คินาบาลู
เที่ยวเอง
บันทึกท่องเที่ยว
บันทึกปีนเขา
มาเลเซีย
ไต่ไปให้สูงกว่าเมฆ ณ คินาบาลู สิ่งที่อยากทำได้สำเร็จไปอีกอย่าง
1.4.59
ในช่วงปลายปีนี้
(2559) เราตั้งใจว่าจะไปปีนเขาที่เนปาลกับใหม่
2 คน
ซึ่งมันมีความสูงที่เกิน 4,000 เมตร ด้วย พวกเราถกเถียงเรื่องอาการแพ้ความสูงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่ลองไต่ขึ้นไปที่ความสูงเกินระดับ
3,000 เมตรมาก่อน
ที่พวกเราคิดก็คือ ถ้าเราจ่ายเงินมากมายเพื่อไปที่เนปาล (แผนคือ ABC) แล้วเกิดแพ้ความสูงขึ้นมาจะทำยังไง พยายามมองหาเขาลูกใกล้ๆไว้ฝึกซ้อม ตอนแรกตั้งใจจะไปภูเขาฟานสิปัน ที่ประเทศเวียดนามแต่ใจจริงๆอยากปีนคินาบาลูมากกว่า
แต่พวกเรายังไม่ได้เริ่มหาข้อมูลอะไรแล้วคิดว่าการไปคินาบาลูต้องจองวุ่นวาย ดังนั้นพวกเราจึงตั้งใจไปที่ภูเขาฟานสิปัน ประเทศเวียดนามในช่วงเดือนเมษายน แต่แล้วโชคก็เข้าข้างมีการประกาศหาคนร่วมทริปขึ้นภูเขาคินาบาลูทางอินเตอร์เน็ตซะงั้น
พวกเรา 2 คนไม่รอช้าตัดสินใจร่วมทริปทันทีถึงค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นคินาบาลูสูงกว่าฟานสิปัน และคินาบาลูก็เป็น 1 ในสถานที่ที่เราอยากไปก่อนตายด้วย จะไม่ให้เลือกได้ยังไงละ ?? ไปมาเลเซียรอบนี้รอบที่ 3 แล้วจ้า
ยอดเขาคินาบาลู สูงกว่า 4,095 เมตร เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติคินาบาลู รัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย อุทยานนั้นมีพื้นที่กว่า 754 ตารางกิโลเมตร นึกถึงตอนซื้อหนังสือ 100 WORLD DERITAGE TRAVEL AROUND THE WORLD ที่ซื้อมานั่งดูรูปเล่น แต่กลายเป็นว่า เราอยากจะไปให้ครบ 100 ที่ในหนังสือเล่มนั้นเลย แน่ล่ะว่าอุทยานแห่งชาติคินาบาลูก็เป็น 1 ในนั้น ไม่คิดว่าจะได้ไปเยือนเร็วขนาดนี้ แต่ก็ไปแค่ปีนภูเขาคินาบาลูนะ ฮ่าๆ
เรามีเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คนโดยไม่รวมหนูใหม่ ก็คือ พี่หนูที่เป็นคนประกาศหาเพื่อนร่วมทริป และพี่อุ้ยลูกทริปที่จับพลัดจับพลูมาเหมือนพวกเรา 2 คน โดยทริปนี้พี่หนูจัดการทุกอย่างหมดเลย (ต้องขอบพระคุณพี่หนูเป็นอย่างมาก) ก่อนเดินทางมีเหตุการณ์ให้น่าตื่นเต้นเยอะมาก ตั้งแต่เรื่องเอเจนซี่ ยันเรื่องซื้อตั๋วเครื่องบิน พวกเราพยายามซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวกันทั้งหมดเพื่อเดินทางไปไหนมาไหนพร้อมกันเลย แต่ก็มีเหตุการณ์ใหม่ไม่สามารถซื้อตั๋วได้บ้าง จ่ายเงินไม่ทันหลุดจองบ้าง กว่าจะนั่งสวยๆรอเวลาเดินทางได้ ก็เหงื่อตกไปเยอะเหมือนกัน พวกเราไม่ได้เจอกันก่อนเดินทางเลย มาเจอหน้ากันครั้งแรกก็ที่สนามบินดอนเมืองในวันเดินทางเลยนั่นแหละ เจอพี่หนูก่อน พี่อุ้ยมาที่เกทเกือบเวลาเครื่องออกเลย คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย ตอนนี้รู้จักกันแล้ว
ภูเขาคินาบาลูนอกจากที่เราตั้งใจไปทดสอบร่างกายแล้ว
ก็มีอีกเหตุผลนึงที่เราคาใจแล้วต้องการคำตอบมากก็คือ “การปีนคินาบาลูเป็นเรื่องง่าย แค่เดินเฉยๆ “ ไกด์เทียนแห่งรินจานีบอกไว้อย่างงั้น
เราไม่สามารถเอามาพูดต่อใครๆได้ว่าจริงเช่นนั้นหรือเปล่า
รู้สึกคาใจและอยากพิสูจน์มาก
เป็นครั้งแรกที่เดินทางเข้ามามาเลเซียทางเครื่องบิน
ใน 2ครั้งที่แล้วเราเดินทางเข้ามาเลเซียด้วยรถตู้โดยสาร
ตื่นตาตื่นใจกับสนามบิน KL มากๆ เกทอลังการ ห้องน้ำสะอาด ที่นั่งรอในเกทก็มีเยอะ
และดีสุดๆตรงที่มีอินเตอร์เน็ตไวไฟให้ใช้ตลอด พวกเรา 4 คนบางทีก็เดินหลงบ้าง
ก็ใช้ไวไฟสนามบินไว้ติดต่อกัน ที่สนามบินโกตาคินาบาลูก็เหมือนกัน
พวกเราหลงทางกันที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็ได้ไวไฟฟรีของสนามบินช่วยเอาไว้
พวกเราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียไปลงสนามบิน
KL จากนั้นก็ต่อเครื่องภายในประเทศของแอร์เอเชียเหมือนกันไปลงที่สนามบินนานาชาติโกตาคินาบาลู |
นั่งรถเข้าเมือง
|
อาหารมื้อแรก
ร้านอาหารหน้าที่พัก
|
หลังจากถึงเมืองโคตาคินาบาลู
พวกเราเดินออกมาสำรวจเมืองหาอะไรกินเสร็จก็รีบเข้านอน
เพราะตอนเช้าทางเอเจนซี่จะส่งคนมารับเราไปที่อุทยาน นัดไว้ประมาณ 7 โมงเช้า แต่มาช้ากว่าเวลา
ทริปคินาบาลูนั้นถือว่าเป็นทริป 1 เดือนที่พักผ่อนหลังออกจากงานอีกทริปหนึ่งต่อจากเที่ยวพม่าเลย ตอนแรกตั้งใจว่าหลังจากกลับจากพม่าจะไปเที่ยวลาวต่อ นัดแนะกับรุ่นพี่ไว้ซะดิบดีตอนอยู่สีป้อว่าจะไปลาวด้วย แต่เพราะว่าเดินเที่ยวในพม่าโดยเฉพาะเมืองสีป้อจนเท้าพอง (ใส่รองเท้าพื้นขาดเดิน) อีกทั้งไม่ค่อยได้กินข้าวระหว่างเที่ยวทำให้รู้สึกว่าร่างกายไม่พร้อมแน่สำหรับคินาบาลู (อยู่พม่าอุตสาห์ไม่กินเบียร์พม่าเยอะ) เราจึงตัดสินใจไม่ไปลาวเพื่อเตรียมพร้อมร่างกายดีกว่า ก่อนไปก็พยายามไม่ออกกำลังกายกน้ำหนัก ไม่หักโหมกับกีฬาเกินไป ไม่ต้องพูดถึงเวคบอร์ด เพราะไม่ได้เล่นมาเป็นเดือนแล้ว
ยิ่งกว่าความวุ่นวายใดๆในทริปนี้ก็คือ การที่เราต้องไปปีนเขาที่สูงมากกับคนที่เราไม่รู้จัก … ถึงจะเคยไปปีนเขากับคนไม่รู้จักที่สันหนอกวัวแล้วก็เถอะนะ ก็ยังกลัวๆว่าจะสามารถเดินทางร่วมกับคนอื่นได้หรือเปล่า ที่สำคัญคือเราจะไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ร่วมทริปคนอื่นหรือไม่ เพราะทั้งพี่อุ้ยและพี่หนูต่างก็มีประสบการณ์เดินทางปีนเขากันเยอะกว่าเรามากๆ ทุกคนคิดว่าเราปีนรินจานีมาแล้วน่าจะแข็งและสบายกว่าคนอื่นแต่เราก็คิดเสมอว่า ความยากของเส้นทางไม่ได้ถือว่ามีผลเท่ากับประสบการณ์เลย พวกเราต่างก็ปลอบกันไปมาว่ายังไงก็ต้องลากกันขึ้นเขาให้ได้ทุกคน
จุดนี้ถ้าไม่มีเมฆฝนจะได้เห็นภูเขาคินาบาลูชัดมาก
เสียดายโดนบังเต็มๆ
|
รถแล่นไปเรื่อยๆมองเห็นวิวภูเขาตลอดทาง
จนถึงจุดที่เราสามารถเห็นภูเขาคินาบาลูได้แล้ว
ตอนนั้นจากที่ทำสมาธิกดใจตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นไว้ได้แล้วแท้ๆพอเห็นภูเขาคินาบาลูกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาซะงั้น ภูเขาสูงมาก ดำทมึนตะหง่านน่ากลัว รู้สึกแบบเฮ้ย ! ภูเขาลูกนี้จริงๆหรือ จนมีคนในกลุ่มพูดขึ้นมาว่า …” เฮ้ย กลับเลยได้มั้ย” วันนี้อากาศไม่ค่อยดีเลย มองเห็นแต่เมฆฝนอึมครึมตลอดแม้กระทั่งจุดชมวิวภูเขาคินาบาลูก็ไม่สามารถมองเห็นภูเขาได้
รู้สึกแอบเสียดายและเป็นกังวลมากกว่าระหว่างทางเราจะเจอฝนหรือเปล่าแต่ถึงยังงั้นพวกเราก็ไม่ถอยหลังกลับ
พบปะพูดคุยกันก่อน (ฟาริสถ่ายรูปให้)
|
พอถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานก็ได้เจอไกด์ ได้รับอาหารกลางวัน ป้ายห้อยคอ คุยถึงเส้นทางที่เดิน จากนั้นก็นั่งรถเข้าไปต่อที่จุดเริ่มคือ TIMPOHON เกท |
พร้อมแล้วจ้า |
จุด
Check point TIMPOHON มีของขายด้วย
ซื้อไปให้พร้อมเพราะราคาข้างบนแพงกว่าข้างล่างเยอะ (ม๊าก)
|
พวกเราไม่ได้จ้างลูกหาบเพิ่มเพราะราคาคิดเป็นกิโลละ
13 ริงกิต
โชคดีที่พากันฝากไว้ที่เกสเฮาสต์เรียบร้อยแล้ว
พวกเราจึงเดินตัวเบาหยองปีนเขาอยู่นะ พกกันไปแต่สิ่งของที่จำเป็นล้วนๆ
นอกจากชุดที่ใส่ขาขึ้นที่เป็นเสื้อบางๆกางเกงขาสั้นแล้ว
ส่วนใหญ่พวกเราก็พกกางเกงขายาว ,เสื้อแขนยาว,เสื้อกันหนาว(มีเสื้อพีทด้วย),ไฟฉาย,ชุดลองจอนไว้สำหรับขึ้นยอดเขาและอุปกรณ์ชาร์ตแบตไปด้วย
(อ้อ สารพัดขนมด้วย) หลังจากที่ได้อาหารจากฟาริสพวกเราก็ต้องถือกันเองนะ
ไม่มีใครถือให้ นึกถึงตอนรินจานีคือพวกเราก็แบกกระเป๋าส่วนตัวเอง
แต่พวกอาหารลูกหาบแบกให้หมด ฮ่าๆ มันก็ต่างกันแหละ
เพราะรินจานีพวกเราต้องทำอาหารกางเตนท์นอน
แต่คินาบาลูนั้นเราขึ้นไปกินอาหารบนที่พักบนเขา (สะดวกดีงามมาก)
พวกเรา
4 คนเดินกันแบบไม่มีเพื่อนกลุ่มอื่นเลย
เพราะส่วนใหญ่ออกตัวไปก่อนแล้ว รู้สึกแอบเหงานิดหน่อย ก็พากันเดินกันเป็นกลุ่มโดยมีไกด์ตามหลังมาเรื่อยๆ
เดินกันไปได้กิโลเดียวก็หยุดพักกินข้าวแล้ว (ใจจริงคืออยากลดน้ำหนกสิ่งของที่พก)
จ๊ะเอ๋
!! ถ่ายรูปกันก่อน
|
เราชอบการจัดการของอุทยานคินาบาลู
นอกจากเรื่องความสะดวกสะบายของการปีนเขาที่สะดวกสบายจริงๆ
มีการทำทางเดินเป็นขั้นไว้ตลอดทาง
ถึงแม้บางจุดจะต้องก้าวขากว้างๆเพื่อข้ามเนินใหญ่ๆบ้าง ก็คงเป็นเรื่องการดูแลเรื่องความสะอาด
(แต่เราก็คิดว่าเป็นสำนึกของนักปีนเขามากกว่าที่ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด) เรามองไม่เห็นขยะที่จะทำให้การเดินในป่าผ่านแมกไม้เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดเลย
ซึ่งทำให้มีนักปีนเขาหลายๆคนพยายามเปรียบเทียบกับรินจานีที่อินโดนีเซียในเรื่องความสกปรก
(รินจานี น่าจะเก็บค่าเข้าอุทยานแพงๆ เพื่อไปจ้างเจ้าหน้าที่มาดูแลเรื่องขยะจะดีกว่า
หรือไม่ก็ต้องปรับเงินเอเจนซี่ หรือไกด์ ลูกหาบที่ทำอาหารแล้วไม่ดูแลให้ดี
รวมทั้งนักปีนเขาที่มักง่าย )
การปีนคินาบาลูไม่ทำให้รู้สึกลำบากหรือยากเย็นอะไรเลย ในเส้นทางหลักไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอะไรเป็นพิเศษ พวกเราก็มีเหนื่อยบ้าง
แต่เพราะว่าอากาศเย็นตลอดทางจึงทำให้พวกเราสามารถเดินได้เรื่อยๆ เดินเป็นกลุ่มบ้าง
หรือเดินแยกกันบ้างตามแต่กำลังในช่วงนั้นๆ บางทีเราก็ไปเร็วจนบางครั้งเราก็หาเพื่อนร่วมทางเราไม่เจอเหมือนกัน
อากาศค่อนข้างแปรปรวนตลอดทางเจอไอฝนปกคลุมตลอดจนต้องหยิบเสื้อกันลมกันฝนมาใส่
แต่สักพักก็เจออากศร้อนก็ต้องมาถอดเสื้อออกเพราะว่าพวกเราไม่ชอบที่จะ “ร้อน” นั่นเป็นเหตุให้พวกเราใส่กางเกงขาสั้นมาปีนเขากัน
แต่เดินไปสักพักเราก็ต้องหยิบเสื้อมาใส่อีกเพราะเจอไอฝนอีกซึ่งโชคดีที่ไม่ได้เจอฝนเม็ดใหญ่แต่แค่นี้ก็ทำให้หัวเย็นตัวร้อนได้ การที่ต้องถอดเข้าถอดออกนั้นกินแรงพวกเรามากจริงๆ
มีอีกอย่างที่ทำให้กินแรงมากๆเลยก็คือ
ตอนที่หิวน้ำแล้วต้องเอี้ยวตัวไปหยิบขวดน้ำที่ข้างกระเป๋าเป้
ตอนนั้นคิดเลยว่าเป้น้ำโคตรจะจำเป็นเวลาปีนเขา
ปกติเรากับใหม่จะไปคู่กันตลอดเวลากินน้ำก็จะผลัดกันหยิบให้กันและกันแทนการเอี้ยวตัวหยิบเอง
แต่ตลอดทางก็ใช่ว่าจะไปคู่กันตลอด ก็เลยต้องเหนื่อยเองบ้าง
นี่กำลังพิจารณาว่าจะซื้อเป้น้ำดีมั้ยนะ
มีบางช่วงที่เจอไอฝนปกคลุมหนัก
พี่อุ้ยนำไปข้างหน้า บัดดี้กับพี่หนูตามมา เราก็รอๆ ระหว่างที่รอมองไม่เห็นอะไรเลย
มองไปข้างหน้าก็เจอแต่ไอฝน มองไปข้างหลังก็เช่นกัน อยู่ห่างกันขนาดไหนไม่รู้
จนพี่หนูเดินฝ่าออกมาจากไอฝน เสื้อกันลมสีชมพูแปร๋น แล้วใหม่ก็ตามมาอีกคน
ตอนนั้นแบบดีใจมากๆ เพราะรู้สึกเป็นห่วงทั้ง 2 คนมาก มันเหมือนพวกเราเดินอยู่ในโลกมหัศจรรย์
ไม่รู้ว่าใครจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้ายอะไรบ้าง ได้ข่าวว่าบัดดี้ปวดท้อง
ก็เลยเดินช้า
ตลอดระยะทางที่เดินในภูเขาคินาบาลู
รู้สึกเพลิดเพลินมาก การที่เดินไปอย่างรวดเร็วนั่นคงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ไม่ใช่แค่ต้นไม้แมกไม้น้อยใหญ่สีเขียวอย่างเดียว เราเพลิดเพลินกับมอสที่ขึ้นตามทางมากๆ
ป่าในภูเขาลูกนี้ถูกแบ่งเขตแหล่งที่อยู่ออกตามสภาพทางภูมิศาสตร์ออกได้เป็น
4 เขต ได้แก่ ป่าสนยาง ป่าสนเขา
ทุ่งหญ้าบนที่สูง และพุ่มไม้บนยอดเขาความต่างนั้นก็ยิ่งช่วยให้รู้สึกเพลิดเพลินมากกว่าเดิมจนต้องพากันหยุดพักถ่ายรูปบ่อยๆ อย่างที่บอก เหมือนพวกเราเข้าไปสู่อีกโลกนึงที่เราไม่รู้จะเจออะไรบ้าง
จากบันไดนี้ขึ้นไปเราจะเห็นวิวที่แตกต่างออกไป
|
เปลี่ยนจากป่าฝนที่มีต้นไม้สูงปกคลุมไปเป็นป่าที่มีลักษณะเปิดโล่งแทน
|
โดนเมฆบังมิดเลยนะ
|
เริ่มไต่ขึ้นมาสูงกว่าต้นไม้รูปร่างแปลกประหลาดแล้ว |
เดินมาตั้งนานไม่เห็นตะวันไม่เห็นวิวที่อลังการสักทีพอไต่ออกมาจากป่าฝนเขียวชอุ่มได้
ก็มาเจอป่าโปร่งโล่งที่มีต้นไม้ที่แปลกตามาก ในตอนแรกก็ยังมองไม่เห็นอะไร
บริเวณนี้เริ่มเข้าสู่กิโลที่ 5 แล้ว อากาศเบาบางเหนื่อยง่ายกว่าเดิมบวกกับที่ทางเดินเริ่มชันด้วย มีบางจังหวะที่เมฆหายไปทำให้เห็นวิวภูเขาแบบอลังการมาก
พวกเราดี๊ด๊าวิวที่เห็นตรงหน้าได้แป๊บเดียว
วิวยอดเขาหยักๆแหลมๆต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของยอดเขาคินาบาลูก็ถูกเมฆกลืนไปอีก
สักพักเดียวแดดก็ออกตรงที่ความสูง 3,000เมตร หนูเมและหนูใหม่ดี๊ด๊าเป็นพิเศษเพราะเลยความสูงที่ตัวเองเคยเดินไปแล้ว |
พวกเราลากสังขารมาถึงจุดพักตอนเวลาเกือบ
5 โมงเย็นด้วยความอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก ถึงจะช้ามากแต่ก็คิดว่าดีกว่ามาถึงตอนมืด
ฮ่าๆ นั่งมองเมฆ ถ่ายรูปโดยมีฉากหลังเป็นเมฆ นั่งมองวิวบนเขา รู้สึกสดชื่นมากๆ
เหงื่อที่ไหลซึมเข้าไปในเสื้อเริ่มแห้งจากการที่นั่งพักและอากาศที่เย็น … มีคนเกาหลีกำลังวิ่งออกกำลังกายด้วยฟิตมาก
ที่รู้ว่าเขาเป็นคนเกาหลีก็เพราะว่าเขาติดชาติธงเกาหลีไว้ที่เสื้อด้วย
ที่พักคืนนี้
Laban Rata resthouse
|
ห้องอาหารนี้มีวิวที่ราคาแพงมาก!
|
อิ่มเอมใจกับวิวตรงหน้าสักพักก็พากันไปเช็คอินที่พัก
ทุกคนหิวข้าวแล้วมากๆ อีกทั้งอากาศก็เย็นลงแบบน่าตกใจทั้งๆที่ยังมีแดดอยู่เลย พวกเรากินข้าวก่อนที่จะเอาของไปเก็บที่ห้องพักเพราะก็เย็นมากแล้ว
เลือกที่นั่งริมหน้าต่างปิดตายบานใหญ่ข้างนอกมีระเบียงให้ออกไปรับลมชมวิวด้วย ที่ห้องกินข้าวนั้นดีมากๆ
อาหารมีบริการแบบบุปเฟต์มีน้ำร้อน ชา กาแฟ ผลไม้ครบหมด (แต่ไม่มีน้ำเย็น)
แถมยังมีมินิบาร์สำหรับขายขนมและพวกน้ำอัดลมอีกต่างหาก (ราคาบาดใจมาก โค๊ก 1
กระป๋องราคา 100บาท)
ถ้าไม่ได้มาก็คงไม่ได้เจออะไรที่เย็นตาแบบนี้
|
ก่อนแยกย้ายกันขึ้นไปพักไกด์ของพวกเราได้มาเตี๊ยมพวกเราถึงการเดินทางไปยอดเขาในวันพรุ่งนี้เช้า
โดยนัดกันให้มากินอาหารเช้าตอนตี 2 และจะออกเดินทางตอนตี 3 ตอนนั้นเริ่มรู้สึกไม่สบายแล้วจนต้องเอาถุงร้อนที่พี่หนูซื้อมาแปะตามหน้าผากตามคอเอาไว้พร้อมกับกินยาลดไข้ไปด้วย
เฮ้อ !!
ที่พักเป็นแบบหอพักนอนรวม |
พวกเราพักกับนักปีนเขาชาวมาเลเซีย ห้องน้ำสะอาดมากแต่น้ำร้อนไม่ไหลไม่สามารถอาบน้ำได้เลย ฮ่าๆ แม้กระทั่งล้างหน้าแปรงฟันยังหนาวสั่น … แต่ภายในห้องพักกันอุณภูมิภายนอกได้ดีร้อนจนนอนไม่หลับ (ซึ่งจริงๆเพราะใส่ชุดนอนจัดเต็มกางเกงขายาวลองจอน เสื้อฮีทเทค เสื้อแขนยาว ตั้งใจว่าตื่นมาก็ออกเดินทางได้เลย) กว่าจะบังคับตัวเองให้หลับได้นี่เกือบห้าทุ่ม ... ช่วงดึกๆพี่อุ้ยหนีไปถ่ายรูปดาวด้วยไม่ชวนกันเลย
เมื่อถึงเวลาตื่นนอนก็พากันทยอยเตรียมตัวลงไปกินข้าว
รู้สึกประหม่ามากๆ เราไม่เคยเดินเขาตอนกลางคืน นึกถึงความยากลำบากที่จะเจอ
นึกถึงความหนาวบนยอดเขา นึกถึงความรู้สึกตอนที่ไม่กล้าขึ้นยอดรินจานีเพราะปวดขา (แถมจ่ายค่าขึ้นยอดไม่พอ)
พยายามยืดกล้ามเนื้อเต็มที่ ทั้งๆที่รู้สึกว่าน่องขาตึงมากๆแล้ว ทั้งพี่อุ้ย ใหม่
พี่หนู ต่างก็พากันให้กำลังใจกันไป
การปีนขึ้นยอดคินาบาลูของพวกเราเริ่มช้ากว่ากลุ่มอื่นมากๆ
พวกเราเสียเวลากับการกรอกน้ำลงขวดน้ำใบเล็กคนละขวด แต่เรามีขวดครึ่ง … เนื่องจากไม่มีน้ำเย็นจึงต้องเอาน้ำร้อนมาใส่แก้วแล้วรอให้มันเย็นก่อนถ้าใส่ขวดตอนร้อนมันมีกลิ่นยังไงก็ไม่รู้แถมดื่มแล้วเจ็บคอด้วย
ก็คิดๆอยู่ว่าน้ำจะพอหรือเปล่านะแต่พวกเราก็ไม่มีขวดน้ำสำรองกันเลย
การเดินไปยอดเขานั้นในช่วงแรกก็เกาะกลุ่มกันตลอด
คือเส้นทางเป็นบันไดที่ก็เดินขึ้นไปได้ที่ละคน 2 คน จารจรช่วงแรกถือว่าติดขัดเลย
ในตอนแรกรู้สึกยังไม่ติดไฟเดินแล้วก็รู้สึกปวดน่องขามากกว่าเหนื่อย
เวลาพักเหนื่อยเราก็พักเกาะกลุ่มกันไปเพราะทางมืดมากเดี๋ยวจะหลงแล้วหากันไม่เจอ
จากตอนแรกๆที่ก็มองเห็นผู้ร่วมทางคนอื่นอยู่ข้างหน้า
แต่เพราะพวกเราพักบ่อยมากและมีจุดที่เราถ่ายรูปท้องฟ้ากลางคืนกันนานมาก
ไปๆมาๆกลุ่มอื่นก็ทิ้งห่างไปเลย … เราไม่รู้มาก่อนว่ากล้องโกรโปรของเราสามารถถ่ายวิวกลางคืนได้ถ้าไม่ได้พี่อุ้ยช่วยสอน
ก็คงไม่ได้ถ่ายรูปดาวจากภูเขาคินาบาลู
แต่นั่นแหละยิ่งทำให้กลุ่มเราโคตรเสียเวลาเลย
เดินมาได้ถึงช่วงตี
4กว่าๆ ถึงจุดเช็คชื่อ
Sayat-Sayat Check Point ที่กิโลเมตรที่ 7 ถ้ามาไม่ทันก่อนตี 5 ก็จะหมดสิทธิ์ไปต่อค่ะ ดีพวกเรามาถึงแบบเฉียดฉิวเลย
ตรงจุดนี้เราเคยทราบมาว่าจะมีน้ำให้เติมแต่กลายเป็นว่าไม่มีน้ำให้เติม พี่อุ้ยน้ำหมดแล้วแถมคนที่เหลือก็ใกล้จะหมดไม่ต่างกัน
จากเส้นทางนี้เป็นต้นไปในขณะที่แทบไม่มีน้ำเหลือ เราเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาซะงั้น ทางผ่านจากนี้จะชันกว่าเดิม
พวกเราเดิน เดินไปเรื่อยๆถามหาถึงจุดสิ้นสุด … เราไม่รู้ เรามองไม่เห็น
พยายามคาดหวังต่างๆนาๆว่าแสงรำไรที่เรากำลังไปถึงจะเป็นซัมมิตเสียที
ไม่ได้หมายถึงว่าเราท้อนะ
จากเส้นทางที่เป็นบันไดเดินไปได้ประมาณชั่วโมงกว่าหรือสองชั่วโมง
ก็เริ่มที่จะต้องเดินไต่หินแทน ซึ่งช่วงนั้นเราก็จะเริ่มตามรอยเชือกแทนแล้ว
ก่อนไปเราอ่านรีวิวหลายๆที่บอกว่าต้องไต่ขึ้นไปตามเชือกนั่นเป็นจุดที่เรากลัวที่สุดเพราะที่เราคิดคือมันจะชันแบบตั้งฉากมากๆ
แต่เอาเข้าจริงเราคิดว่าเชือกไม่ได้มีไว้ให้ไต่สักเท่าไรมีไว้ให้เดินตามมากกว่า
เวลาที่ไต่เชือกตามคนอื่นเราว่ามันอันตรายมากๆ
ถ้าคนข้างหน้าเดินถือเชือกไว้แล้วจู่ๆก็ปล่อยถ้าคนที่ตามหลังดึงชือกไว้จนตึงจะทำให้เสียหลักได้
พวกเราก็เลยเลือกไต่ขึ้นไปข้างๆเชือกดีกว่า (แต่ขากลับควรจับเชือกเพราะหน้าจะทิ่มเอาได้)
พี่หนูเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ (หลายปี) มีนักปีนเขา
สองพี่น้องที่ไม่ยอมเดินตามเชือกเพราะคิดว่าไปอีกทางนึงจะใกล้กว่า แล้วพากันออกนอกเส้นทางไปแล้วก็หลงไปเลยสุดท้ายสามารถค้นหาแล้วช่วยชีวิตได้แค่คนเดียวเท่านั้น นั่นแหละการเดินตามเชือกนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำมากที่สุดเพราะรอบๆนั้นมืดมากจริงๆ
เราเริ่มเดินนำห่างออกจากกลุ่มเรื่อยๆ
เรารู้สึกเหนื่อยบ้างเพราะอากาศเริ่มบางเบาแล้ว แต่ว่าถ้าเราเดินช้ามากๆเราก็จะรู้สึกหนาว
พยายามดึงสมาธิให้ตัวเองที่สุดมองไปข้างหน้า แล้วก็ภาวนาถึงจุดสิ้นสุด
เราเดินไปพร้อมกับกลุ่มวัยรุ่นชาวมาเลเซียที่เดินกันมา 3 คน ผู้หญิง 2 คน ผู้ชาย1 คน น่าจะเป็นแฟนกัน 1 คู่ เดินจูงมือกันตลอด
และเราก็เดินไปคู่กับผู้ชายเกาหลี 1 คน
เรามองเงยไปเห็นยอด
South Peak อยู่ตรงหน้า
คิดว่ามันใช่แล้วจุดสิ้นสุดของการเดินทางในเช้านี้
เราพยายามเดินไปให้ระดับของยอดไปเรื่อยๆ
พักรอคนอื่นบ้างแต่อากาศก็หนาวมากจนต้องรีบลุกไปต่อ คอยมองกลุ่มตัวเองตลอดว่าพวกเราไม่ได้ห่างกันมาก
เรามองว่ากลุ่มเราอยู่ไหน โดยการส่องไฟที่คาดไว้บนหัวไปที่เสื้อของหนูใหม่
เสื้อจะเรืองแสงสีเขียวเป็นคล้ายๆรูปโครงกระดูก หนูใหม่มาบอกทีหลังว่า
ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงสาดไฟเข้าไปที่เขาบ่อยจัง ฮ่า เรามองเห็นว่าทางขึ้นนี้ถ้าเราไต่พ้นไปก็จบแล้วแต่ถึงยังงั้นเราก็มองไม่เห็นแสงไฟฉายของคนอื่นๆนะ
ถ้าจะถึงซัมมิตจริงๆก็ต้องมองเห็นไฟฉายส่องขึ้นฟ้าบ้าง แต่พอเราไปเนินนั้น
ปรากฏว่าเรายืนระดับเดียวกับ South Peak ที่ตั้งอยู่ซ้ายมือเราแต่กลับมองไม่เห็นใคร
ไม่เห็นทางข้างหน้า … นั่นหมายถึงว่าเราต้องเดินไปต่อ
นี่แหละขึ้นไปอีกนิดถึงแล้ว !! ที่ไหนได้ ... ต้องไปต่อ
|
| |
เปล๊า!!
เสียใจด้วยค่ะ
คุณต้องไปต่อ (ข้างหลังคือยอดเมื่อกี้ที่คิดว่าถ้าขึ้นมาจะสิ้นสุดแล้ว)
|
เราเข้าใกล้
Low peak ในช่วงที่แสงอาทิตย์สาดเข้าไปที่ยอด Low peak
แล้ว เราขึ้นไปถ่ายรูปเล่นพร้อมกับคนเกาหลีบริเวณที่ใกล้ๆกับเหวที่มองไปแล้วน่ากลัวมากๆ
คนเกาหลีชวนให้ไปถ่ายรูปตรงโขดหินที่เขายืน
แต่เรารู้สึกขาอ่อนมากๆก็เลยไม่ได้ตามเขาไป จากนั้นนั่งรอทุกคนที่ซอกหินเพื่อหลบลม อากาศหนาวมาก จนในที่สุดทุกคนก็เดินมาถึง
พวกเราก็เลยพากันถ่ายรูปยกใหญ่เลย
มองเข้าไปแล้วเข่าอ่อน
ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน ฮ่าๆ
|
พี่ใหม่มาแล้วจ้าเสื้อสีชมพู
มืดๆหันไฟฉายส่องเข้าไปเสื้อเรืองแสงเป็นรูปโครงกระดูกนะคะ
|
รอพี่อุ้ยกับพี่หนูแป๊บ
|
จุดที่สูงที่สุด อีกไกลหรือใกล้ …. ไกลแค่ไหนคือใกล้ ฮ่าๆ |
รอแป๊บนะ
Low peak 4,095เมตร
|
พอทุกคนมารวมตัวกันครบ
พวกเราก็ไปที่ยอด low peak ต่อเลย ตอนนั้นเริ่มมีคนที่มาถึงก่อนเราเดินลงกันแล้ว พวกเราเริ่มเดินโดยไปทางที่มีเชือกนำ
น้ำดื่มของพี่อุ้ยกับใหม่ไม่เหลือแล้ว
เดินกันไปได้แป๊บเดียวจู่ๆพี่อุ้ยก็ไม่ยอมไปต่อนอนอยู่โขดหินบริเวณนั้น
เราไม่ได้พยายามบังคับให้ใครต้องฝืนเพราะกลัวว่าจะเป็นประสบการณ์ไม่ดีซะมากกว่า
จากนั้นเราก็เดินขึ้นยอดอีกด้านหนึ่งเพราะทางเชือกมีคนเดินลงมาเยอะ
เราก็เลยเลือกไต่อีกฝั่งหนึ่ง จู่ๆก็นึกถึงจังหวะเพลง I'm your ของ Jason Mraz ตอนนี้รู้สึกติดไฟมากๆ
เริ่มสนุกเราพยายามไม่ทิ้งน้ำหนักลงที่น่องขามากๆก็เลยใช้แขนปีนไปอย่างเร็ว (โคตรภูมิใจกำลังแขนตัวเอง) ตามด้วยหนูใหม่… พี่หนูเห็นทางขึ้นก็เกิดยอมแพ้ไม่ไปต่อ
(แต่สุดท้ายไกด์ก็ลากขึ้นจนได้) ในขณะนั้นพี่อุ้ยที่อยู่ด้านซ้ายก็ผลักดันตัวเองให้ขึ้นต่อจนได้
เย่!
ยอด low peak ฉายทับเมฆ วิวอลังการงานสร้างมากๆ
|
พี่ใหม่พี่หนูสู้ๆคร๊าบ
|
พอถึงคนมารวมตัวกันเสร็จแท็คมือบ้าง
ถ่ายรูปชมวิว อัดวีดีโอ … คือรู้สึกดี รู้สึกสดชื่นมากๆ ท้องฟ้าสีสันสดใส ต้องขอบคุณทุกๆคนที่ไม่มีใครล้มเลิกไม่งั้นเราเองก็คงรู้สึกค้างคาใจไปด้วย
ถึงแล้วอะ
!
|
จราจรติดขัดยังไปถ่ายรูปป้ายพิชิตไม่ได้
!
|
มองไปข้างล่าง
… ไม่นะ น่ากลัว
!
|
ชื่นชมความสำเร็จของตัวเองได้ครู่นึงต้องรีบลงไปต่อ
7 โมงเช้าแล้ว
แดดร้อนมากๆถ้าไม่รีบลงร้อนกว่านี้คงแย่เพราะเราเองก็เหลือน้ำแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น
พวกเรารีบพากันลง แต่สุดท้ายก็ไม่วายถ่ายรูปเล่นกันอีก
บ่อน้ำที่น้ำน่าจะบริสุทธิ์มาก
ทำไมพวกเราไม่กรอกน้ำไปกินกันนะ
|
ยอดเขาของพี่เมสูงเกือบเทียบ south peak
|
ไม่ไหวละพี่ใหม่ต้องเรียกยานแม่มารับเลย
|
พี่หนูถ่ายรูปคู่ให้
พี่อุ้ยหนีไปแล้ว
|
รอถ่ายกับป้ายบอกกิโลเมตรและยอด South Peak ที่เป็นสัญลักษณ์ของภูเขาคินาบาลู
|
กว่าจะได้รูปเดี่ยว คนอื่นลงไปหมดและ
|
อลังการมาก
|
ขากลับเป็นอะไรที่ทรมานมากๆ
เพราะน้ำของเราหมดแล้วไม่เหลือเลย ใหม่ เม พี่อุ้ย น้ำแห้งสนิทเดินคอแห้ง
แถมใหม่ดันมาขาพลิกบนยอด ทำให้ต้องนั่งพักนานมากแดดก็ส่องหัวเข้าไป ทรมานจนไม่รู้จะพูดยังไงแต่ก็ทนเดินไปจนถึงจุดเช็คชื่อ
เหมือนไกด์พวกเราจะโดนว่าเพราะพาพวกเราลงมาช้า … พี่อุ้ยนั่งรออยู่บริเวณนั้นในสภาพที่ย่ำแย่มากแล้วเพราะไม่มีน้ำกินเลย
สุดท้ายก็ได้น้ำกินขวดของพี่หนูมาจิบกันคนละนิดละหน่อย ตอนนั้นไม่รู้จะพูดยังไงเลย
คือน้ำก้นขวดจิบกัน 4 คน
ซาบซึ้งในมิตรภาพมากๆ เดินลงกันแบบเหมือนตัวเองเป็นซอมบี้ น้ำหมดแรงหดใจสลาย ...
คืออะไรขาพลิกทุกทริป
|
ขากลับพวกเราได้เห็นวิวที่พวกเรามองไม่เห็นเมื่อตอนเช้า
พวกเรามาไกลมาก สูงมาก วิวอลังการมากๆ มองไปข้างหน้าเห็นพื้นที่สีเขียว เห็นภูเขา
เห็นก้อนเมฆ นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเราขึ้นมาได้ไกลขนาดนี้ได้จริงๆ
ทุกคนไม่มีอาการแพ้ความสูงใดๆด้วยซ้ำ (ตอนไปรินจานีดันรู้สึกมีอาการท้องเสีย)
ปกติแล้วเขาไปมักจะรู้สึกยาวนานกว่าขากลับ
แต่ครั้งนี้ขากลับช่างยาวนานมากๆ เพราะพวกเราอิดโรยกันเหลือเกิน
กว่าจะไปถึงที่พักก็ 10 โมงเช้าเข้าไปแล้วทั้งๆที่บุปเฟต์และการเช็คเอาท์ที่พักต้องทำภายใน
10.30 พวกเราพอถึงที่พักก็รีบตักข้าวกินเลยแล้วรีบไปเก็บเสื้อผ้าแบบยัดๆใส่ เพราะถ้าช้าจะถูกปรับแพงมากๆ
เสร็จแล้วก็เอามานั่งจัดกระเป๋าต่อที่ห้องอาหารก่อนกลับ ตอนนี้โค๊กกระป๋องละ 100บาทพวกเราก็ไม่สนใจในราคาแล้ว
แม้กระทั่งพี่หนูก็ยังซื้อ พี่อุ้ยซื้อน้ำโค๊กและน้ำเปล่าด้วย หมดไป 200 ก็ยอม
พวกเราเวิ่นเว้อพักผ่อนเก็บของจนถึงเวลาเกือบเที่ยง
จนพนักงานที่ห้องอาหารทำความสะอาดโต๊ะไล่พวกเรา ฮ่าๆ … รู้สึกยังไม่พร้อมที่จะลงเท่าไรแต่ก็ต้องลงไปต่อ
ทั้งๆที่พักขาได้แค่ชั่วโมงนิดๆเอง ขากลับนั้นไม่ยากลำบาก
เราก็วิ่งลงตามสเต๊ปเลยคู่ไปกับใหม่ กับพี่หนู
หนีหายไปกันบ้างแต่ก็จอดรอกันที่จุดพักตลอด
ขากลับเราได้เจอนักปีนเขาที่กำลังเดินขึ้น
รู้สึกดีมากที่ขากลับไม่เหงาเหมือนขาขึ้น ฮ่าๆ
รีบลงกันแบบสุดๆเพราะอยากพักไวๆ
ลงเร็วโดยใช้ฝรั่งเป็นตัวยึดเราพยายามไม่ให้เขาแซงเราได้
พอมีคู่แข่งปุ๊บก็ไปได้ไวมากๆ แต่ใหม่ก็ดันขาพลิกอีกรอบ ฮ่าๆ ระหว่างทางก็ได้ข่าวว่าพี่อุ้ยเจ็บเข่า
… คือแต่ละคนสาหัสมาก
ไปๆมาเราก็ไปนอนหลับที่ศาลาพักนานกว่า 30 นาทีจนฝรั่งเดินนำไปจนได้ ฝรั่งในกลุ่มคนนึงมาถามเราว่าเห็นเพื่อนเขามั้ย ?
ไอ้เราแบบเออ
เพื่อนแกคนไหนวะ ก็เลยบอกไปว่าไม่รู้
เราเจ็บนิ้วโป้งมากเพราะตอนลงเราต้องยั้งนิ้วตลอดทางในตอนที่ไม่ได้วิ่ง กลายเป็นว่าการใส่รองเท้าปีนเขาเป็นสิ่งที่ทรมานมากในขากลับเราก็เลยเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะที่พื้นบางเฉียบไปหมดแล้ว เวลาเดินต้องเดินดีๆเพราะหินมันจะทิ่มเท้าเอา ทำให้พี่หนูต้องพะวงรอ แต่ ณ เวลานั้นขอแค่ไม่เจ็บนิ้วเท้าก็พอ เดินช้าๆเอาก็ได้ (ขากลับรูปก็ไม่น้อยนะ แต่ลงเยอะไม่ไหวเดี๋ยวคอมค้าง)
สภาพแต่ละคน
…
|
กินข้าวเสร็จก็นอนบนรถแบบหลับไม่รู้เรื่องเลย … เหนื่อยมากๆ เดินตั้งแต่ ตี 3 ยัน 4 โมงเย็น |
ทริปปีนเขานอกประเทศครั้งที่
2 จบลงไปได้ดี
โดยที่เจ็บนั่นเจ็บนี่นิดหน่อย โชคดีที่ใส่ซัพพอร์ตเข่าไว้ตลอดก็เลยไม่เจ็บเข่ามาก
แต่กลับมาเจ็บข้อเท้าหนักกว่าเดิมทั้งๆที่ยังไม่หายขาด (หมอบอกงดออกกำลังกายแต่ก็ไม่เคยงด)
การข้ามผ่านความกลัว ข้ามผ่านลิมิตตัวเองมันเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมมาก
เรารู้สึกเข้มแข็งขึ้นแล้วก็รู้สึกว่าต้องแกร่งขึ้น
เราจะจะออกกำลังกายมากขึ้นเพื่อให้ทำได้ดีกว่าในภูเขาลูกต่อไป…
พวกเราไม่ได้อยู่เที่ยวเมืองโกตาคินาบาลูต่อ
เรากลับบ้านกันในเช้าวันต่อมาเลยแต่ใหม่ยังไม่กลับบ้านเพราะจะไปเที่ยวอินโดนีเซียต่ออีก
2 อาทิตย์ เป็น 2
อาทิตย์ที่เหงามากๆ
(ไม่รู้ไปทำไมตั้ง 2อาทิตย์)
เนื่องจากมันมีความรู้สึกอ่อนแอที่เกิดขึ้นว่า เราจะทำเพื่อตัวเองได้ขนาดไหน บวกด้วยเหตุผลที่เราอยากลองที่ความสูงที่เกินกว่าที่เคยทำไว้ บวกกับต้องการพิสูจน์ความยากง่ายตามที่ไกด์เทียนบอกไว้ตอนปีนรินจานี การปีนเขาครั้งนี้เราได้บรรลุจุดประสงค์แล้วว่าเราสามาถข้ามผ่านลิมิตตัวเองได้ ในส่วนความยากง่ายนั้นเราก็ทราบแล้วไม่ติดใจไม่ค้างคาแล้ว
เรามองเห็นความพยายามของทุกคนไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดทุกคนถึงมา แต่ทุกคนก็สามารถสู้เพื่อเหตุผลนั้นได้ มีคนกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่เราจะล้มเลิกให้หันกลับไปคิดว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้เราเลือกที่จะทำสิ่งนี้ ... ถ้าเราล้มเลิก นั่นก็คงหมายถึงว่าเหตุผลที่เราตั้งใจทำมันไม่หนักแน่นพอ หรือไม่ก็เรามันไม่เอาไหนเอง ...
เนื่องจากมันมีความรู้สึกอ่อนแอที่เกิดขึ้นว่า เราจะทำเพื่อตัวเองได้ขนาดไหน บวกด้วยเหตุผลที่เราอยากลองที่ความสูงที่เกินกว่าที่เคยทำไว้ บวกกับต้องการพิสูจน์ความยากง่ายตามที่ไกด์เทียนบอกไว้ตอนปีนรินจานี การปีนเขาครั้งนี้เราได้บรรลุจุดประสงค์แล้วว่าเราสามาถข้ามผ่านลิมิตตัวเองได้ ในส่วนความยากง่ายนั้นเราก็ทราบแล้วไม่ติดใจไม่ค้างคาแล้ว
เรามองเห็นความพยายามของทุกคนไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดทุกคนถึงมา แต่ทุกคนก็สามารถสู้เพื่อเหตุผลนั้นได้ มีคนกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่เราจะล้มเลิกให้หันกลับไปคิดว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้เราเลือกที่จะทำสิ่งนี้ ... ถ้าเราล้มเลิก นั่นก็คงหมายถึงว่าเหตุผลที่เราตั้งใจทำมันไม่หนักแน่นพอ หรือไม่ก็เรามันไม่เอาไหนเอง ...
ขอบคุณมิตรภาพดีๆที่ช่วยสร้างความทรงจำดีๆ
… น้ำก้นขวดแบ่งกัน
4 คน
ความทรงจำเมื่อวันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ 2559
ไต่ไปให้เหนือเมฆที่คินาบาลู ใครจะไปก็ไปนะเราไม่กลับไปอีกแล้ว ฮ่าๆ
by Mei
0 ความคิดเห็น