดเวลาหรือยังไง
เพราะหลับๆตื่นๆตลอดเวลา เราก็เลยตื่นไม่ผิดเวลานั่นนี่แหละ
ดีที่เราเก็บเสื้อผ้าสัมภาระลงกระเป๋าหมดเรียบร้อยแล้ว
เราใส่ชุดนอนเป็นชุดเดียวกับที่เราจะใส่เดินทาง
ก็เพราะตั้งใจว่าแค่ล้างหน้าแปรงฟันก็ออกเดินทางได้เลย … เยี่ยม !! ยังไม่มีใครตื่น
มีแค่เรา (ใครจะตื่นตอนตี 2ครึ่งกันล่ะ) ตั้งใจจะย่องออกจากที่พักโดยไม่ทำให้ใครตื่น
แต่พนักงานเกสเฮาสต์ต้องตื่นมาเปิดประตูให้เราซะงั้น
ริมถนนที่จะเดินไปยังสถานีรถไฟ
มีพี่ใหญ่พี่เล็กคุมเต็มไปหมด (หมาใหญ่หมาน้อย) รู้สึกกลัวพิลึก
เพราะบริเวณนั้นมืดมาก มีคนขับมอเตอร์ไซค์ผ่านบ้างประปราย แอบกลัวในระดับปานกลาง ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเดินในความมืดผ่านดงพี่ใหญ่พี่เล็กแบบนี้
ไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วยสินะว่ามาเที่ยวพม่า นึกในใจถ้าโดนหมากัดจะทำยังไงเนี่ย
เราถึงช่องขายตั๋วเวลาตี
3 เป๊ะมาก
มีหนุ่มๆชาวพม่า(หรือเปล่า) ต่อคิวซื้อตั๋วอยู่เรายืนรอพร้อมกับถูกสายตาหนุ่มๆมองตลอดเวลาไม่ทราบด้วยเหตุอันใดก็เลยยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
คุณคนขายตั๋วเป็นคนเดียวกับที่เราเจอเมื่อวาน เขาจำเราได้ก็เลยไม่ต้องพูดอะไรมากพอเสร็จธุระกับหนุ่มๆกลุ่มที่มาก่อนเราก็พาเราเข้าไปซื้อตั๋วอีกที่ เจ้าหน้าที่ขอหมายเลขพาสปอร์ตไปจดลงสมุดไว้
ค่าโดยสารจากเมืองมัณฑเลย์ไปเมืองสีป้อนั้นราคาเพียง 3,300 จั๊ตเท่านั้น ก่อนหน้านี้เราเข้าใจว่าราคาอยู่ที่
6ดอลล่า
แต่ว่าราคาเปลี่ยนแล้วเป็นราคาเท่ากับคนพม่าเลย โดยที่นั่งเราเลือกซื้อแบบ Upper
class ซึ่งเป็นที่นั่งแบบเบาะนิ่มๆเอนตัวได้แบบนั่งคู่กัน
ถ้าแบบ Ordinary class จะเป็นแบบเบาะไม้แข็งๆนั่งหันหน้าเข้าหากัน
ระยะทางจากต้นทางไปสีป้อ ก็ราวๆ 12 ชั่วโมง ก็ออกเดินทางตี 4 ถึง 14.55 น.
(แน่นอนว่างานนี้มีช้ากว่าเวลา)
ก่อนไปเราก็รู้แค่ว่าเป็นเมืองเจ้าฟ้านั่นแหละ
ไม่ได้รู้อะไรละเอียดมากคิดแค่อยากนั่งรถไฟเล่นๆ นอนเล่นๆ ดูภูเขาดูบ้านเมือง แล้วก็อยากหาที่เดินป่าเพื่อซ้อมก่อนไปปีนเขาคินาบาลูในอาทิตย์ต่อไปก็เท่านั้นเอง !!
นั่งเรื่อยเปื่อยฟังเพลง… เพลงไม่ได้เรื่อยเปื่อยเพราะฟังอยู่แค่ 4หรือ5เพลงก็เท่านั้นแหละ เราชอบที่จะฟังเพลงเดิมๆซ้ำๆกันไปยิ่งในบางช่วงแล้วเราอาจจะเลือกฟังเพลงเดียวนานเป็นอาทิตย์ถึงเดือน เหมือนช่วงนึงตอนสมัยทำงานในคลื่นวิทยุ ช่วงเช้าที่เรามีอิสระในการเลือกเพลงเราเปิด Disco 2000 ของวง plup จนรุ่นพี่ที่ทำงานนึกว่าเราตั้งโปรแกรมให้เพลงนี้เล่นอัตโนมัติในเวลาเดียวกันทุกวันหรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เราแค่เปิดมันเองทุกวัน
หลังจากที่รถไฟเทียบชานชลาสถานี พินอูลวิน ก็เห็นผู้คนมากมายใส่เสื้อกันหนาวสีสันสดใส นักท่องเที่ยวที่อยู่บนขบวนบ้างก็ถ่ายรูปบนรถไฟบ้างก็ลงไปเดินถ่ายรูปเล่นด้านล่าง เราก็คิดในใจนี่อากาศมันหนาวถึงขนาดต้องใส่เสื้อกันหนาวเลยหรือเนี่ย พลางลองยื่นมือออกไปที่หน้าต่างรถไฟ …”ก็ไม่ได้เย็นอะไรสักหน่อย” เราก็คิดแบบนั้นแหละ ถึงแม้ว่าตัวเองจะใส่เสื้อกันลมอยู่ก็เถอะ รถไฟแล่นต่อไปเรื่อยๆจอดตามสถานีต่างๆที่มีทั้งเขียนภาษาอังกฤษกำกับไว้ที่ป้ายหรือไม่มี สถานีที่มีชื่อภาษาอังกฤษกำกับไว้ก็เป็นสถานีตามทางที่นักท่องเที่ยวซื้อตั๋วมานั่นแหละ หลายครั้งที่เราเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหัวทองไม่รู้ว่าถึงสถานีเป้าหมายแล้วหรือยังก็ทำหน้าเลิกลั่กแบบ เฮ้ยมันเลยมายัง เฮ้ยมันถึงแล้วหรือยัง …
เรานั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือไม่ค่อยมีโอกาสได้มองเห็นบรรยากาศที่สถานีรถไฟเลย เพราะสถานีจะอยู่ด้านขวามือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายอะไรขนาดนั้นเพราะรถไฟจอดแต่ละสถานีนานมากจนสามารถเดินไปหาของกินได้เลยแหละ เราก็นั่งคนเดียวสลับกับเดินไปหาคุณโสภณที่หัวตู้รถเพื่อไปพูดคุยถามไถ่แล้วก็ชวนพี่แกเที่ยวสีป้อด้วยกันวันนี้ ทั้งๆที่พี่แกต้องการไปเมืองลาโชว์ (สุดสาย) ก่อนแล้วจะกลับมาเที่ยวสีป้อ
ที่พักเรามีชื่อว่า Ye Shin Guest house เราได้ที่พักแบบเตียงเดี่ยว แบบนอน 2 คนไม่มีห้องน้ำในตัวซึ่งต้องนอนคนเดียว ราคา 10 usd ถ้าแบบมีห้องน้ำในตัวก็ 13 usd ห้องน้ำรวมสะอาดใช้ได้ แยกกันกับห้องอาบน้ำ เราพยายามหาที่พักที่เป็นแบบนอนรวมแต่ก็ไม่มี ตอนแรกที่ตัดสินใจมาเมืองสีป้อเราคิดว่าเป็นเมืองที่ลึกลับมาก คนไม่ค่อยมี เป็นเมืองห่างไกลมีแต่ป่า เรานึกถึงการที่ต้องนอนคนเดียวในเมืองนั้น เราไม่ค่อยได้นอนคนเดียว เราไม่เคยนอนคนเดียวจนเมื่อปีที่แล้วตอนไปทำงานที่ญี่ปุ่น เราเป็นคนกลัวผีมาตั้งแต่เด็กๆแต่เราคิดว่าผีญี่ปุ่นคงไม่มาหลอกเราหรอกมันคนละวัฒนธรรม (ถึงเราจะคุยภาษาญี่ปุ่นได้ก็คงคิดว่าผีคงไม่กล้ามาหาก็เลยนอนคนเดียวได้ แต่ก่อนไปก็ซ้อมนอนคนเดียวก่อนด้วย) แต่พอมาเป็นแถบบ้านเราปุ๊บเรากลับกลัวการนอนคนเดียวซะงั้น แต่พอเข้าเมืองมาและมาถึงที่พัก โอ้ววววว ทุกอย่างผิดจากที่คิดหมดที่เกสเฮาต์มีชาวต่างชาติเยอะมาก (แน่ล่ะ เราก็ต่างชาติ) แถมบรรยากาศก็ครึกครื้นมาก มีร้านขายของ ธนาคาร ร้านขายมือถือ ร้านขายไก่ย่างห้าดาว ผิดไปจากที่คิดแต่ก็ไม่เยอะ ไม่มีสิ่งก่อสร้างสูงๆ
เหมือนตัวเองเป็นใบ้มาตั้งแต่ถึงประเทศพม่า วันนี้มีคนกินข้าวด้วยรู้สึกดีมากๆ คิดว่าถ้าคุณโสภณไม่ลงมาด้วยก็คงนั่งกินข้าวคนเดียวหรืออาจจะไม่กินข้าวเลย พวกเราเลือกร้านอาหารใกล้ๆที่พักเป็นร้านอาหารพม่าก่อนที่จะพากันไปสำรวจเมือง เราอยากไปดูแม่น้ำก็เลยชวนคุณโสภณให้ไปด้วย นั่งคุยเรื่องทั่วไปยืดยาวจนค่ำแล้วพากันกลับที่พัก และจากการที่คุณโสภณมาด้วยแกก็เลยชวนกินเบียร์กับชาวต่างชาติสองสามีภรรยานักโบกรถที่พักอยู่เกสเฮาสต์เดียวกัน
คุณโสภณเปิดหนังสั้นของเจ้าตัวให้ทั้งคู่ดู เป็นหนังสั้นที่เคยชนะการประกวดในเทศกาลภาพยนตร์ Bangkok Gay & Lesbian Film festival 2015 เรื่อง " Inside of Me "
จากที่เราต้องกลับมัณฑเลย์ตอนบ่ายพรุ่งนี้ซื้อตั๋วรถบัสกลับแล้วก็ถูกชวนให้อยู่ต่อ (ไม่รู้จะรีบไปทำไม) เพราะคุณเอียนจะชวนไปร้องคาราโอเกะ ! รู้สึกสนุกกับคืนนั้นมากทั้งเด็กหนุ่มในเกสเฮาสต์ที่เป็นลูกครึ่งบังกลาเทศชื่อว่า อ็องตัน ก็มาคุยด้วย เขาบอกว่าชอบดูหนังประเทศไทยมากชอบดูเรื่องพี่มากพระขโนง ชอบมาริโอ้ ! เรากับคุณโสชมว่าเขาหล่อ ดูดี อายม้วนใหญ่เลย ไหนจะลูกชายเจ้าของเกสเฮาสต์ที่แวะมาคุยด้วยก่อนนอนพร้อมชวนให้พวกเราไปดูพระอาทิตย์ตกกันในวันพรุ่งนี้ทางเกสเฮาสต์จะพาไปฟรีเนื่องจากเป็นวันวาเลนไทน์ ถ้าอยู่คนเดียวคงนอนแต่หัวค่ำแล้วแต่นี่ดันกินกันจนคนอื่นนอนหมดแล้วเสียงดังกันอยู่ 2 คน
ถึงแม้ว่าตัดสินใจอยู่ต่อและจะไปเที่ยวน้ำตก แต่เราก็ตื่นมาแบบขี้เกียจนอนกลิ้งไปมาบนเตียงที่มีผ้าห่มหนาๆม้วนอยู่ ตอนนอนรู้สึกมึนมากจนต้องเปิดไฟนอนไม่ใช่เพราะกลัวผีอย่างที่คิด แต่เพราะดื่มเบียร์ไปเยอะมากๆจึงทำให้เวลาปิดไฟจะทำให้เวียนหัว คืนนั้นเราลุกเปิดไฟและปิดไฟ 2 รอบ เราคิดว่าเราโอเคแล้วไม่เวียนหัวแล้วก็ลุกไปปิดไฟแต่สุดท้ายก็ลุกไปเปิดอีกรอบ กว่าจะได้นอนจริงๆก็ตี 1 กว่าๆ แผนที่ที่ได้มากจากเกสเฮาสต์บอกว่าเดินทาง 1 ชั่วโมง ไปกลับ 2 ชั่วโมง เรามีนัดนั่งรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เกสเฮาสต์ 4 โมงเย็น แต่เราออกเดินทางก็เที่ยงแล้ว ในใจตอนนั้นคิด โอ๊ยทันมีเวลาเดินตั้ง 3 ชั่วโมงกลับมาพักอาบน้ำได้ตั้ง 1 ชั่วโมง
เราเดินเข้ามาถึงสุสานจีนตามที่บอก รอบๆตัวเรามีแต่สุสาน น่ากลัวมากจากที่เดินฟังเพลงยังต้องเอาหูฟังออก วังเวงสุดๆ บริเวณนี้งงสุดๆ ไปทางไหนต่อไม่รู้ก็ไปถามวัยรุ่นที่ผ่านมาเขาก็บอกว่าทางนี้แหละ (ตามถนนคอนกรีต) แต่พอเราเดินตามคอนกรีตไปมองเห็นที่เผาขยะ แถมด้านขวามือทางไปสุสานต่ออีกแต่เป็นแค่พงหญ้าที่มองเห็นร่องรอยคนเดิน เราคิดว่านั่นคือทางไปต่อเราจึงเดินออกจากถนนคอนกรีตเข้าพงสุสานไปเดินไปจนสุดทางไปต่อไม่ได้ รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ถูกล้อมลอบด้วยสุสานใหญ่ๆเต็มไปหมด แต่เราก็มองเห็นฝรั่งกลุ่มที่เราเห็นตอนแรก ตอนแรกเราคิดว่าจะไปคนเดียวให้ได้ สุดท้ายเราก็รอพวกเขาเดินมาจนถึงที่ๆเรายืนรออยู่
"สวัสดีทุกคน พวกคุณกำลังไปที่น้ำตกหรือเปล่า ?"
"ใช่แล้ว แล้วคุณล่ะไปน้ำตกใช่มั้ย" ฝรั่งหนุ่มตัวสูงที่สุดและเป็นผู้เดินนำหน้ากลุ่มถามกลับ
"ใช่ ฉันกำลังไปน้ำตก แต่ไม่รู้ทางแล้ว ขอเดินไปด้วยได้มั้ย"
"ผมจะบอกว่าผมเซย์เยส" หนุ่มฝรั่งตอบกลับพร้อมหันไปบอกเพื่อนๆว่าพวกเขามีเพื่อนร่วมทางคนใหม่
(สรุปก็คือ เดินทางไปตรงที่เผาขยะนั่นแหละ)
"เฮ้ สุพัตรา" เสียงใครสักคนดังขึ้นมา
"เฮ้ สุพัตรา" เห....ทำไมมีคนพูดเรียกชื่อจริงเราจากด้านหลัง
หันหลังกลับไป
พอหันหลังไปเห็นสาวจากออสเตรียดูลุคพี่สาวเดินเอาพาสปอร์ตมาให้พร้อมกับตักเตือนนิดหน่อย แถมมีการบอกว่าจะให้ฝากไว้กับเขาหรือเปล่า ! ตกใจมาก ถ้ามาคนเดียวนี่ได้ร้องไห้แน่ดีที่ตามเขามา … เราพกกระเป๋าสะพายข้างที่ใส่ทุกอย่างไว้ในนั้นไม่ว่าจะเป็นกล้องโกรโปร หนังสือเดินทาง กล้วย ขวดน้ำ ขนมปังบิสกิต คาดว่าตอนที่หนังสือเดินทางหล่นก็คงเป็นตอนหยิบกล้องหยิบขวดน้ำนั่นแหละ
เรากับคุณโสภณและฝรั่งอีก 3 คนนั่งรถของทางเกสเฮาสต์ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่จุดชมพระอาทิตย์เรานั่งด้านหลังเหมือนเดิมเย็นสบายมากๆ ชอบเวลานั่งหลังรถแบบนี้ ฟังเพลงไปด้วย นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของวันนี้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองแต่เราก็เจอเรื่องต่างๆมากมายในดงสุสานจีน (นึกไปถึงคืนนี้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตอนนอนมั้ยนะ กลัว !)
หลังจากพากันขึ้นมาบนจุดชมวิวได้เราก็แยกไปนั่งเดี่ยวๆ คุณโสภณมาหาเพื่อมาถ่ายรูปให้เนื่องจากบ่นให้ฟังว่ามาเที่ยวคนเดียวแล้วไม่ค่อยมีรูปเลย ฮ่าๆ ก็เลยได้รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นคนไทยเหมือนกัน คุณโสภณเจอเมื่อตอนกลางวันขณะไปชมหอตะวันออก (เป็นวังของเจ้าฟ้า) แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะปิด ก็คิดว่าเมืองนี้มีคนไทยมาเยอะแต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอ แถมเจอสาวพม่าที่พูดภาษาไทยได้เก่งมากเธอเป็นไกด์อยู่ย่างกุ้ง (หน้าตาน่ารักอีกต่างหาก)
เราปิดท้ายค่ำคืนวันวาเลนไทน์ปี
2016 ด้วยความไม่เหงา
เพราะเรามีหนุ่มๆล้อบรอบตั้ง 3 คน เรากับคุณโสภณและคุณเอียนที่มีนัดไปกินเข้าด้วยกัน ได้ไปกินที่ร้านอาหารบ้านๆจากการแนะนำของคุณวิทย์ คนไทยที่เจอบนจุดชมวิว ที่บังเอิญไปเจอกันอีกรอบ ก็เลยมีสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารเพิ่มอีกคน ทั้งๆที่ตอนกลางวันตอนเดินผ่านที่เผาขยะฝุ่นฟุ้งยังคิดอยู่เลยว่าทำไมเป็นวันที่ร้อนและเหงาแบบนี้
เราได้ฟังเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับชาวไทใหญ่ รัฐฉาน เรื่องราวเจ้าฟ้า จากคุณวิทย์
ส่วนคุณโสภณดูจะถูกใจมากเพราะชอบเรื่องราวพวกนี้เป็นพิเศษ ผิดกับเราที่ไม่รู้อะไรเลยจนนั่งคิดแล้วคิดอีกว่านี่เรามาเที่ยวที่นี่โดยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ได้ไง แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เรามีคำถามแต่ก็ไม่ได้ถามเพราะคำถามเรามีเยอะไปหมดแบบจับต้นชนปลายไม่ได้ทำได้แค่จดศัพท์ที่ได้ยินจากบทสนทนามาหาต่อ
ด้วยความที่อยากสบายๆสักวัน
แบบปล่อยใจด้วยอารมณ์ให้เธอหมดเลยทั้งใจในวันนี้ เราจึงเลือกเดินทางด้วยรถไฟ (สบายตรงไหน
?)การเดินทางไปเมืองสีป้อเส้นทางรถไฟจากมัณฑะเลย์
- ลาโชว์ ( Lashio ) ที่เราไปนั้นมันก็มีอะไรพิเศษนิดนึงนอกจากนั่งมองดูวิวภูเขา
วิวสวนดอกไม้ข้างทาง ก็ยังมีจุดเด่นตรง สะพานกงเต็ก ( Gokteik Viaduct ) เป็นสะพานรถไฟที่ยาวที่สุดเก่าที่สุดของประเทศพม่า แถมสะพานรถไฟยังสูงที่สุดในอาเซียน ความสูง 102เมตร ยาว 689 เมตร เป็นผลงานการสร้างของผู้รับเหมาชาวอเมริกาสร้างเมื่อปี
ค.ศ.1901 แหมร้อยกว่าปี
(บริษัทวัตถุดิบก่อส้รางก็ปิดไปแล้ว) สะพานรถไฟที่ผ่านร้อนผ่านหนาวบนหุบเขาลึก
คืออยากถามว่านั่งแล้วไม่กลัวบ้างหรือไง ?
พูดถึงเรื่องการเดินทางของเรา หลังจากที่พนักงานในสถานีพาเราไปซื้อตั๋วเสร็จก็พาเราเดินไปส่งที่ชานชลา ตอนนั้นนอกจากเราก็ไม่เห็นนักท่องเที่ยงคนไหนเลย เราเริ่มรู้สึกกลัวกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะว่าไม่เคยไปเที่ยวคนเดียว แต่เนื่องจากเป็นการเดินทางครั้งแรกของเราในประเทศที่ยังไม่ค่อยเจริญ (ถึงจะบ่นเยอะก็เหอะว่าเมืองมัณฑเลย์เจริญมากแล้ว) เราก็กลัวไปหมดแหละ เรามายืนรอที่ชานชลาหลังจากที่เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บไว้บนที่นั่งของตัวเองแล้วบริเวณชานชลามีเจ้าหน้าที่รถไฟยืนอยู่ ยืนมึนๆยิ้มๆเจื่อนๆได้สักพักจู่ๆก็มีคนทักขึ้นมาว่า “คนไทยหรือครับ” โอ้โห้ ! หันไปตามเสียงพี่เมน้ำตาแทบไหล เจอคนไทยด้วยกันซะงั้นพี่เขาเห็นเราถือหนังสือพูดภาษาพม่า (หนังสือภาษาไทย) เราก็ทักทายกันตามปกติโดยพี่ชาวไทยมีชื่อว่าพี่โสภน แกเป็นคนที่เจ๋งมากๆอะ นั่งวิลแชร์เที่ยวพม่า ! แถมมาคนเดียว! สักพักก็เริ่มมีผู้โดยสารคนอื่นมายืนรอที่ชานชลาเหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกใจชื้นขึ้นมาแล้วนะ
ตอนที่รถไฟออกฟ้ายังมืดอยู่
ทุกคนก็เลยพากันหลับเอาแรงกันกัน นอนฟังเสียงวัวเสียงแพะที่ถูกต้อนขึ้นบนรถไฟ รถไฟวิ่งเฉื่อยมากๆ
ลมเอื่อยๆพัดเบาๆรู้สึกเย็นหูเย็นคอจนต้องหยิบเสื้อกันลมออกมาใส่
เรานั่งริมหน้าต่างถึงแม้ว่าเลขที่นั่งบนตั๋วเราจริงๆจะเป็นที่นั่งริมทางเดินก็เหอะนะ
แต่ก็ยังไม่มีใครมานั่งไงก็เลยขอยึดที่ไว้ก่อน… รู้สึกนอนไม่หลับถึงแม้ว่าเมื่อคืนจะไม่ค่อยได้นอนก็เถอะ...
นั่งเรื่อยเปื่อยฟังเพลง… เพลงไม่ได้เรื่อยเปื่อยเพราะฟังอยู่แค่ 4หรือ5เพลงก็เท่านั้นแหละ เราชอบที่จะฟังเพลงเดิมๆซ้ำๆกันไปยิ่งในบางช่วงแล้วเราอาจจะเลือกฟังเพลงเดียวนานเป็นอาทิตย์ถึงเดือน เหมือนช่วงนึงตอนสมัยทำงานในคลื่นวิทยุ ช่วงเช้าที่เรามีอิสระในการเลือกเพลงเราเปิด Disco 2000 ของวง plup จนรุ่นพี่ที่ทำงานนึกว่าเราตั้งโปรแกรมให้เพลงนี้เล่นอัตโนมัติในเวลาเดียวกันทุกวันหรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เราแค่เปิดมันเองทุกวัน
ช่วงเวลาของการนั่งรถไฟรอเวลาไปเมืองสีป้อนั้น
เพลง Disco 2000 ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ผ่านเข้าหูเราตลอดทางสลับกับเพลง
Far away ของ Nickelback
มีเพลงญี่ปุ่นปล่อยให้ลอยเข้ามาก็คือเพลง
Moon crying ของโคดะ
คุมิ และ Haruka
ของวง GreeeeeeN (หนีพ่อแม่เที่ยวทีไรต้องฟังเพลงนี้ทุกที)
ช่วงเช้าตรู่เราเลือกปล่อยอารมณ์ตัวเองให้หมกมุ่นกับเพลง Haruka แล้วน้ำตาไหลพรากให้กับการตัดสินใจออกจากงานของตัวเอง
เราไม่ได้รู้สึกเสียใจกับมัน แค่รู้สึกเสียดายเวลาให้กับการไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเองแถมการงานก็น่าเบื่อเหลือเกิน
เราเคยทำงานในสถานที่ที่เราไม่รู้สึกหวนหาความสุขอื่นๆเท่ากับตอนนี้มาก่อน
เราชอบที่จะหลับบนรถระหว่างเดินทาง ไม่จำเป็นต้องมองวิวมันตลอดทางหรอก เพราะบางห้วงเวลาที่ฝันกลางวันเล็กๆบนรถบางทีก็ดีบางทีก็ไม่ดี บางทีตัวก็กระตุก (เคยมั้ยล่ะตอนกลางวันอยู่ดีๆตัวกระตุก) แต่พอตื่นมาแล้วได้เห็นวิวที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็อมยิ้ม แล้วหลับต่อมันเหมือนเรากำลังหลับฝันดีต่ออีกช่วงนึงเลย
เราชอบที่จะหลับบนรถระหว่างเดินทาง ไม่จำเป็นต้องมองวิวมันตลอดทางหรอก เพราะบางห้วงเวลาที่ฝันกลางวันเล็กๆบนรถบางทีก็ดีบางทีก็ไม่ดี บางทีตัวก็กระตุก (เคยมั้ยล่ะตอนกลางวันอยู่ดีๆตัวกระตุก) แต่พอตื่นมาแล้วได้เห็นวิวที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็อมยิ้ม แล้วหลับต่อมันเหมือนเรากำลังหลับฝันดีต่ออีกช่วงนึงเลย
ซื้อขนมมากจากมัณฑเลย์
|
สถานีที่คนครึกครื้นมากที่สุดคือ
สถานี พินอูลวิน (Pyin ool win) เนื่องจากถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาจึงทำให้มีอากาศเย็นตลอดปี
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองนี้เคยเป็นที่ตากอากาศของคนอังกฤษ ดังนั้นเราจะสามารถเห็นสิ่งก่อสร้างสไตล์ยุโรปได้ที่เมืองนี้…
ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะมาที่นี้แทนสีป้อเพราะใช้เวลาเดินทางน้อยกว่า
แต่ว่าพอดูสถานที่ท่องเที่ยวตามรีวิวแล้วจะเป็นการเดินชมสวนดอกไม้กันซะมากกว่าเราก็เลยไม่เลือกมาที่เมืองนี้
เสียเวลาอีกหน่อยนั่งรถไฟเที่ยวจะเป็นอะไรไปเล่า
หลังจากที่รถไฟเทียบชานชลาสถานี พินอูลวิน ก็เห็นผู้คนมากมายใส่เสื้อกันหนาวสีสันสดใส นักท่องเที่ยวที่อยู่บนขบวนบ้างก็ถ่ายรูปบนรถไฟบ้างก็ลงไปเดินถ่ายรูปเล่นด้านล่าง เราก็คิดในใจนี่อากาศมันหนาวถึงขนาดต้องใส่เสื้อกันหนาวเลยหรือเนี่ย พลางลองยื่นมือออกไปที่หน้าต่างรถไฟ …”ก็ไม่ได้เย็นอะไรสักหน่อย” เราก็คิดแบบนั้นแหละ ถึงแม้ว่าตัวเองจะใส่เสื้อกันลมอยู่ก็เถอะ รถไฟแล่นต่อไปเรื่อยๆจอดตามสถานีต่างๆที่มีทั้งเขียนภาษาอังกฤษกำกับไว้ที่ป้ายหรือไม่มี สถานีที่มีชื่อภาษาอังกฤษกำกับไว้ก็เป็นสถานีตามทางที่นักท่องเที่ยวซื้อตั๋วมานั่นแหละ หลายครั้งที่เราเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหัวทองไม่รู้ว่าถึงสถานีเป้าหมายแล้วหรือยังก็ทำหน้าเลิกลั่กแบบ เฮ้ยมันเลยมายัง เฮ้ยมันถึงแล้วหรือยัง …
เรานั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือไม่ค่อยมีโอกาสได้มองเห็นบรรยากาศที่สถานีรถไฟเลย เพราะสถานีจะอยู่ด้านขวามือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายอะไรขนาดนั้นเพราะรถไฟจอดแต่ละสถานีนานมากจนสามารถเดินไปหาของกินได้เลยแหละ เราก็นั่งคนเดียวสลับกับเดินไปหาคุณโสภณที่หัวตู้รถเพื่อไปพูดคุยถามไถ่แล้วก็ชวนพี่แกเที่ยวสีป้อด้วยกันวันนี้ ทั้งๆที่พี่แกต้องการไปเมืองลาโชว์ (สุดสาย) ก่อนแล้วจะกลับมาเที่ยวสีป้อ
รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆเวลาผ่านบ้านคน
ผ่านเมือง ผ่านสวนเราจะเห็นผู้คนทำงาน เห็นเด็กๆวิ่งเล่น
แล้วเราก็รู้สึกว่าเราเป็นนางงามรักเด็ก
เพราะเราโบกมือหยอยๆตอบรับเด็กๆที่กำลังโบกมือให้ตลอดทาง
น้องบางคนโบกมือให้ทั้งๆอาการเขิน จากตอนแรกที่เราก็เขินอยู่เหมือนกันนะจะยกมือก็เขินแต่ไปๆมาก็โบกมือโต้ตอบไปอัตโนมัติ
และช่วงเวลาครึกครื้นที่สุดก็มาถึง
จนเราก็ตกใจเหมือนกันว่า จุดที่เรากำลังไปถึงนั้นมันมีชื่อเสียงขนาดนี้เลยหรอ
ก็คือตอนที่รถไฟกำลังข้ามสะพานกงเต็ก ( Gokteik Viaduct ) คนในรถไฟตื่นเต้นกันมากมีชาวต่างชาติหลายคนมาคุยกับเราเรื่องว่าจะถ่ายรูปมุมไหนดี ไปถ่ายท้ายขบวนดีมั้ยนะ ? ในตอนแรกเรามองไม่เห็นวิวอะไรเลยเพราะส่วนที่ได้เห็นคือฝั่งที่นั่งด้านขวา ก็แอบรู้สึกเสียดายที่เป็นแบบนั้น เราก็เลยไปขอคนด้านซ้ายยื่นมือออกไปถ่ายรูปบ้าง
แต่พอรู้สึกว่าเหมือนตัวเองไปแย่งวิวเขาเราก็เลยกลับมานั่งที่ของเราซึ่งตอนนั้นมีชาวต่างชาติผู้หญิงมาขอนั่งกับเรา และในตอนนั้นมีชาวพม่า
(หรือไทใหญ่) มาบอกพวกเราว่าที่นั่งพวกนี้สามารถปรับให้หันหน้าออกหน้าต่างได้ คุณผู้หญิงคนนั้นก็เลยถามเราว่า
เราโอเคมั้ยที่จะหันหน้าออกหน้าต่าง เราก็ไม่ได้ปฎิเสธ (ดีออก) !! แล้วในที่สุดฝั่งเราก็ได้เห็นวิวสะพานแบบเต็มๆหลังจากที่รถไฟตีวงเลี้ยวขวามุ่งสู่สะพานจนขาวต่างชาติที่เราเรียกว่า
“พี่เซอร์”
พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้พวกเราได้วิวที่ดีที่สุด” เราก็คิดว่าดีที่สุดจริงๆเพราะว่าเราอยู่ใกล้สะพานมากกว่าเดิม
เห็นชัดกว่าเดิม … ก่อนข้ามสะพานไปรถไฟจอดให้พวกเราได้ถ่ายรูป
อารมณ์คล้ายๆตอนนั่งรถไฟเที่ยวกาญจนบุรีแล้วจอดบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว ดีงามมากๆ
เรารู้สึกตื่นเต้นกับวิวของภูเขาที่มองออกไปตอนที่รถไฟกำลังข้ามสะพานอยู่มากกว่า
เราไม่ชะโงกหัวออกไปถ่ายรูปแต่ก็ตั้งกล้องถ่ายรูปวิวภูเขาด้านหน้าจนพี่เซอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆเราหันไปถ่ายรูปตาม
และก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากเมื่อลองมองลงไปที่ด้านล่างสะพานที่มองเห็นลำธารเล็กๆมีน้ำไหลอยู่นึกไม่ถึงเลยว่าสะพานจะสูงได้ขนาดนี้
หลังจากผ่านสะพานมาได้บรรยากาศก็เข้าสู่ความสงบเหมือนเดิม
เราหันที่นั่งกลับไปที่เดิมอีกไม่นานจะถึงเมืองสีป้อแล้ว แน่ล่ะรถไฟช้ากว่าเวลาที่กำหนดเกือบ
2 ชั่วโมงเราดูเทียบเวลาที่ควรถึงสถานี Gokteik Viaduct ก็เลยไปคุยกับคุณโสภณอีกรอบว่าจะไปลงเมืองสีป้อก่อนหรือเปล่าเพราะดูท่าจะเริ่มลังเลแล้วว่าอาจถึงเมืองลาโชว์ 5 ทุ่มแน่ๆที่พักก็ไม่ได้จองไว้
สรุปได้ว่าพวกเราจะลงด้วยกันที่สีป้อ (เย่ ได้เพื่อนแล้ว)
ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองสีป้อ
ซึ่งเป็นอีกสถานีที่ครึกครื้นมากๆคนพลุกพล่านไปหมด
เราลงรถไฟกับคุณโสภณด้วยความช่วยเหลือจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ช่วยกันยกวิวแชร์ลงมา
จากนั้นคนของเกสเฮาสต์ที่เราไปพักก็เดินมาเรียกลูกค้าซึ่งเราก็ดีใจมากนึกว่าต้องเดินหาทางไปเอง
เราจัดแจงถามห้องพักเผื่อคุณโสภณว่ามีแบบไม่ต้องขึ้นบันไดหรือเปล่า
แต่ไม่รู้ว่าเขาฟังรู้เรื่องมั้ยแต่เขาก็ตอบเราอย่างไวว่า “Ok Ok” แล้วพาพวกเราไปยังรถกระบะคันเล็กๆทั้งหมดจบในเวลาไม่ถึง
5 นาทีพวกเราอยู่บนรถแล้วกำลังมุ่งหน้าไปที่พัก
พี่พนักงานที่เข้ามาคุยกับเราถามเราที่นั่งกับเขาที่หลังกระบะว่ามาจากไหน
พอเขารู้ว่าเรามาจากประเทศไทยก็ดูตื่นเต้นแล้วบอกว่าพวกเราคุยภาษาคล้ายๆกัน แล้วยกตัวอย่างคำที่คล้ายๆกันมาคุย
เช่น กินข้าว หรือการถามไถ่ต่างๆ
ที่พักเรามีชื่อว่า Ye Shin Guest house เราได้ที่พักแบบเตียงเดี่ยว แบบนอน 2 คนไม่มีห้องน้ำในตัวซึ่งต้องนอนคนเดียว ราคา 10 usd ถ้าแบบมีห้องน้ำในตัวก็ 13 usd ห้องน้ำรวมสะอาดใช้ได้ แยกกันกับห้องอาบน้ำ เราพยายามหาที่พักที่เป็นแบบนอนรวมแต่ก็ไม่มี ตอนแรกที่ตัดสินใจมาเมืองสีป้อเราคิดว่าเป็นเมืองที่ลึกลับมาก คนไม่ค่อยมี เป็นเมืองห่างไกลมีแต่ป่า เรานึกถึงการที่ต้องนอนคนเดียวในเมืองนั้น เราไม่ค่อยได้นอนคนเดียว เราไม่เคยนอนคนเดียวจนเมื่อปีที่แล้วตอนไปทำงานที่ญี่ปุ่น เราเป็นคนกลัวผีมาตั้งแต่เด็กๆแต่เราคิดว่าผีญี่ปุ่นคงไม่มาหลอกเราหรอกมันคนละวัฒนธรรม (ถึงเราจะคุยภาษาญี่ปุ่นได้ก็คงคิดว่าผีคงไม่กล้ามาหาก็เลยนอนคนเดียวได้ แต่ก่อนไปก็ซ้อมนอนคนเดียวก่อนด้วย) แต่พอมาเป็นแถบบ้านเราปุ๊บเรากลับกลัวการนอนคนเดียวซะงั้น แต่พอเข้าเมืองมาและมาถึงที่พัก โอ้ววววว ทุกอย่างผิดจากที่คิดหมดที่เกสเฮาต์มีชาวต่างชาติเยอะมาก (แน่ล่ะ เราก็ต่างชาติ) แถมบรรยากาศก็ครึกครื้นมาก มีร้านขายของ ธนาคาร ร้านขายมือถือ ร้านขายไก่ย่างห้าดาว ผิดไปจากที่คิดแต่ก็ไม่เยอะ ไม่มีสิ่งก่อสร้างสูงๆ
เราถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวจากหน้าเคาเตอร์ต้อนรับ
ทราบว่าเป็นลูกเจ้าของเกสเฮาสต์แห่งนี้เป็นคนจีน(แต่พูดจีนไม่ได้นะเออ) เราพูดภาษาจีนสั้นๆไปเขาไม่เข้าใจ ฮา เนื่องจากเราพักแค่คืนเดียวก็เลยไม่สามารถเข้าทริปเทรกกิ้งขึ้นเขาชมวิถีชีวิตชาวเขาได้
แต่เขาแนะนำว่าเราสามารถไปน้ำตก และบ่อน้ำร้อนได้ เราทราบมาก่อนว่ามีน้ำตกอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านแต่ก็แอบกังวลที่จะต้องเดินไปคนเดียว ตอนแรกตั้งใจจะไปชมหอตะวันออก (The east haw) ตามรอยรีวิวคนไทยที่มาเที่ยวเมืองสีป้อ แต่ว่าเราก็ไม่ได้รู้จักอะไรมากเลยเลือกไปน้ำตกดีกว่า
เหมือนตัวเองเป็นใบ้มาตั้งแต่ถึงประเทศพม่า วันนี้มีคนกินข้าวด้วยรู้สึกดีมากๆ คิดว่าถ้าคุณโสภณไม่ลงมาด้วยก็คงนั่งกินข้าวคนเดียวหรืออาจจะไม่กินข้าวเลย พวกเราเลือกร้านอาหารใกล้ๆที่พักเป็นร้านอาหารพม่าก่อนที่จะพากันไปสำรวจเมือง เราอยากไปดูแม่น้ำก็เลยชวนคุณโสภณให้ไปด้วย นั่งคุยเรื่องทั่วไปยืดยาวจนค่ำแล้วพากันกลับที่พัก และจากการที่คุณโสภณมาด้วยแกก็เลยชวนกินเบียร์กับชาวต่างชาติสองสามีภรรยานักโบกรถที่พักอยู่เกสเฮาสต์เดียวกัน
คุณโสภณเปิดหนังสั้นของเจ้าตัวให้ทั้งคู่ดู เป็นหนังสั้นที่เคยชนะการประกวดในเทศกาลภาพยนตร์ Bangkok Gay & Lesbian Film festival 2015 เรื่อง " Inside of Me "
จากคุยเรื่องทั่วไป
ก็กลายเป็นเรื่อง เลดี้บอยในเมืองไทย คุณเอียนผู้เป็นสามี พูดแซวภรรยาขำๆว่า
อยากไปเที่ยวเลดี้บอยที่ประเทศไทย อยากไปให้เห็นว่าเลดี้บอยที่ไทยเป็นยังไงบ้าง
เราเอารูปภาพผู้หญิงที่หนุ่มนักกีฬาเวคบอร์ดที่ติดตาม
IG อยู่ให้คุณเอียนดู
“คุณอยากรู้มั้ยว่า
เลดี้บอยไทยนั้นสวยขนาดไหน” พร้อมกับยื่นรูปให้ดู
“โอ้ว มันขนาดนี้เลยหรอ นี่เลดี้บอยจริงๆหรอ ”
“โอ้ว มันขนาดนี้เลยหรอ นี่เลดี้บอยจริงๆหรอ ”
ภาพที่โชว์ให้ดูนั้นเป็นภาพที่สาวประเภทสองที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงมัดผมมวยเกล้าขึ้นอย่างสวยงาม
หน้าตาไม่สามารถมองออกได้เลยว่าเป็นผู้ชายหรือไม่
แต่ที่น่าตกใจคือพ่อหนุ่มเวคบอร์ดถ่ายภาพนี้ในห้องน้ำชายซึ่งสาวประเภทสองคนนั้นยืนทำธุระอยู่ข้างๆกัน คุณเอียนยิ่งอยากไปดูเลดี้บอยหนักกว่าเดิม
จากที่เราต้องกลับมัณฑเลย์ตอนบ่ายพรุ่งนี้ซื้อตั๋วรถบัสกลับแล้วก็ถูกชวนให้อยู่ต่อ (ไม่รู้จะรีบไปทำไม) เพราะคุณเอียนจะชวนไปร้องคาราโอเกะ ! รู้สึกสนุกกับคืนนั้นมากทั้งเด็กหนุ่มในเกสเฮาสต์ที่เป็นลูกครึ่งบังกลาเทศชื่อว่า อ็องตัน ก็มาคุยด้วย เขาบอกว่าชอบดูหนังประเทศไทยมากชอบดูเรื่องพี่มากพระขโนง ชอบมาริโอ้ ! เรากับคุณโสชมว่าเขาหล่อ ดูดี อายม้วนใหญ่เลย ไหนจะลูกชายเจ้าของเกสเฮาสต์ที่แวะมาคุยด้วยก่อนนอนพร้อมชวนให้พวกเราไปดูพระอาทิตย์ตกกันในวันพรุ่งนี้ทางเกสเฮาสต์จะพาไปฟรีเนื่องจากเป็นวันวาเลนไทน์ ถ้าอยู่คนเดียวคงนอนแต่หัวค่ำแล้วแต่นี่ดันกินกันจนคนอื่นนอนหมดแล้วเสียงดังกันอยู่ 2 คน
มานึกถึงตอนนี้
วันที่นั่งบันทึกการท่องเที่ยวหลังจากผ่านมาได้ 2 เดือนกว่าๆแล้ว
เราก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นจากการต้อนรับของชาวเมืองสีป้อ
ไม่ว่าจะเป็นคนของเกสเฮาสต์ที่ช่วยเหลือ ชาวบ้านที่เข้ามาทักทายเรากับคุณโสภณที่คุยภาษาไทยกันอยู่ข้างริมแม่น้ำ
นั่นแหละช่วงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเราตกหลุมรักเมืองนี้อย่างจริงจังเลย (พ่อบอกว่า ไม่แปลกเราชอบอะไรที่บ้านๆ)
รุ่งเช้า เราจึงตัดสินใจอยู่ต่อหลังจากที่คุยกับบัดดี้ตอนนอนเกือกกลิ้งอยู่ในห้องขณะที่ยังกำหนดไม่ได้ว่า
วันนี้จะไปไหน เราคิดว่าเราอยากอยู่สีป้อหลายวันตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว
แต่เพราะเราจองที่พักแบบตัดเงินไปเลยไว้ที่มัณฑเลย์เรียบร้อยแล้วรู้สึกไม่อยากเสียเงินอีก
เราจึงกำหนดสีป้อไว้แค่คืนเดียว ซึ่งหนูใหม่บัดดี้ได้บอกว่า “เงินแค่นั้น
กินบุปเฟต์แป๊บเดียวก็หมดมันไม่ได้มากมายเลย ดีกว่ามานั่งเสียใจที่ไม่อยู่ต่อ”
เราก็เลยจัดการขอเพิ่มวันพักอีก
1คืนและขอซื้อตั๋วเดินทางกลับใหม่โดยเปลี่ยนจากนั่งกลับมัณฑเลย์ยิงตรงไปย่างกุ้งเลย
แล้วเราก็ออกไปเที่ยวน้ำตก
ถึงแม้ว่าตัดสินใจอยู่ต่อและจะไปเที่ยวน้ำตก แต่เราก็ตื่นมาแบบขี้เกียจนอนกลิ้งไปมาบนเตียงที่มีผ้าห่มหนาๆม้วนอยู่ ตอนนอนรู้สึกมึนมากจนต้องเปิดไฟนอนไม่ใช่เพราะกลัวผีอย่างที่คิด แต่เพราะดื่มเบียร์ไปเยอะมากๆจึงทำให้เวลาปิดไฟจะทำให้เวียนหัว คืนนั้นเราลุกเปิดไฟและปิดไฟ 2 รอบ เราคิดว่าเราโอเคแล้วไม่เวียนหัวแล้วก็ลุกไปปิดไฟแต่สุดท้ายก็ลุกไปเปิดอีกรอบ กว่าจะได้นอนจริงๆก็ตี 1 กว่าๆ แผนที่ที่ได้มากจากเกสเฮาสต์บอกว่าเดินทาง 1 ชั่วโมง ไปกลับ 2 ชั่วโมง เรามีนัดนั่งรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เกสเฮาสต์ 4 โมงเย็น แต่เราออกเดินทางก็เที่ยงแล้ว ในใจตอนนั้นคิด โอ๊ยทันมีเวลาเดินตั้ง 3 ชั่วโมงกลับมาพักอาบน้ำได้ตั้ง 1 ชั่วโมง
อากาศร้อนผิดกับเมื่อคืนมากๆ
พระอาทิตย์ช่วงก่อนเที่ยงแยงตาสุดๆ อากาศแห้ง เราตรงไปยังถนนเส้นหลักที่ไปมัณฑเลย์ มุ่งไปทางสถานีรถไฟเมืองสีป้อ เรารู้ว่าอากาศหนาวเย็นแน่ๆเราถึงได้เอาเสื้อกันลมและเสื้อแขนยาวมา
แต่ระหว่างทางก็ไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นเลยเราก็เลยคิดว่าเราคงไม่ได้สัมผัสอากาศหนาวแน่ๆ
แต่พอพระอาทิตย์ตกดินอากาศคนละเรื่องเลย แต่เสื้อลายสก๊อตแขนยาวและกางเกงขายาว(สำหรับปีนเขา)
ก็ไม่ได้ถูกหยิบมาใช้กันความหนาว เสื้อกันลมตัวเดียวก็เอาอยู่
ฝุ่นจากข้างถนนเยอะมากๆ เดินตามกลุ่มชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งคิดว่าน่าจะไปน้ำตกเหมือนกัน แต่แล้วก็เดินไปไหนก็ไม่รู้ เดินหนีบรองเท้าแตะพร้อมน้ำขวดเล็ก 1 ขวด กล้วยจากมื้อเช้า 1 ลูก ขนมปังบิสกิต เดินตรงตามแผนที่ไปเรื่อยๆ ตรงไปจริงๆ ตรงไปจนเลยไปจะถึงมัณฑเลย์เลยมั้ง (ฮ่าๆ) จนตอนนี้ก็ยังมานั่งคิดๆคือทางเดินมันก็ไม่ได้ยาก แต่เพราะเรามักไม่เชื่อเซ้นแรกของตัวเอง ทำให้เราตัดสินใจพลาดตลอด เราเดินเลยไปเรื่อยๆแบบไม่เหน็ดเหนื่อยจนนึกขึ้นมาได้ว่ามันไกลเกินไปแล้วจึงไปลองถามคนแถวนั้นดู เป็นบ้านชาวเนปาล แกบอกเราว่าเราต้องย้อนกลับไปอีกนิดแล้วเลี้ยวเข้าไปทางที่มีสุสานจีน … เราจึงย้อนกลับไปแต่เดินอยู่ดีๆตรงทางโค้งที่เป็นหน้าทางเข้า มีมอเตอร์ไซค์ของกลุ่มฝรั่งปีนเขาที่เราเห็นเมื่อวานตอนเย็นขี่ผ่านเราไป แต่คันสุดท้ายที่ตามหลังเพื่อนมาดันแหกโค้งล้มต่อหน้าต่อตาเราซะงั้น เราก็เดินเข้าไปดู ตัวต่างชาติคนนั้นดูท่าไม่เป็นอะไรเพราะลุกขึ้นมาได้ (ถามเขา เขาบอกว่าไม่เป็นไร) แล้วก็ช่วยกันมองหาชิ้นส่วนกระจกรถที่หลุด แล้วเราก็เดินมุ่งต่อไป
แผนที่การเดินทาง น้ำตกอยู่ซ้ายล่าง ที่พักเราอยู่แถว BANK |
รางรถไฟ เดินตรงไปเรื่อยๆ จะเห็นรูปปั้นพระยืน(ชี้) ก็เดินตรงไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานตรงทางโค้งจะเจอทางเข้าที่ดูเหมือนวัด มีแต่สุสานจีนเต็มไปหมด
|
เดินเข้ามาถึงก็เจอทางแยกเลย
ซ้ายหรือขวาล่ะ ? ไปทางไหนก็ได้แค่เดินตรงไปทางถนนคอนกรีตก็พอ
แต่เป็นขวาดีกว่า
|
เดินเข้ามาผิดไม่รู้จะหันออกเส้นทางทำไม
ดูสิตรงไปก็มีแต่สุสาน นี่เดินจนสุดทาง
|
"สวัสดีทุกคน พวกคุณกำลังไปที่น้ำตกหรือเปล่า ?"
"ใช่แล้ว แล้วคุณล่ะไปน้ำตกใช่มั้ย" ฝรั่งหนุ่มตัวสูงที่สุดและเป็นผู้เดินนำหน้ากลุ่มถามกลับ
"ใช่ ฉันกำลังไปน้ำตก แต่ไม่รู้ทางแล้ว ขอเดินไปด้วยได้มั้ย"
"ผมจะบอกว่าผมเซย์เยส" หนุ่มฝรั่งตอบกลับพร้อมหันไปบอกเพื่อนๆว่าพวกเขามีเพื่อนร่วมทางคนใหม่
(สรุปก็คือ เดินทางไปตรงที่เผาขยะนั่นแหละ)
ไปกับคนอื่นดีกว่า
|
เราเดินทางไปน้ำตกพร้อมกับชาวต่างชาติหลากหลายชาติที่เดินทางมาคนเดียวแล้วมาเจอกันนี่แหละ
มีทั้ง ออสเตรเลีย ออสเตรีย อินเดีย แคนนาดา (อะไรอีกจำไม่ได้) ทุกคนก็พยายามชวนเราคุยโดยเฉพาะ
คาเรน สาวเปรี้ยวจากออสเตรเลีย เธอเคยมาเที่ยวเมืองไทย เชียงใหม่ กรุงเทพ
พูดภาษาไทยได้นิดหน่อยด้วย อย่างคำว่า “พูดภาษาไทยได้มั้ย” หรือ “อันนี้น่ารัก” สาวจากอินเดียที่กำลังเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียคุยกับเรามากที่สุด
หลังจากที่เธอรู้ว่าเราเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่น เธอก็ชวนคุยใหญ่เพราะเธอชอบ มุราคามิ
ฮารุกิ (นักเขียนชื่อดังของญี่ปุ่น)
ไอ้เราก็รู้จักแต่ไม่เคยอ่านหนังสือของเขาแต่ก็คุยได้เรื่อยๆ
เราทั้งคู่ต่างเดินทางมาคนเดียว ก็มีการคุยปลอบใจว่า มันอาจจะน่ากลัว
แต่ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่มีอะไรน่ากลัว ! (ไม่น่ากลัวหรอกชั้นแค่แอบเหงาเอง)
"เฮ้ สุพัตรา" เสียงใครสักคนดังขึ้นมา
"เฮ้ สุพัตรา" เห....ทำไมมีคนพูดเรียกชื่อจริงเราจากด้านหลัง
หันหลังกลับไป
พอหันหลังไปเห็นสาวจากออสเตรียดูลุคพี่สาวเดินเอาพาสปอร์ตมาให้พร้อมกับตักเตือนนิดหน่อย แถมมีการบอกว่าจะให้ฝากไว้กับเขาหรือเปล่า ! ตกใจมาก ถ้ามาคนเดียวนี่ได้ร้องไห้แน่ดีที่ตามเขามา … เราพกกระเป๋าสะพายข้างที่ใส่ทุกอย่างไว้ในนั้นไม่ว่าจะเป็นกล้องโกรโปร หนังสือเดินทาง กล้วย ขวดน้ำ ขนมปังบิสกิต คาดว่าตอนที่หนังสือเดินทางหล่นก็คงเป็นตอนหยิบกล้องหยิบขวดน้ำนั่นแหละ
ทางเดินไปน้ำตกหลังจากผ่านจุดเผาขยะมาแล้วนั้น
จากถนนลาดปูนก็เป็นทางเดินที่เป็นดิน เป็นทรายเลย เดินแล้วฝุ่นฟุ้งมากๆ
มองเห็นน้ำตกอยู่ไกลๆที่ภูเขาที่อยู่ด้านหน้า แดดร้อน ไม่คลาย ไม่มีเมฆเลย
ถ่ายรูปออกมาเป็นสีจ้าขาวโพลนไปหมด
ถึงแดดจะร้อนคอแห้งผากเพราะน้ำใกล้หมดพยายามจิบทีละนิดหน่อย
แต่เราก็เดินกันเพลินๆมองแปลงผัก มองวิธีการทำการเกษตร มีการทำทางให้น้ำไหลภายในแปลงผักน่าจะเป็นน้ำจากน้ำตกได้ยินเสียงน้ำไหลตลอดทาง
สภาพเขรอะมาก
สาวอินเดียถามว่า “ไม่ใส่รองเท้าปีนเขามาหรือ
?”
“ คือปกติชั้นก็มีรองเท้าปีนเขานะแต่ชั้นไม่คิดว่าจะมาที่นี่” พากันหัวเราะใหญ่ ตอนเดินเข้าดงสุสานนี่โดนอะไรก็ไม่รู้ตำเลือดออกเต็มไปหมด |
พอถึงน้ำตกด้วยอาการที่แทบจะเป็นลมหิวน้ำมากๆแต่น้ำยังไม่หมดนะ เผื่อไว้ขากลับ
เราปีนขึ้นไปนั่งเล่นข้างบนตรงที่ไม่มีใครขึ้นไปเท่าไร
ส่วนเพื่อนต่างชาติก็ลงน้ำบ้างไม่ลงบ้าง แน่นอนว่าเราไม่ลง (มาน้ำตกแต่ไม่ลงน้ำ
ฮ่าๆ) ไม่ใช่เพราะว่าน้ำเย็นมากๆจนไม่กล้าลงแต่เพราะไม่สามารถลงได้มากกว่า คู่สามีภรรยาชาวต่างชาติที่เราคุยด้วยเมื่อวานก็อยู่ที่นั่น
คุณเอียนสามีชวนเราลงเล่นน้ำ (แต่เราก็ไม่ลง) นั่งทำมิวสิคถ่ายภาพผีเสื้อสบายๆดีกว่า
มีวัยรุ่นชาวพม่า (หรือไทใหญ่)
มากันเป็นคู่ๆใส่ชุดคู่กันมาเที่ยวกันเป็นกลุ่มดูน่ารักดี วันนี้เป็นวันแห่งความรักนี่นะ
มีบางคนขึ้นมากระโดดน้ำจากจุดที่เราเล่น ที่ถ้าเราไม่ติดปัญหาก็คงกระโดดบ้างแล้ว
น้ำตกนี้มีชื่อว่า “Nam tok water fall” เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลจากบนภูเขาลงมาที่บ่อน้ำเล็กๆเท่านั้นเอง ดูท่าจะมีปลาด้วยเพราะมีคนมายืนตกปลาอยู่ใกล้ๆเรา มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเดินมาแล้วเดินกลับถ้าเทียบกับน้ำตกต่างๆที่เคยไปมาที่นี่ดูธรรมดามากๆ แต่คิดว่าอยากจะเข้ามาดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่เมืองนี้มากกว่าอีกทั้งเราก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรแค่อยากมาใช้ชีวิตเฉยๆ
น้ำตกนี้มีชื่อว่า “Nam tok water fall” เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลจากบนภูเขาลงมาที่บ่อน้ำเล็กๆเท่านั้นเอง ดูท่าจะมีปลาด้วยเพราะมีคนมายืนตกปลาอยู่ใกล้ๆเรา มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเดินมาแล้วเดินกลับถ้าเทียบกับน้ำตกต่างๆที่เคยไปมาที่นี่ดูธรรมดามากๆ แต่คิดว่าอยากจะเข้ามาดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่เมืองนี้มากกว่าอีกทั้งเราก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรแค่อยากมาใช้ชีวิตเฉยๆ
กินขนมปังอร่อยๆกับวิวนี้
|
เกือบจะบ่ายสามแล้วเรารีบขอตัวกลับก่อนเลยไม่รอกลับพร้อมกลุ่ม ต้องรีบกลับไปให้ทันเวลานัด 4 โมงเย็น เรายังไม่ได้กินข้าวแบบเต็มอิ่มเลย เมื่อเช้ากินแค่ไข่ดาวและขนมปังไม่กี่ชิ้น รู้สึกหิวมากแล้วพอลงจากน้ำตกมาหันไปเห็นหลังพุ่มไม้ที่มีชั้นน้ำตกอยู่มีขอนไม้พาดเป็นทางเดินไว้ จึงเข้าไปนั่งกินขนมปังในนั้น นั่งห้อยขากินขนมปัง รู้สึกเย็นใจมากแต่พลาดตรงที่ขนมปังยิ่งทำให้คอแห้งแต่น้ำเราหมดขวดเสียแล้ว
อยากกอกน้ำไว้กินมาก
แต่ทำได้แค่อาศัยใช้น้ำชาวบ้านมาล้างหน้า เย็นสบาย
|
นี่วันวาเลนไทน์
ชั้นกำลังมาเจอกับอะไรเนี่ย โอยยยยย
|
พอออกจากสุสานจีนจนมาถึงถนน
จำได้ว่ามีร้านของชำเล็กๆตรงปากทาง เรารีบดิ่งเข้าไปซื้อน้ำเปล่าและน้ำโค๊ก ยืนกินหน้าร้านส่งเสียง
“อ้า “ โค๊กมันซ่าจริงๆ แบบไม่อายลูกแม้ค้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆเลย
ตอนนั้นมันหิวมากจริงๆอากาศร้อนมาก น้ำหมด ปากแห้ง โอ้โห้ ทรมานสุดๆ
เรารีบเดินกลับเกสเฮาสต์พร้อมจินตนาการถึงไก่ย่างห้าดาวที่เราจะจัดเป็นมื้อเย็นวันนี้
แน่นอนว่าเราซื้อไก่ย่างห้าดาวของเมืองสีป้อมาเป็นอาหารเย็นจริงๆตามจินตนาการ
เป็นปีกไก่ 2 ชิ้นไม่มีข้าวเหนียว ไม่มีน้ำจิ้ม รีบเอาไปนั่งกินในห้องพักภายในเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดพบ
แถมจัดโค๊กเพิ่มอีกกระป๋องไปนั่งกินพร้อมกับไก่ ออกช้ามากไม่พอแถมเดินหลงซะเยอะแทนที่จะได้มาพักสบายๆก่อนต้องรีบแทะไก่ย่างสุดๆ
สภาพเท้าเราแย่มาก
เราหนีบแตะคู่นี้มาโดยไม่ได้ดูว่า พื้นรองเท้ามีแค่ข้างเดียวรองเท้าบางมากจึงทำให้เวลาที่เดิน
เราโดนหินตำตลอดทางจากการซ้อมก่อนปีนเขาอาทิตย์หน้า กลายเป็นว่าเราได้แผลเท้าพองเพิ่มเข้ามาอีก
พอถึงที่พักเปลี่ยนเสื้อผ้ารู้ตัวอีกทีก็เดินด้วยเท้าเปล่าไม่ได้แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะใส่แตะเดินต่อได้มั้ย
โชคดีที่พกรองเท้าพื้นนิ่มๆมาจึงต้องเปลี่ยนใส่คู่นิ่มๆแทน
เรากับคุณโสภณและฝรั่งอีก 3 คนนั่งรถของทางเกสเฮาสต์ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่จุดชมพระอาทิตย์เรานั่งด้านหลังเหมือนเดิมเย็นสบายมากๆ ชอบเวลานั่งหลังรถแบบนี้ ฟังเพลงไปด้วย นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของวันนี้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองแต่เราก็เจอเรื่องต่างๆมากมายในดงสุสานจีน (นึกไปถึงคืนนี้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตอนนอนมั้ยนะ กลัว !)
Sunset Hill จุดชมวิวนี้ออกมาไกลจากที่พักนิดหน่อย
นี่ถ้าเขาไม่พามาก็คงไม่ได้ออกมา ต้องเดินไต่ถนนที่ชันขึ้นมาด้วย ไม่รู้ว่าเหนื่อยขนาดไหนเพราะเรานั่งรถขึ้นมา
ฮ่าๆ เราสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำคดเคี้ยวและมีฉากหลังสุดเป็นภูเขาสลับฟันปลากัน
มองเห็นเมืองเล็กๆอยู่ตรงหน้า ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน
แสงอาทิตย์ยามเย็นอ่อนๆสาดลงมาที่ภูเขาต่อมาที่แม่น้ำ
เป็นวิวที่ทำให้รู้สึกสบายใจมาก จำได้ว่านั่งสูดลมแล้วถอนหายใจไปหลายเฮือก (อาจทำให้คนข้างๆรำคาญได้)
รู้สึกดีที่ไม่ได้รีบกลับไปตั้งแต่หัววันแต่ก็รู้สึกเศร้าที่ก็ต้องจากเมืองนี้ไปอยู่ดี... ใจหายว๊าบไปเลยเมื่อนึกถึงชีวิตต่อจากนี้ไป
ชีวิตที่ต้องกลับไปหางาน กลับไปทำงานที่ไม่ชอบอีก ไม่อยากดราม่ายาวแต่ทริปนี้ตัวเองดราม่าจริงๆ
ถ่ายภาพกับคุณโสภณ
เพื่อนร่วมทริปสีป้อ
|
หลังจากพากันขึ้นมาบนจุดชมวิวได้เราก็แยกไปนั่งเดี่ยวๆ คุณโสภณมาหาเพื่อมาถ่ายรูปให้เนื่องจากบ่นให้ฟังว่ามาเที่ยวคนเดียวแล้วไม่ค่อยมีรูปเลย ฮ่าๆ ก็เลยได้รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นคนไทยเหมือนกัน คุณโสภณเจอเมื่อตอนกลางวันขณะไปชมหอตะวันออก (เป็นวังของเจ้าฟ้า) แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะปิด ก็คิดว่าเมืองนี้มีคนไทยมาเยอะแต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอ แถมเจอสาวพม่าที่พูดภาษาไทยได้เก่งมากเธอเป็นไกด์อยู่ย่างกุ้ง (หน้าตาน่ารักอีกต่างหาก)
นั่งรอเป็นชั่วโมงแต่พระอาทิตย์พอจะตกก็ตกเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน ตั้งใจว่าจะเอาฟิล์ม ISO 1600 ถ่าย แต่เอาเข้าจริงตอนถ่ายด้วยกล้องไอพอตทัชแล้วจะถ่ายกล้องฟิล์มต่อก็ปรับอะไรไม่ทันจนพระอาทิตย์ก็ตกลับตาลงไปหลังภูเขาแบบงงๆ (ถ่ายออกมาภาพมืดซะงั้น ไม่เคยลอง ISO1600 มาก่อน ถ่ายยากมากแถมฟิล์มก็แพงเสียดายรูปเสียไปเยอะ)
ด้วยเนื้อเรื่องต่างๆที่ผ่านมาจนถึงจุดที่เรายืนชมพราทิตย์ตกดินอยู่ตรงนั้น การที่เราเดินทางมาถึงเมืองนี้ เราเดินทางมาไกลบ้าง เหงาบ้าง เศร้าบ้าง นั่งฟังเพลงไปร้องไห้ไปบ้าง จึงทำให้ความสวยของพระอาทิตย์สวยไปตามเนื้อเรื่อง ถ้าถามว่าพระอาทิตย์ตกดินที่ไหนสวยที่สุดสำหรับเรา เราเคยคิดว่าเป็นที่เกาะลันตา
ตอนเราไปลันตาครั้งแรก ที่เรานั่งเรือออกไปชมพรายน้ำกัน แต่พอมาลองคิดดูอีกที สิ่งที่ทำให้เราคิดถึงวิวพระอาทิตย์ตกดินนั้นไม่ใช่ความสวยของพระอาทิตย์เลย
แต่เป็นเนื้อเรื่อง หรือเรื่องราวที่เราพบเจอจนถึงจุดที่เรายืนอยู่ตรงนั้นมากกว่า เราเคยพร่ำว่า “วิวไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ความเหงาต่างหากที่เปลี่ยนวิว” ฉะนั้นแล้ว
พระอาทิตย์ตกดินที่ไหนก็สวยที่สุดตามแบบของมัน
เหมือนดอกไม้ที่มีเพียงดอกเดียวในโลก...
ตอนที่เรานั่งชมวิวอยู่นั้น จู่ๆเพลง "โปรดส่งใครมารักฉันที" ของ Instinct ก็ดังขึ้นมาในหัวเราซะงั้น ดังกระหึ่มขึ้นมาเหมือนเราจะร้องเพลงนี้ได้จบ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันนึกออกมาแค่ท่อนเดียวเท่านั้นแหละ
ตอนที่เรานั่งชมวิวอยู่นั้น จู่ๆเพลง "โปรดส่งใครมารักฉันที" ของ Instinct ก็ดังขึ้นมาในหัวเราซะงั้น ดังกระหึ่มขึ้นมาเหมือนเราจะร้องเพลงนี้ได้จบ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันนึกออกมาแค่ท่อนเดียวเท่านั้นแหละ
คืนนี้ไม่ได้ดื่มเบียร์เพราะไม่ไหวแล้ว
ดื่มทีไรรู้สึกเหมือนตัวจะแตกทุกที คุณยายที่ร้านอาหารน่ารักมาก
เข้ามาคุยด้วยภาษาไทใหญ่ จริงๆเราไม่รู้เลยว่าที่นี่ไม่ได้ใช้ภาษาพม่า (แต่ก็พูดพม่าได้เพราะต้องเรียน) ไม่ใช่คนพม่าด้วยซ้ำ มันมีความซับซ้อนที่ต้องหาโอกาสเขียนเพิ่มเติม คือก็เข้าใจว่าประเทศพม่ามีชนกลุ่มน้อยเยอะมากแต่ก็มองภาพไม่ออกจนได้มาเจอจริงๆ คุณยายอาจคิดว่าพวกเราเป็นคนไทใหญ่กันหรือเปล่านะ มิหนำซ้ำคุณวิทย์ก็พูดภาษาไทใหญ่ได้อีกต่างหาก
เพลงภาษาไทใหญ่ลอยผ่านหู ได้ยินหลายคำนี้คล้ายภาษาเหนือ หรือหลายคำที่ฟังออกซะงั้น
น่าจะเพราะว่าภาษามันใกล้เคียงกันมากๆ
จากตอนแรกอยู่กัน
4 คน
จนสุดท้ายเหลือกัน 3 คนไทยเพราะคุณเอียนเป็นห่วงภรรยาจึงกลับที่พักไปก่อน
พวกเราคุยกันจนร้านปิด จริงๆคือเขาคุยกันสองคน เรานั่งฟังอย่างเดียว ก๊าก !
ก่อนจะกลับมีน้องชาวไทใหญ่เข้ามาคุยด้วยเป็นภาษาไทย
พูดภาษาไทยเก่งมากทั้งๆที่ไม่เคยคุยกับคนไทย ไม่เคยไปไทยเลย เรียนภาษาไทยจากทีวี
และในโรงเรียน ซึ่งนั่นก็ทำให้เรารู้ว่ามีการสอนภาษาไทยในเมืองนี้ด้วย
มิน่าตอนนั่งรถไฟมาเห็นคนในรถไฟอ่านหนังสือเรียนภาษาไทยอยู่ด้วย น้องคนนั้นชื่ออาข่าง
นึกว่าเราไม่ใช่คนไทย น้องบอกว่า
“ผมมองอยู่นานแล้ว คิดว่าคุยภาษาไทยกันแล้วพี่ผู้ชายเป็นคนไทย แต่พี่ผู้หญิงไม่ใช่”
“แล้วคิดว่าพี่เป็นคนที่ไหน” เราถามกลับ
“ผมคิดว่าพี่เป็นคนพม่าครับ”
นั่นแหละ คุณโสภณก็พูดไว้เหมือนกัน !!
“ผมมองอยู่นานแล้ว คิดว่าคุยภาษาไทยกันแล้วพี่ผู้ชายเป็นคนไทย แต่พี่ผู้หญิงไม่ใช่”
“แล้วคิดว่าพี่เป็นคนที่ไหน” เราถามกลับ
“ผมคิดว่าพี่เป็นคนพม่าครับ”
นั่นแหละ คุณโสภณก็พูดไว้เหมือนกัน !!
ขอบคุณค่ำคืนที่อบอุ่นทั้งๆที่อากาศคืนนั้นเย็นมาก (นอกจากเราก็ไม่มีใครใส่แขนยาวกันเลย)
ยังไม่อยากกลับ ยังไม่อยากแยก พรุ่งนี้ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว
ยังไม่อยากกลับ ยังไม่อยากแยก พรุ่งนี้ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว
ผ่านค่ำคืนนั้นโดยไม่เจออะไร ไม่มีใครตามมาจากสุสานจีน ...
หลับฝันดีมากๆ
ความทรงจำเมื่อวันที่ 10-17 กุมภาพันธ์ 2559
หนึ่งวันที่เกือบเหงา นึกถึงตลอด...อยากกลับไปอีก
by Mei
0 ความคิดเห็น