นั่งรถไฟฉึกฉักเอื่อยๆ ไปใช้ชีวิตสบายๆที่เมือง สีป้อ (Hsipaw)

เราอยากไปถึงสถานีรถไฟตอนตี 3 จึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตี 2.30 ห้องนอนของ act star เกสเฮาสต์ที่เราเข้าพัก เป็นแบบเตียงรวม 2 ชั้น (หญิงล้วน...


เราอยากไปถึงสถานีรถไฟตอนตี 3 จึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตี 2.30 ห้องนอนของ act star เกสเฮาสต์ที่เราเข้าพัก เป็นแบบเตียงรวม 2 ชั้น (หญิงล้วน) เราได้นอนเตียงด้านบน  เรานอนไม่ค่อยหลับเลยเพราะกังวลเรื่องเงินที่เบิกมาเกิน อีกทั้งกลัวการนอนหลับเพลินไม่ตื่นตามที่ตั้งไว้ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการกลัวการหลับเพลินทำให้ไม่ค่อยได้นอน แล้วมาหลับเอาช่วงเที่ยงคืนนั้นจะไม่ทำให้เราตื่นผิดเวลาหรือยังไง

เพราะหลับๆตื่นๆตลอดเวลา เราก็เลยตื่นไม่ผิดเวลานั่นนี่แหละ  ดีที่เราเก็บเสื้อผ้าสัมภาระลงกระเป๋าหมดเรียบร้อยแล้ว เราใส่ชุดนอนเป็นชุดเดียวกับที่เราจะใส่เดินทาง ก็เพราะตั้งใจว่าแค่ล้างหน้าแปรงฟันก็ออกเดินทางได้เลย เยี่ยม !! ยังไม่มีใครตื่น มีแค่เรา (ใครจะตื่นตอนตี 2ครึ่งกันล่ะ) ตั้งใจจะย่องออกจากที่พักโดยไม่ทำให้ใครตื่น แต่พนักงานเกสเฮาสต์ต้องตื่นมาเปิดประตูให้เราซะงั้น

ริมถนนที่จะเดินไปยังสถานีรถไฟ มีพี่ใหญ่พี่เล็กคุมเต็มไปหมด (หมาใหญ่หมาน้อย) รู้สึกกลัวพิลึก เพราะบริเวณนั้นมืดมาก มีคนขับมอเตอร์ไซค์ผ่านบ้างประปราย แอบกลัวในระดับปานกลาง ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเดินในความมืดผ่านดงพี่ใหญ่พี่เล็กแบบนี้ ไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วยสินะว่ามาเที่ยวพม่า นึกในใจถ้าโดนหมากัดจะทำยังไงเนี่ย
เราถึงช่องขายตั๋วเวลาตี 3 เป๊ะมาก มีหนุ่มๆชาวพม่า(หรือเปล่า) ต่อคิวซื้อตั๋วอยู่เรายืนรอพร้อมกับถูกสายตาหนุ่มๆมองตลอดเวลาไม่ทราบด้วยเหตุอันใดก็เลยยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ คุณคนขายตั๋วเป็นคนเดียวกับที่เราเจอเมื่อวาน เขาจำเราได้ก็เลยไม่ต้องพูดอะไรมากพอเสร็จธุระกับหนุ่มๆกลุ่มที่มาก่อนเราก็พาเราเข้าไปซื้อตั๋วอีกที่ เจ้าหน้าที่ขอหมายเลขพาสปอร์ตไปจดลงสมุดไว้ ค่าโดยสารจากเมืองมัณฑเลย์ไปเมืองสีป้อนั้นราคาเพียง 3,300 จั๊ตเท่านั้น ก่อนหน้านี้เราเข้าใจว่าราคาอยู่ที่ 6ดอลล่า แต่ว่าราคาเปลี่ยนแล้วเป็นราคาเท่ากับคนพม่าเลย โดยที่นั่งเราเลือกซื้อแบบ Upper class ซึ่งเป็นที่นั่งแบบเบาะนิ่มๆเอนตัวได้แบบนั่งคู่กัน ถ้าแบบ Ordinary class จะเป็นแบบเบาะไม้แข็งๆนั่งหันหน้าเข้าหากัน ระยะทางจากต้นทางไปสีป้อ ก็ราวๆ 12 ชั่วโมง ก็ออกเดินทางตี 4 ถึง 14.55 . (แน่นอนว่างานนี้มีช้ากว่าเวลา)
รัฐฉาน พม่า (shan state myanmar)  เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดมีพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศพม่า โดยสมัยก่อนแบ่งการปกครองเป็นทั้งหมด 34 เมือง ปกครองโดยเจ้าฟ้าทุกหัวเมือง โดยเจ้าฟ้าจะสืบทอดเชื้อสายกันในตระกูล รัฐฉานนั้นมีกลุ่มผู้อาศัยหลากหลายชนเผ่าโดยที่มีชาวไทใหญ่อาศัยเยอะที่สุด เมืองสีป้อ (Hsipaw) ที่เราจะไปเป็นหนึ่งใน 34 เมืองที่เคยปกครองด้วยระบบเจ้าฟ้านั่นเอง เป็นเมืองเล็กๆ (น่ารัก) ที่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจม๊าก

แล้วตอนนี้เมืองเจ้าฟ้าเป็นอย่างไรบ้าง สิ้นแสงฉานไปแล้วหลังจากที่นายพลเนวินยึดอำนาจไปจากประชาชนชาวพม่า เหล่าเจ้าฟ้าทั้งหลายบ้างก็ถูกจับ ถูกฆ่า ถูกเนรเทศกระจัดกระจายกันไป (เจ้าจายหลวง เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงถูกจับขัง 6 ปี แถมหลังจากถูกปล่อยตัวก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านอีก) เจ้าจาแสง เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีป้อนั้นหลังจากที่ทหารยึดอำนาจก็ถูกจับตัวไปแบบไม่รู้ชะตากรรมที่แน่นอนเพราะทหารบอกว่าไม่ได้จับตัวไป (อ่านเจอมาว่าโดนทหารฆ่าตายไม่กี่วันหลังจากถูกจับ) ตอนเขียนก็นึกถึงฉากในภาพยนตร์เรื่อง The lady อองซาน ซูจี ตอนที่นายพลอ็องซานโดนยิงที่ห้องประชุม เหตุการณ์วันนั้นคิดว่าเป็นจุดเปลี่ยนเลย คนสั่งฆ่านายพลอ็องซานคือ อูซอ อดีตนายกรัฐมนตรีของพม่า ตั้งใจว่าถ้านายพลอ๊องซานตาย ตัวเองจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่อูนุกลับถูกรับเลือกจากอังกฤษให้ป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเวลาผ่านไป เกิดปัญหาขึ้นภายในประเทศพม่ามากมายโดยเฉพาะการทวงคืนการแยกตัวเป็นอิสระจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จนเกิดสงครามกลางเมืองจากนั้นนายพลเนวินก็ใช้ข้ออ้างนี้ยึดอำนาจจากอูนุ


พูดถึงคำว่า สิ้นแสงฉานนั้นคือชื่อหนังสือ Twilght over burma : my life as a Shan princess ที่แปลมาเป็นภาษาไทย เป็นหนังสือนิยายประวัติศาสตร์ที่เล่าโดยมหาเทวีราชินีคู่บัลลังก์ของเจ้าจาแสง เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีป้อ นั่นเอง

เรื่องราวของชีวิตนักศึกษาแลกเปลี่ยนชาวออสเตรียที่พกรักกับหนุ่มวิศวกรเหมืองแร่ โดยที่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มนั้นเป็นเจ้าฟ้าที่ปกครองเมืองในรัฐฉานอยู่ มารู้ก็วันที่ตัวเองเหยียบเข้ามาแผ่นดินพม่าแล้ว (คือนิยายมากค่ะ อ่านแล้วจิกหมอนแป๊บนึงแล้วก็หยุดอ่านไป 2-3 วันเพราะรู้สึกว่าจะทำใจไม่ได้ มีคนไทยหลายคนไปเที่ยวเมืองนี้เพราะตามรอยนิยายไปด้วย ส่วนใหญ่ฝรั่งจะไปดูชีวิตชาวปะหล่องที่ต้องเดินป่าเข้าไป) ในเรื่องก็พูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตแบบไทยใหญ่ ความรักโรแมนติก จนไปถึงวันที่ทุกอย่างมลายหายไปด้วยอำนาจของเผด็จการ
ก่อนไปเราก็รู้แค่ว่าเป็นเมืองเจ้าฟ้านั่นแหละ ไม่ได้รู้อะไรละเอียดมากคิดแค่อยากนั่งรถไฟเล่นๆ นอนเล่นๆ ดูภูเขาดูบ้านเมือง แล้วก็อยากหาที่เดินป่าเพื่อซ้อมก่อนไปปีนเขาคินาบาลูในอาทิตย์ต่อไปก็เท่านั้นเอง !!

ด้วยความที่อยากสบายๆสักวัน แบบปล่อยใจด้วยอารมณ์ให้เธอหมดเลยทั้งใจในวันนี้ เราจึงเลือกเดินทางด้วยรถไฟ (สบายตรงไหน ?)การเดินทางไปเมืองสีป้อเส้นทางรถไฟจากมัณฑะเลย์ - ลาโชว์ ( Lashio ) ที่เราไปนั้นมันก็มีอะไรพิเศษนิดนึงนอกจากนั่งมองดูวิวภูเขา วิวสวนดอกไม้ข้างทาง ก็ยังมีจุดเด่นตรง สะพานกงเต็ก ( Gokteik Viaduct ) เป็นสะพานรถไฟที่ยาวที่สุดเก่าที่สุดของประเทศพม่า แถมสะพานรถไฟยังสูงที่สุดในอาเซียน  ความสูง 102เมตร ยาว 689 เมตร  เป็นผลงานการสร้างของผู้รับเหมาชาวอเมริกาสร้างเมื่อปี ค.ศ.1901  แหมร้อยกว่าปี (บริษัทวัตถุดิบก่อส้รางก็ปิดไปแล้ว) สะพานรถไฟที่ผ่านร้อนผ่านหนาวบนหุบเขาลึก คืออยากถามว่านั่งแล้วไม่กลัวบ้างหรือไง ?

พูดถึงเรื่องการเดินทางของเรา หลังจากที่พนักงานในสถานีพาเราไปซื้อตั๋วเสร็จก็พาเราเดินไปส่งที่ชานชลา ตอนนั้นนอกจากเราก็ไม่เห็นนักท่องเที่ยงคนไหนเลย เราเริ่มรู้สึกกลัวกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะว่าไม่เคยไปเที่ยวคนเดียว แต่เนื่องจากเป็นการเดินทางครั้งแรกของเราในประเทศที่ยังไม่ค่อยเจริญ (ถึงจะบ่นเยอะก็เหอะว่าเมืองมัณฑเลย์เจริญมากแล้ว) เราก็กลัวไปหมดแหละ เรามายืนรอที่ชานชลาหลังจากที่เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บไว้บนที่นั่งของตัวเองแล้วบริเวณชานชลามีเจ้าหน้าที่รถไฟยืนอยู่ ยืนมึนๆยิ้มๆเจื่อนๆได้สักพักจู่ๆก็มีคนทักขึ้นมาว่า คนไทยหรือครับ” โอ้โห้ หันไปตามเสียงพี่เมน้ำตาแทบไหล เจอคนไทยด้วยกันซะงั้นพี่เขาเห็นเราถือหนังสือพูดภาษาพม่า (หนังสือภาษาไทย) เราก็ทักทายกันตามปกติโดยพี่ชาวไทยมีชื่อว่าพี่โสภน แกเป็นคนที่เจ๋งมากๆอะ นั่งวิลแชร์เที่ยวพม่า แถมมาคนเดียวสักพักก็เริ่มมีผู้โดยสารคนอื่นมายืนรอที่ชานชลาเหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกใจชื้นขึ้นมาแล้วนะ
ตอนที่รถไฟออกฟ้ายังมืดอยู่ ทุกคนก็เลยพากันหลับเอาแรงกันกัน นอนฟังเสียงวัวเสียงแพะที่ถูกต้อนขึ้นบนรถไฟ รถไฟวิ่งเฉื่อยมากๆ ลมเอื่อยๆพัดเบาๆรู้สึกเย็นหูเย็นคอจนต้องหยิบเสื้อกันลมออกมาใส่ เรานั่งริมหน้าต่างถึงแม้ว่าเลขที่นั่งบนตั๋วเราจริงๆจะเป็นที่นั่งริมทางเดินก็เหอะนะ แต่ก็ยังไม่มีใครมานั่งไงก็เลยขอยึดที่ไว้ก่อนรู้สึกนอนไม่หลับถึงแม้ว่าเมื่อคืนจะไม่ค่อยได้นอนก็เถอะ...

นั่งเรื่อยเปื่อยฟังเพลงเพลงไม่ได้เรื่อยเปื่อยเพราะฟังอยู่แค่ 4หรือ5เพลงก็เท่านั้นแหละ เราชอบที่จะฟังเพลงเดิมๆซ้ำๆกันไปยิ่งในบางช่วงแล้วเราอาจจะเลือกฟังเพลงเดียวนานเป็นอาทิตย์ถึงเดือน เหมือนช่วงนึงตอนสมัยทำงานในคลื่นวิทยุ ช่วงเช้าที่เรามีอิสระในการเลือกเพลงเราเปิด Disco 2000 ของวง plup จนรุ่นพี่ที่ทำงานนึกว่าเราตั้งโปรแกรมให้เพลงนี้เล่นอัตโนมัติในเวลาเดียวกันทุกวันหรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เราแค่เปิดมันเองทุกวัน

ช่วงเวลาของการนั่งรถไฟรอเวลาไปเมืองสีป้อนั้น เพลง Disco 2000 ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ผ่านเข้าหูเราตลอดทางสลับกับเพลง Far away ของ Nickelback มีเพลงญี่ปุ่นปล่อยให้ลอยเข้ามาก็คือเพลง Moon crying ของโคดะ คุมิ และ Haruka ของวง GreeeeeeN (หนีพ่อแม่เที่ยวทีไรต้องฟังเพลงนี้ทุกที) ช่วงเช้าตรู่เราเลือกปล่อยอารมณ์ตัวเองให้หมกมุ่นกับเพลง Haruka แล้วน้ำตาไหลพรากให้กับการตัดสินใจออกจากงานของตัวเอง เราไม่ได้รู้สึกเสียใจกับมัน แค่รู้สึกเสียดายเวลาให้กับการไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเองแถมการงานก็น่าเบื่อเหลือเกิน เราเคยทำงานในสถานที่ที่เราไม่รู้สึกหวนหาความสุขอื่นๆเท่ากับตอนนี้มาก่อน

เราชอบที่จะหลับบนรถระหว่างเดินทาง ไม่จำเป็นต้องมองวิวมันตลอดทางหรอก เพราะบางห้วงเวลาที่ฝันกลางวันเล็กๆบนรถบางทีก็ดีบางทีก็ไม่ดี บางทีตัวก็กระตุก (เคยมั้ยล่ะตอนกลางวันอยู่ดีๆตัวกระตุก) แต่พอตื่นมาแล้วได้เห็นวิวที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็อมยิ้ม แล้วหลับต่อมันเหมือนเรากำลังหลับฝันดีต่ออีกช่วงนึงเลย


ซื้อขนมมากจากมัณฑเลย์
สถานีที่คนครึกครื้นมากที่สุดคือ สถานี พินอูลวิน (Pyin ool win)  เนื่องจากถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาจึงทำให้มีอากาศเย็นตลอดปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองนี้เคยเป็นที่ตากอากาศของคนอังกฤษ ดังนั้นเราจะสามารถเห็นสิ่งก่อสร้างสไตล์ยุโรปได้ที่เมืองนี้ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะมาที่นี้แทนสีป้อเพราะใช้เวลาเดินทางน้อยกว่า แต่ว่าพอดูสถานที่ท่องเที่ยวตามรีวิวแล้วจะเป็นการเดินชมสวนดอกไม้กันซะมากกว่าเราก็เลยไม่เลือกมาที่เมืองนี้ เสียเวลาอีกหน่อยนั่งรถไฟเที่ยวจะเป็นอะไรไปเล่า  


หลังจากที่รถไฟเทียบชานชลาสถานี พินอูลวิน ก็เห็นผู้คนมากมายใส่เสื้อกันหนาวสีสันสดใส นักท่องเที่ยวที่อยู่บนขบวนบ้างก็ถ่ายรูปบนรถไฟบ้างก็ลงไปเดินถ่ายรูปเล่นด้านล่าง เราก็คิดในใจนี่อากาศมันหนาวถึงขนาดต้องใส่เสื้อกันหนาวเลยหรือเนี่ย พลางลองยื่นมือออกไปที่หน้าต่างรถไฟ …”ก็ไม่ได้เย็นอะไรสักหน่อยเราก็คิดแบบนั้นแหละ ถึงแม้ว่าตัวเองจะใส่เสื้อกันลมอยู่ก็เถอะ รถไฟแล่นต่อไปเรื่อยๆจอดตามสถานีต่างๆที่มีทั้งเขียนภาษาอังกฤษกำกับไว้ที่ป้ายหรือไม่มี สถานีที่มีชื่อภาษาอังกฤษกำกับไว้ก็เป็นสถานีตามทางที่นักท่องเที่ยวซื้อตั๋วมานั่นแหละ หลายครั้งที่เราเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหัวทองไม่รู้ว่าถึงสถานีเป้าหมายแล้วหรือยังก็ทำหน้าเลิกลั่กแบบ เฮ้ยมันเลยมายัง เฮ้ยมันถึงแล้วหรือยัง

เรานั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือไม่ค่อยมีโอกาสได้มองเห็นบรรยากาศที่สถานีรถไฟเลย เพราะสถานีจะอยู่ด้านขวามือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายอะไรขนาดนั้นเพราะรถไฟจอดแต่ละสถานีนานมากจนสามารถเดินไปหาของกินได้เลยแหละ 
เราก็นั่งคนเดียวสลับกับเดินไปหาคุณโสภณที่หัวตู้รถเพื่อไปพูดคุยถามไถ่แล้วก็ชวนพี่แกเที่ยวสีป้อด้วยกันวันนี้ ทั้งๆที่พี่แกต้องการไปเมืองลาโชว์ (สุดสาย) ก่อนแล้วจะกลับมาเที่ยวสีป้อ

รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆเวลาผ่านบ้านคน ผ่านเมือง ผ่านสวนเราจะเห็นผู้คนทำงาน เห็นเด็กๆวิ่งเล่น แล้วเราก็รู้สึกว่าเราเป็นนางงามรักเด็ก เพราะเราโบกมือหยอยๆตอบรับเด็กๆที่กำลังโบกมือให้ตลอดทาง น้องบางคนโบกมือให้ทั้งๆอาการเขิน จากตอนแรกที่เราก็เขินอยู่เหมือนกันนะจะยกมือก็เขินแต่ไปๆมาก็โบกมือโต้ตอบไปอัตโนมัติ

และช่วงเวลาครึกครื้นที่สุดก็มาถึง จนเราก็ตกใจเหมือนกันว่า จุดที่เรากำลังไปถึงนั้นมันมีชื่อเสียงขนาดนี้เลยหรอ ก็คือตอนที่รถไฟกำลังข้ามสะพานกงเต็ก ( Gokteik Viaduct ) คนในรถไฟตื่นเต้นกันมากมีชาวต่างชาติหลายคนมาคุยกับเราเรื่องว่าจะถ่ายรูปมุมไหนดี ไปถ่ายท้ายขบวนดีมั้ยนะ ? ในตอนแรกเรามองไม่เห็นวิวอะไรเลยเพราะส่วนที่ได้เห็นคือฝั่งที่นั่งด้านขวา ก็แอบรู้สึกเสียดายที่เป็นแบบนั้น เราก็เลยไปขอคนด้านซ้ายยื่นมือออกไปถ่ายรูปบ้าง แต่พอรู้สึกว่าเหมือนตัวเองไปแย่งวิวเขาเราก็เลยกลับมานั่งที่ของเราซึ่งตอนนั้นมีชาวต่างชาติผู้หญิงมาขอนั่งกับเรา และในตอนนั้นมีชาวพม่า (หรือไทใหญ่) มาบอกพวกเราว่าที่นั่งพวกนี้สามารถปรับให้หันหน้าออกหน้าต่างได้ คุณผู้หญิงคนนั้นก็เลยถามเราว่า เราโอเคมั้ยที่จะหันหน้าออกหน้าต่าง เราก็ไม่ได้ปฎิเสธ (ดีออก) !! แล้วในที่สุดฝั่งเราก็ได้เห็นวิวสะพานแบบเต็มๆหลังจากที่รถไฟตีวงเลี้ยวขวามุ่งสู่สะพานจนขาวต่างชาติที่เราเรียกว่า พี่เซอร์พูดขึ้นมาว่า ตอนนี้พวกเราได้วิวที่ดีที่สุดเราก็คิดว่าดีที่สุดจริงๆเพราะว่าเราอยู่ใกล้สะพานมากกว่าเดิม เห็นชัดกว่าเดิม ก่อนข้ามสะพานไปรถไฟจอดให้พวกเราได้ถ่ายรูป อารมณ์คล้ายๆตอนนั่งรถไฟเที่ยวกาญจนบุรีแล้วจอดบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว ดีงามมากๆ

เรารู้สึกตื่นเต้นกับวิวของภูเขาที่มองออกไปตอนที่รถไฟกำลังข้ามสะพานอยู่มากกว่า เราไม่ชะโงกหัวออกไปถ่ายรูปแต่ก็ตั้งกล้องถ่ายรูปวิวภูเขาด้านหน้าจนพี่เซอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆเราหันไปถ่ายรูปตาม และก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากเมื่อลองมองลงไปที่ด้านล่างสะพานที่มองเห็นลำธารเล็กๆมีน้ำไหลอยู่นึกไม่ถึงเลยว่าสะพานจะสูงได้ขนาดนี้

หลังจากผ่านสะพานมาได้บรรยากาศก็เข้าสู่ความสงบเหมือนเดิม เราหันที่นั่งกลับไปที่เดิมอีกไม่นานจะถึงเมืองสีป้อแล้ว แน่ล่ะรถไฟช้ากว่าเวลาที่กำหนดเกือบ 2 ชั่วโมงเราดูเทียบเวลาที่ควรถึงสถานี Gokteik Viaduct ก็เลยไปคุยกับคุณโสภณอีกรอบว่าจะไปลงเมืองสีป้อก่อนหรือเปล่าเพราะดูท่าจะเริ่มลังเลแล้วว่าอาจถึงเมืองลาโชว์ 5 ทุ่มแน่ๆที่พักก็ไม่ได้จองไว้ สรุปได้ว่าพวกเราจะลงด้วยกันที่สีป้อ (เย่ ได้เพื่อนแล้ว)
ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองสีป้อ ซึ่งเป็นอีกสถานีที่ครึกครื้นมากๆคนพลุกพล่านไปหมด เราลงรถไฟกับคุณโสภณด้วยความช่วยเหลือจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ช่วยกันยกวิวแชร์ลงมา จากนั้นคนของเกสเฮาสต์ที่เราไปพักก็เดินมาเรียกลูกค้าซึ่งเราก็ดีใจมากนึกว่าต้องเดินหาทางไปเอง เราจัดแจงถามห้องพักเผื่อคุณโสภณว่ามีแบบไม่ต้องขึ้นบันไดหรือเปล่า แต่ไม่รู้ว่าเขาฟังรู้เรื่องมั้ยแต่เขาก็ตอบเราอย่างไวว่า “Ok Ok” แล้วพาพวกเราไปยังรถกระบะคันเล็กๆทั้งหมดจบในเวลาไม่ถึง 5 นาทีพวกเราอยู่บนรถแล้วกำลังมุ่งหน้าไปที่พัก พี่พนักงานที่เข้ามาคุยกับเราถามเราที่นั่งกับเขาที่หลังกระบะว่ามาจากไหน พอเขารู้ว่าเรามาจากประเทศไทยก็ดูตื่นเต้นแล้วบอกว่าพวกเราคุยภาษาคล้ายๆกัน แล้วยกตัวอย่างคำที่คล้ายๆกันมาคุย เช่น กินข้าว หรือการถามไถ่ต่างๆ

ที่พักเรามีชื่อว่า Ye Shin Guest house เราได้ที่พักแบบเตียงเดี่ยว แบบนอน
2 คนไม่มีห้องน้ำในตัวซึ่งต้องนอนคนเดียว ราคา 10 usd ถ้าแบบมีห้องน้ำในตัวก็ 13 usd  ห้องน้ำรวมสะอาดใช้ได้ แยกกันกับห้องอาบน้ำ เราพยายามหาที่พักที่เป็นแบบนอนรวมแต่ก็ไม่มี ตอนแรกที่ตัดสินใจมาเมืองสีป้อเราคิดว่าเป็นเมืองที่ลึกลับมาก คนไม่ค่อยมี  เป็นเมืองห่างไกลมีแต่ป่า เรานึกถึงการที่ต้องนอนคนเดียวในเมืองนั้น เราไม่ค่อยได้นอนคนเดียว เราไม่เคยนอนคนเดียวจนเมื่อปีที่แล้วตอนไปทำงานที่ญี่ปุ่น เราเป็นคนกลัวผีมาตั้งแต่เด็กๆแต่เราคิดว่าผีญี่ปุ่นคงไม่มาหลอกเราหรอกมันคนละวัฒนธรรม (ถึงเราจะคุยภาษาญี่ปุ่นได้ก็คงคิดว่าผีคงไม่กล้ามาหาก็เลยนอนคนเดียวได้ แต่ก่อนไปก็ซ้อมนอนคนเดียวก่อนด้วย) แต่พอมาเป็นแถบบ้านเราปุ๊บเรากลับกลัวการนอนคนเดียวซะงั้น แต่พอเข้าเมืองมาและมาถึงที่พัก โอ้ววววว ทุกอย่างผิดจากที่คิดหมดที่เกสเฮาต์มีชาวต่างชาติเยอะมาก (แน่ล่ะ เราก็ต่างชาติ) แถมบรรยากาศก็ครึกครื้นมาก มีร้านขายของ ธนาคาร ร้านขายมือถือ ร้านขายไก่ย่างห้าดาว ผิดไปจากที่คิดแต่ก็ไม่เยอะ ไม่มีสิ่งก่อสร้างสูงๆ

เราถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวจากหน้าเคาเตอร์ต้อนรับ ทราบว่าเป็นลูกเจ้าของเกสเฮาสต์แห่งนี้เป็นคนจีน(แต่พูดจีนไม่ได้นะเออ)  เราพูดภาษาจีนสั้นๆไปเขาไม่เข้าใจ ฮา เนื่องจากเราพักแค่คืนเดียวก็เลยไม่สามารถเข้าทริปเทรกกิ้งขึ้นเขาชมวิถีชีวิตชาวเขาได้ แต่เขาแนะนำว่าเราสามารถไปน้ำตก และบ่อน้ำร้อนได้ เราทราบมาก่อนว่ามีน้ำตกอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านแต่ก็แอบกังวลที่จะต้องเดินไปคนเดียว ตอนแรกตั้งใจจะไปชมหอตะวันออก (The east haw) ตามรอยรีวิวคนไทยที่มาเที่ยวเมืองสีป้อ แต่ว่าเราก็ไม่ได้รู้จักอะไรมากเลยเลือกไปน้ำตกดีกว่า


เหมือนตัวเองเป็นใบ้มาตั้งแต่ถึงประเทศพม่า วันนี้มีคนกินข้าวด้วยรู้สึกดีมากๆ คิดว่าถ้าคุณโสภณไม่ลงมาด้วยก็คงนั่งกินข้าวคนเดียวหรืออาจจะไม่กินข้าวเลย พวกเราเลือกร้านอาหารใกล้ๆที่พักเป็นร้านอาหารพม่าก่อนที่จะพากันไปสำรวจเมือง เราอยากไปดูแม่น้ำก็เลยชวนคุณโสภณให้ไปด้วย นั่งคุยเรื่องทั่วไปยืดยาวจนค่ำแล้วพากันกลับที่พัก และจากการที่คุณโสภณมาด้วยแกก็เลยชวนกินเบียร์กับชาวต่างชาติสองสามีภรรยานักโบกรถที่พักอยู่เกสเฮาสต์เดียวกัน 


คุณโสภณเปิดหนังสั้นของเจ้าตัวให้ทั้งคู่ดู เป็นหนังสั้นที่เคยชนะการประกวดในเทศกาลภาพยนตร์ Bangkok Gay & Lesbian Film festival 2015 เรื่อง " Inside of Me " 


จากคุยเรื่องทั่วไป ก็กลายเป็นเรื่อง เลดี้บอยในเมืองไทย คุณเอียนผู้เป็นสามี พูดแซวภรรยาขำๆว่า อยากไปเที่ยวเลดี้บอยที่ประเทศไทย อยากไปให้เห็นว่าเลดี้บอยที่ไทยเป็นยังไงบ้าง

เราเอารูปภาพผู้หญิงที่หนุ่มนักกีฬาเวคบอร์ดที่ติดตาม IG อยู่ให้คุณเอียนดู
คุณอยากรู้มั้ยว่า เลดี้บอยไทยนั้นสวยขนาดไหน พร้อมกับยื่นรูปให้ดู
โอ้ว มันขนาดนี้เลยหรอ นี่เลดี้บอยจริงๆหรอ ”  


ภาพที่โชว์ให้ดูนั้นเป็นภาพที่สาวประเภทสองที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงมัดผมมวยเกล้าขึ้นอย่างสวยงาม หน้าตาไม่สามารถมองออกได้เลยว่าเป็นผู้ชายหรือไม่ แต่ที่น่าตกใจคือพ่อหนุ่มเวคบอร์ดถ่ายภาพนี้ในห้องน้ำชายซึ่งสาวประเภทสองคนนั้นยืนทำธุระอยู่ข้างๆกัน คุณเอียนยิ่งอยากไปดูเลดี้บอยหนักกว่าเดิม

จากที่เราต้องกลับมัณฑเลย์ตอนบ่ายพรุ่งนี้ซื้อตั๋วรถบัสกลับแล้วก็ถูกชวนให้อยู่ต่อ (ไม่รู้จะรีบไปทำไม) เพราะคุณเอียนจะชวนไปร้องคาราโอเกะ ! รู้สึกสนุกกับคืนนั้นมากทั้งเด็กหนุ่มในเกสเฮาสต์ที่เป็นลูกครึ่งบังกลาเทศชื่อว่า อ็องตัน ก็มาคุยด้วย เขาบอกว่าชอบดูหนังประเทศไทยมากชอบดูเรื่องพี่มากพระขโนง ชอบมาริโอ้ ! เรากับคุณโสชมว่าเขาหล่อ ดูดี อายม้วนใหญ่เลย ไหนจะลูกชายเจ้าของเกสเฮาสต์ที่แวะมาคุยด้วยก่อนนอนพร้อมชวนให้พวกเราไปดูพระอาทิตย์ตกกันในวันพรุ่งนี้ทางเกสเฮาสต์จะพาไปฟรีเนื่องจากเป็นวันวาเลนไทน์ ถ้าอยู่คนเดียวคงนอนแต่หัวค่ำแล้วแต่นี่ดันกินกันจนคนอื่นนอนหมดแล้วเสียงดังกันอยู่ 2 คน

มานึกถึงตอนนี้ วันที่นั่งบันทึกการท่องเที่ยวหลังจากผ่านมาได้ 2 เดือนกว่าๆแล้ว เราก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นจากการต้อนรับของชาวเมืองสีป้อ ไม่ว่าจะเป็นคนของเกสเฮาสต์ที่ช่วยเหลือ ชาวบ้านที่เข้ามาทักทายเรากับคุณโสภณที่คุยภาษาไทยกันอยู่ข้างริมแม่น้ำ นั่นแหละช่วงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเราตกหลุมรักเมืองนี้อย่างจริงจังเลย (พ่อบอกว่า ไม่แปลกเราชอบอะไรที่บ้านๆ)

รุ่งเช้า เราจึงตัดสินใจอยู่ต่อหลังจากที่คุยกับบัดดี้ตอนนอนเกือกกลิ้งอยู่ในห้องขณะที่ยังกำหนดไม่ได้ว่า วันนี้จะไปไหน เราคิดว่าเราอยากอยู่สีป้อหลายวันตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว แต่เพราะเราจองที่พักแบบตัดเงินไปเลยไว้ที่มัณฑเลย์เรียบร้อยแล้วรู้สึกไม่อยากเสียเงินอีก เราจึงกำหนดสีป้อไว้แค่คืนเดียว ซึ่งหนูใหม่บัดดี้ได้บอกว่า เงินแค่นั้น กินบุปเฟต์แป๊บเดียวก็หมดมันไม่ได้มากมายเลย ดีกว่ามานั่งเสียใจที่ไม่อยู่ต่อเราก็เลยจัดการขอเพิ่มวันพักอีก 1คืนและขอซื้อตั๋วเดินทางกลับใหม่โดยเปลี่ยนจากนั่งกลับมัณฑเลย์ยิงตรงไปย่างกุ้งเลย แล้วเราก็ออกไปเที่ยวน้ำตก


ถึงแม้ว่าตัดสินใจอยู่ต่อและจะไปเที่ยวน้ำตก แต่เราก็ตื่นมาแบบขี้เกียจนอนกลิ้งไปมาบนเตียงที่มีผ้าห่มหนาๆม้วนอยู่ ตอนนอนรู้สึกมึนมากจนต้องเปิดไฟนอนไม่ใช่เพราะกลัวผีอย่างที่คิด แต่เพราะดื่มเบียร์ไปเยอะมากๆจึงทำให้เวลาปิดไฟจะทำให้เวียนหัว คืนนั้นเราลุกเปิดไฟและปิดไฟ
2 รอบ เราคิดว่าเราโอเคแล้วไม่เวียนหัวแล้วก็ลุกไปปิดไฟแต่สุดท้ายก็ลุกไปเปิดอีกรอบ กว่าจะได้นอนจริงๆก็ตี 1 กว่าๆ แผนที่ที่ได้มากจากเกสเฮาสต์บอกว่าเดินทาง 1 ชั่วโมง ไปกลับ 2 ชั่วโมง เรามีนัดนั่งรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เกสเฮาสต์ 4 โมงเย็น แต่เราออกเดินทางก็เที่ยงแล้ว ในใจตอนนั้นคิด โอ๊ยทันมีเวลาเดินตั้ง 3 ชั่วโมงกลับมาพักอาบน้ำได้ตั้ง 1 ชั่วโมง

อากาศร้อนผิดกับเมื่อคืนมากๆ พระอาทิตย์ช่วงก่อนเที่ยงแยงตาสุดๆ อากาศแห้ง เราตรงไปยังถนนเส้นหลักที่ไปมัณฑเลย์ มุ่งไปทางสถานีรถไฟเมืองสีป้อ เรารู้ว่าอากาศหนาวเย็นแน่ๆเราถึงได้เอาเสื้อกันลมและเสื้อแขนยาวมา แต่ระหว่างทางก็ไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นเลยเราก็เลยคิดว่าเราคงไม่ได้สัมผัสอากาศหนาวแน่ๆ แต่พอพระอาทิตย์ตกดินอากาศคนละเรื่องเลย แต่เสื้อลายสก๊อตแขนยาวและกางเกงขายาว(สำหรับปีนเขา) ก็ไม่ได้ถูกหยิบมาใช้กันความหนาว เสื้อกันลมตัวเดียวก็เอาอยู่
แผนที่การเดินทาง น้ำตกอยู่ซ้ายล่าง ที่พักเราอยู่แถว BANK
ฝุ่นจากข้างถนนเยอะมากๆ เดินตามกลุ่มชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งคิดว่าน่าจะไปน้ำตกเหมือนกัน แต่แล้วก็เดินไปไหนก็ไม่รู้ เดินหนีบรองเท้าแตะพร้อมน้ำขวดเล็ก ขวด กล้วยจากมื้อเช้า ลูก ขนมปังบิสกิต เดินตรงตามแผนที่ไปเรื่อยๆ ตรงไปจริงๆ ตรงไปจนเลยไปจะถึงมัณฑเลย์เลยมั้ง (ฮ่าๆ) จนตอนนี้ก็ยังมานั่งคิดๆคือทางเดินมันก็ไม่ได้ยาก แต่เพราะเรามักไม่เชื่อเซ้นแรกของตัวเอง ทำให้เราตัดสินใจพลาดตลอด เราเดินเลยไปเรื่อยๆแบบไม่เหน็ดเหนื่อยจนนึกขึ้นมาได้ว่ามันไกลเกินไปแล้วจึงไปลองถามคนแถวนั้นดู เป็นบ้านชาวเนปาล แกบอกเราว่าเราต้องย้อนกลับไปอีกนิดแล้วเลี้ยวเข้าไปทางที่มีสุสานจีน … เราจึงย้อนกลับไปแต่เดินอยู่ดีๆตรงทางโค้งที่เป็นหน้าทางเข้า มีมอเตอร์ไซค์ของกลุ่มฝรั่งปีนเขาที่เราเห็นเมื่อวานตอนเย็นขี่ผ่านเราไป แต่คันสุดท้ายที่ตามหลังเพื่อนมาดันแหกโค้งล้มต่อหน้าต่อตาเราซะงั้น เราก็เดินเข้าไปดู ตัวต่างชาติคนนั้นดูท่าไม่เป็นอะไรเพราะลุกขึ้นมาได้ (ถามเขา เขาบอกว่าไม่เป็นไร) แล้วก็ช่วยกันมองหาชิ้นส่วนกระจกรถที่หลุด แล้วเราก็เดินมุ่งต่อไป

รางรถไฟ เดินตรงไปเรื่อยๆ จะเห็นรูปปั้นพระยืน(ชี้) ก็เดินตรงไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานตรงทางโค้งจะเจอทางเข้าที่ดูเหมือนวัด มีแต่สุสานจีนเต็มไปหมด
เดินเข้ามาถึงก็เจอทางแยกเลย ซ้ายหรือขวาล่ะ ? ไปทางไหนก็ได้แค่เดินตรงไปทางถนนคอนกรีตก็พอ แต่เป็นขวาดีกว่า
เดินเข้ามาผิดไม่รู้จะหันออกเส้นทางทำไม ดูสิตรงไปก็มีแต่สุสาน นี่เดินจนสุดทาง
เราเดินเข้ามาถึงสุสานจีนตามที่บอก รอบๆตัวเรามีแต่สุสาน น่ากลัวมากจากที่เดินฟังเพลงยังต้องเอาหูฟังออก วังเวงสุดๆ  บริเวณนี้งงสุดๆ ไปทางไหนต่อไม่รู้ก็ไปถามวัยรุ่นที่ผ่านมาเขาก็บอกว่าทางนี้แหละ (ตามถนนคอนกรีต) แต่พอเราเดินตามคอนกรีตไปมองเห็นที่เผาขยะ แถมด้านขวามือทางไปสุสานต่ออีกแต่เป็นแค่พงหญ้าที่มองเห็นร่องรอยคนเดิน เราคิดว่านั่นคือทางไปต่อเราจึงเดินออกจากถนนคอนกรีตเข้าพงสุสานไปเดินไปจนสุดทางไปต่อไม่ได้ รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ถูกล้อมลอบด้วยสุสานใหญ่ๆเต็มไปหมด แต่เราก็มองเห็นฝรั่งกลุ่มที่เราเห็นตอนแรก ตอนแรกเราคิดว่าจะไปคนเดียวให้ได้ สุดท้ายเราก็รอพวกเขาเดินมาจนถึงที่ๆเรายืนรออยู่
"สวัสดีทุกคน พวกคุณกำลังไปที่น้ำตกหรือเปล่า ?"
"ใช่แล้ว แล้วคุณล่ะไปน้ำตกใช่มั้ย" ฝรั่งหนุ่มตัวสูงที่สุดและเป็นผู้เดินนำหน้ากลุ่มถามกลับ
"ใช่ ฉันกำลังไปน้ำตก แต่ไม่รู้ทางแล้ว ขอเดินไปด้วยได้มั้ย"
"ผมจะบอกว่าผมเซย์เยส" หนุ่มฝรั่งตอบกลับพร้อมหันไปบอกเพื่อนๆว่าพวกเขามีเพื่อนร่วมทางคนใหม่
(สรุปก็คือ เดินทางไปตรงที่เผาขยะนั่นแหละ)
ไปกับคนอื่นดีกว่า
เห็นน้ำตกมั้ย ? อยู่ไกลๆ
เราเดินทางไปน้ำตกพร้อมกับชาวต่างชาติหลากหลายชาติที่เดินทางมาคนเดียวแล้วมาเจอกันนี่แหละ มีทั้ง ออสเตรเลีย ออสเตรีย อินเดีย แคนนาดา (อะไรอีกจำไม่ได้) ทุกคนก็พยายามชวนเราคุยโดยเฉพาะ คาเรน สาวเปรี้ยวจากออสเตรเลีย เธอเคยมาเที่ยวเมืองไทย เชียงใหม่ กรุงเทพ พูดภาษาไทยได้นิดหน่อยด้วย อย่างคำว่า พูดภาษาไทยได้มั้ยหรือ อันนี้น่ารัก”  สาวจากอินเดียที่กำลังเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียคุยกับเรามากที่สุด หลังจากที่เธอรู้ว่าเราเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่น เธอก็ชวนคุยใหญ่เพราะเธอชอบ มุราคามิ ฮารุกิ (นักเขียนชื่อดังของญี่ปุ่น) ไอ้เราก็รู้จักแต่ไม่เคยอ่านหนังสือของเขาแต่ก็คุยได้เรื่อยๆ เราทั้งคู่ต่างเดินทางมาคนเดียว ก็มีการคุยปลอบใจว่า มันอาจจะน่ากลัว แต่ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่มีอะไรน่ากลัว ! (ไม่น่ากลัวหรอกชั้นแค่แอบเหงาเอง)



"เฮ้ สุพัตรา" เสียงใครสักคนดังขึ้นมา

"เฮ้ สุพัตรา" เห....ทำไมมีคนพูดเรียกชื่อจริงเราจากด้านหลัง
หันหลังกลับไป
พอหันหลังไปเห็นสาวจากออสเตรียดูลุคพี่สาวเดินเอาพาสปอร์ตมาให้พร้อมกับตักเตือนนิดหน่อย แถมมีการบอกว่าจะให้ฝากไว้กับเขาหรือเปล่า ! ตกใจมาก ถ้ามาคนเดียวนี่ได้ร้องไห้แน่ดีที่ตามเขามา เราพกกระเป๋าสะพายข้างที่ใส่ทุกอย่างไว้ในนั้นไม่ว่าจะเป็นกล้องโกรโปร หนังสือเดินทาง กล้วย ขวดน้ำ ขนมปังบิสกิต คาดว่าตอนที่หนังสือเดินทางหล่นก็คงเป็นตอนหยิบกล้องหยิบขวดน้ำนั่นแหละ

ทางเดินไปน้ำตกหลังจากผ่านจุดเผาขยะมาแล้วนั้น จากถนนลาดปูนก็เป็นทางเดินที่เป็นดิน เป็นทรายเลย เดินแล้วฝุ่นฟุ้งมากๆ มองเห็นน้ำตกอยู่ไกลๆที่ภูเขาที่อยู่ด้านหน้า แดดร้อน ไม่คลาย ไม่มีเมฆเลย ถ่ายรูปออกมาเป็นสีจ้าขาวโพลนไปหมด ถึงแดดจะร้อนคอแห้งผากเพราะน้ำใกล้หมดพยายามจิบทีละนิดหน่อย แต่เราก็เดินกันเพลินๆมองแปลงผัก มองวิธีการทำการเกษตร มีการทำทางให้น้ำไหลภายในแปลงผักน่าจะเป็นน้ำจากน้ำตกได้ยินเสียงน้ำไหลตลอดทาง

สภาพเขรอะมาก สาวอินเดียถามว่า ไม่ใส่รองเท้าปีนเขามาหรือ ?”
คือปกติชั้นก็มีรองเท้าปีนเขานะแต่ชั้นไม่คิดว่าจะมาที่นี่พากันหัวเราะใหญ่ ตอนเดินเข้าดงสุสานนี่โดนอะไรก็ไม่รู้ตำเลือดออกเต็มไปหมด
พอถึงน้ำตกด้วยอาการที่แทบจะเป็นลมหิวน้ำมากๆแต่น้ำยังไม่หมดนะ เผื่อไว้ขากลับ เราปีนขึ้นไปนั่งเล่นข้างบนตรงที่ไม่มีใครขึ้นไปเท่าไร ส่วนเพื่อนต่างชาติก็ลงน้ำบ้างไม่ลงบ้าง แน่นอนว่าเราไม่ลง (มาน้ำตกแต่ไม่ลงน้ำ ฮ่าๆ) ไม่ใช่เพราะว่าน้ำเย็นมากๆจนไม่กล้าลงแต่เพราะไม่สามารถลงได้มากกว่า คู่สามีภรรยาชาวต่างชาติที่เราคุยด้วยเมื่อวานก็อยู่ที่นั่น คุณเอียนสามีชวนเราลงเล่นน้ำ (แต่เราก็ไม่ลง) นั่งทำมิวสิคถ่ายภาพผีเสื้อสบายๆดีกว่า มีวัยรุ่นชาวพม่า (หรือไทใหญ่) มากันเป็นคู่ๆใส่ชุดคู่กันมาเที่ยวกันเป็นกลุ่มดูน่ารักดี วันนี้เป็นวันแห่งความรักนี่นะ มีบางคนขึ้นมากระโดดน้ำจากจุดที่เราเล่น ที่ถ้าเราไม่ติดปัญหาก็คงกระโดดบ้างแล้ว


น้ำตกนี้มีชื่อว่า
“Nam tok water fall” เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลจากบนภูเขาลงมาที่บ่อน้ำเล็กๆเท่านั้นเอง ดูท่าจะมีปลาด้วยเพราะมีคนมายืนตกปลาอยู่ใกล้ๆเรา มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเดินมาแล้วเดินกลับถ้าเทียบกับน้ำตกต่างๆที่เคยไปมาที่นี่ดูธรรมดามากๆ แต่คิดว่าอยากจะเข้ามาดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่เมืองนี้มากกว่าอีกทั้งเราก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรแค่อยากมาใช้ชีวิตเฉยๆ
กินขนมปังอร่อยๆกับวิวนี้ 
เกือบจะบ่ายสามแล้วเรารีบขอตัวกลับก่อนเลยไม่รอกลับพร้อมกลุ่ม ต้องรีบกลับไปให้ทันเวลานัด โมงเย็น เรายังไม่ได้กินข้าวแบบเต็มอิ่มเลย เมื่อเช้ากินแค่ไข่ดาวและขนมปังไม่กี่ชิ้น รู้สึกหิวมากแล้วพอลงจากน้ำตกมาหันไปเห็นหลังพุ่มไม้ที่มีชั้นน้ำตกอยู่มีขอนไม้พาดเป็นทางเดินไว้ จึงเข้าไปนั่งกินขนมปังในนั้น นั่งห้อยขากินขนมปัง รู้สึกเย็นใจมากแต่พลาดตรงที่ขนมปังยิ่งทำให้คอแห้งแต่น้ำเราหมดขวดเสียแล้ว
อยากกอกน้ำไว้กินมาก แต่ทำได้แค่อาศัยใช้น้ำชาวบ้านมาล้างหน้า เย็นสบาย 
นี่วันวาเลนไทน์ ชั้นกำลังมาเจอกับอะไรเนี่ย โอยยยยย 
พอออกจากสุสานจีนจนมาถึงถนน จำได้ว่ามีร้านของชำเล็กๆตรงปากทาง เรารีบดิ่งเข้าไปซื้อน้ำเปล่าและน้ำโค๊ก ยืนกินหน้าร้านส่งเสียง อ้า โค๊กมันซ่าจริงๆ  แบบไม่อายลูกแม้ค้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆเลย ตอนนั้นมันหิวมากจริงๆอากาศร้อนมาก น้ำหมด ปากแห้ง โอ้โห้ ทรมานสุดๆ

เรารีบเดินกลับเกสเฮาสต์พร้อมจินตนาการถึงไก่ย่างห้าดาวที่เราจะจัดเป็นมื้อเย็นวันนี้ แน่นอนว่าเราซื้อไก่ย่างห้าดาวของเมืองสีป้อมาเป็นอาหารเย็นจริงๆตามจินตนาการ เป็นปีกไก่  2 ชิ้นไม่มีข้าวเหนียว ไม่มีน้ำจิ้ม รีบเอาไปนั่งกินในห้องพักภายในเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดพบ แถมจัดโค๊กเพิ่มอีกกระป๋องไปนั่งกินพร้อมกับไก่ ออกช้ามากไม่พอแถมเดินหลงซะเยอะแทนที่จะได้มาพักสบายๆก่อนต้องรีบแทะไก่ย่างสุดๆ

สภาพเท้าเราแย่มาก เราหนีบแตะคู่นี้มาโดยไม่ได้ดูว่า พื้นรองเท้ามีแค่ข้างเดียวรองเท้าบางมากจึงทำให้เวลาที่เดิน เราโดนหินตำตลอดทางจากการซ้อมก่อนปีนเขาอาทิตย์หน้า กลายเป็นว่าเราได้แผลเท้าพองเพิ่มเข้ามาอีก พอถึงที่พักเปลี่ยนเสื้อผ้ารู้ตัวอีกทีก็เดินด้วยเท้าเปล่าไม่ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าจะใส่แตะเดินต่อได้มั้ย โชคดีที่พกรองเท้าพื้นนิ่มๆมาจึงต้องเปลี่ยนใส่คู่นิ่มๆแทน


เรากับคุณโสภณและฝรั่งอีก
3 คนนั่งรถของทางเกสเฮาสต์ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่จุดชมพระอาทิตย์เรานั่งด้านหลังเหมือนเดิมเย็นสบายมากๆ ชอบเวลานั่งหลังรถแบบนี้ ฟังเพลงไปด้วย นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของวันนี้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองแต่เราก็เจอเรื่องต่างๆมากมายในดงสุสานจีน (นึกไปถึงคืนนี้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตอนนอนมั้ยนะ กลัว !)


Sunset Hill จุดชมวิวนี้ออกมาไกลจากที่พักนิดหน่อย นี่ถ้าเขาไม่พามาก็คงไม่ได้ออกมา ต้องเดินไต่ถนนที่ชันขึ้นมาด้วย ไม่รู้ว่าเหนื่อยขนาดไหนเพราะเรานั่งรถขึ้นมา ฮ่าๆ เราสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำคดเคี้ยวและมีฉากหลังสุดเป็นภูเขาสลับฟันปลากัน มองเห็นเมืองเล็กๆอยู่ตรงหน้า ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงอาทิตย์ยามเย็นอ่อนๆสาดลงมาที่ภูเขาต่อมาที่แม่น้ำ เป็นวิวที่ทำให้รู้สึกสบายใจมาก จำได้ว่านั่งสูดลมแล้วถอนหายใจไปหลายเฮือก (อาจทำให้คนข้างๆรำคาญได้) รู้สึกดีที่ไม่ได้รีบกลับไปตั้งแต่หัววันแต่ก็รู้สึกเศร้าที่ก็ต้องจากเมืองนี้ไปอยู่ดี... ใจหายว๊าบไปเลยเมื่อนึกถึงชีวิตต่อจากนี้ไป ชีวิตที่ต้องกลับไปหางาน กลับไปทำงานที่ไม่ชอบอีก ไม่อยากดราม่ายาวแต่ทริปนี้ตัวเองดราม่าจริงๆ

ถ่ายภาพกับคุณโสภณ เพื่อนร่วมทริปสีป้อ

หลังจากพากันขึ้นมาบนจุดชมวิวได้เราก็แยกไปนั่งเดี่ยวๆ คุณโสภณมาหาเพื่อมาถ่ายรูปให้เนื่องจากบ่นให้ฟังว่ามาเที่ยวคนเดียวแล้วไม่ค่อยมีรูปเลย ฮ่าๆ ก็เลยได้รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นคนไทยเหมือนกัน คุณโสภณเจอเมื่อตอนกลางวันขณะไปชมหอตะวันออก (เป็นวังของเจ้าฟ้า) แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะปิด ก็คิดว่าเมืองนี้มีคนไทยมาเยอะแต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอ แถมเจอสาวพม่าที่พูดภาษาไทยได้เก่งมากเธอเป็นไกด์อยู่ย่างกุ้ง (หน้าตาน่ารักอีกต่างหาก)

นั่งรอเป็นชั่วโมงแต่พระอาทิตย์พอจะตกก็ตกเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน ตั้งใจว่าจะเอาฟิล์ม ISO 1600 ถ่าย แต่เอาเข้าจริงตอนถ่ายด้วยกล้องไอพอตทัชแล้วจะถ่ายกล้องฟิล์มต่อก็ปรับอะไรไม่ทันจนพระอาทิตย์ก็ตกลับตาลงไปหลังภูเขาแบบงงๆ (ถ่ายออกมาภาพมืดซะงั้น ไม่เคยลอง ISO1600 มาก่อน ถ่ายยากมากแถมฟิล์มก็แพงเสียดายรูปเสียไปเยอะ)


ด้วยเนื้อเรื่องต่างๆที่ผ่านมาจนถึงจุดที่เรายืนชมพราทิตย์ตกดินอยู่ตรงนั้น การที่เราเดินทางมาถึงเมืองนี้ เราเดินทางมาไกลบ้าง เหงาบ้าง เศร้าบ้าง นั่งฟังเพลงไปร้องไห้ไปบ้าง จึงทำให้ความสวยของพระอาทิตย์สวยไปตามเนื้อเรื่อง  ถ้าถามว่าพระอาทิตย์ตกดินที่ไหนสวยที่สุดสำหรับเรา เราเคยคิดว่าเป็นที่เกาะลันตา ตอนเราไปลันตาครั้งแรก ที่เรานั่งเรือออกไปชมพรายน้ำกัน แต่พอมาลองคิดดูอีกที สิ่งที่ทำให้เราคิดถึงวิวพระอาทิตย์ตกดินนั้นไม่ใช่ความสวยของพระอาทิตย์เลย แต่เป็นเนื้อเรื่อง หรือเรื่องราวที่เราพบเจอจนถึงจุดที่เรายืนอยู่ตรงนั้นมากกว่า เราเคยพร่ำว่า วิวไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ความเหงาต่างหากที่เปลี่ยนวิวฉะนั้นแล้ว พระอาทิตย์ตกดินที่ไหนก็สวยที่สุดตามแบบของมัน เหมือนดอกไม้ที่มีเพียงดอกเดียวในโลก...

ตอนที่เรานั่งชมวิวอยู่นั้น จู่ๆเพลง "โปรดส่งใครมารักฉันที" ของ Instinct ก็ดังขึ้นมาในหัวเราซะงั้น ดังกระหึ่มขึ้นมาเหมือนเราจะร้องเพลงนี้ได้จบ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันนึกออกมาแค่ท่อนเดียวเท่านั้นแหละ

เราปิดท้ายค่ำคืนวันวาเลนไทน์ปี 2016 ด้วยความไม่เหงา เพราะเรามีหนุ่มๆล้อบรอบตั้ง 3 คน เรากับคุณโสภณและคุณเอียนที่มีนัดไปกินเข้าด้วยกัน ได้ไปกินที่ร้านอาหารบ้านๆจากการแนะนำของคุณวิทย์ คนไทยที่เจอบนจุดชมวิว ที่บังเอิญไปเจอกันอีกรอบ ก็เลยมีสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารเพิ่มอีกคน ทั้งๆที่ตอนกลางวันตอนเดินผ่านที่เผาขยะฝุ่นฟุ้งยังคิดอยู่เลยว่าทำไมเป็นวันที่ร้อนและเหงาแบบนี้ เราได้ฟังเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับชาวไทใหญ่ รัฐฉาน เรื่องราวเจ้าฟ้า จากคุณวิทย์ ส่วนคุณโสภณดูจะถูกใจมากเพราะชอบเรื่องราวพวกนี้เป็นพิเศษ ผิดกับเราที่ไม่รู้อะไรเลยจนนั่งคิดแล้วคิดอีกว่านี่เรามาเที่ยวที่นี่โดยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ได้ไง แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เรามีคำถามแต่ก็ไม่ได้ถามเพราะคำถามเรามีเยอะไปหมดแบบจับต้นชนปลายไม่ได้ทำได้แค่จดศัพท์ที่ได้ยินจากบทสนทนามาหาต่อ

คืนนี้ไม่ได้ดื่มเบียร์เพราะไม่ไหวแล้ว ดื่มทีไรรู้สึกเหมือนตัวจะแตกทุกที คุณยายที่ร้านอาหารน่ารักมาก เข้ามาคุยด้วยภาษาไทใหญ่ จริงๆเราไม่รู้เลยว่าที่นี่ไม่ได้ใช้ภาษาพม่า (แต่ก็พูดพม่าได้เพราะต้องเรียน) ไม่ใช่คนพม่าด้วยซ้ำ มันมีความซับซ้อนที่ต้องหาโอกาสเขียนเพิ่มเติม คือก็เข้าใจว่าประเทศพม่ามีชนกลุ่มน้อยเยอะมากแต่ก็มองภาพไม่ออกจนได้มาเจอจริงๆ คุณยายอาจคิดว่าพวกเราเป็นคนไทใหญ่กันหรือเปล่านะ มิหนำซ้ำคุณวิทย์ก็พูดภาษาไทใหญ่ได้อีกต่างหาก เพลงภาษาไทใหญ่ลอยผ่านหู ได้ยินหลายคำนี้คล้ายภาษาเหนือ หรือหลายคำที่ฟังออกซะงั้น น่าจะเพราะว่าภาษามันใกล้เคียงกันมากๆ

จากตอนแรกอยู่กัน 4 คน จนสุดท้ายเหลือกัน 3 คนไทยเพราะคุณเอียนเป็นห่วงภรรยาจึงกลับที่พักไปก่อน พวกเราคุยกันจนร้านปิด จริงๆคือเขาคุยกันสองคน เรานั่งฟังอย่างเดียว ก๊าก ! ก่อนจะกลับมีน้องชาวไทใหญ่เข้ามาคุยด้วยเป็นภาษาไทย พูดภาษาไทยเก่งมากทั้งๆที่ไม่เคยคุยกับคนไทย ไม่เคยไปไทยเลย เรียนภาษาไทยจากทีวี และในโรงเรียน ซึ่งนั่นก็ทำให้เรารู้ว่ามีการสอนภาษาไทยในเมืองนี้ด้วย มิน่าตอนนั่งรถไฟมาเห็นคนในรถไฟอ่านหนังสือเรียนภาษาไทยอยู่ด้วย น้องคนนั้นชื่ออาข่าง นึกว่าเราไม่ใช่คนไทย น้องบอกว่า
ผมมองอยู่นานแล้ว คิดว่าคุยภาษาไทยกันแล้วพี่ผู้ชายเป็นคนไทย แต่พี่ผู้หญิงไม่ใช่
“แล้วคิดว่าพี่เป็นคนที่ไหน” เราถามกลับ 
ผมคิดว่าพี่เป็นคนพม่าครับ
นั่นแหละ คุณโสภณก็พูดไว้เหมือนกัน !!



ขอบคุณค่ำคืนที่อบอุ่นทั้งๆที่อากาศคืนนั้นเย็นมาก (นอกจากเราก็ไม่มีใครใส่แขนยาวกันเลย)
ยังไม่อยากกลับ ยังไม่อยากแยก พรุ่งนี้ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว
ผ่านค่ำคืนนั้นโดยไม่เจออะไร ไม่มีใครตามมาจากสุสานจีน ... หลับฝันดีมากๆ


ความทรงจำเมื่อวันที่  10-17 กุมภาพันธ์ 2559
หนึ่งวันที่เกือบเหงา นึกถึงตลอด...อยากกลับไปอีก
by Mei

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images