ไต่ไปให้สูงกว่าเมฆ ณ คินาบาลู สิ่งที่อยากทำได้สำเร็จไปอีกอย่าง

ในช่วงปลายปีนี้ ( 2559 ) เราตั้งใจว่าจะไปปีนเขาที่เนปาลกับใหม่ 2 คน ซึ่งมันมีความสูงที่เกิน 4,000  เมตร   ด้วย พวกเราถกเถียงเรื่องอา...


ในช่วงปลายปีนี้ (2559) เราตั้งใจว่าจะไปปีนเขาที่เนปาลกับใหม่ 2 คน ซึ่งมันมีความสูงที่เกิน 4,000 เมตร ด้วย พวกเราถกเถียงเรื่องอาการแพ้ความสูงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่ลองไต่ขึ้นไปที่ความสูงเกินระดับ 3,000 เมตรมาก่อน ที่พวกเราคิดก็คือ ถ้าเราจ่ายเงินมากมายเพื่อไปที่เนปาล (แผนคือ ABC) แล้วเกิดแพ้ความสูงขึ้นมาจะทำยังไง พยายามมองหาเขาลูกใกล้ๆไว้ฝึกซ้อม ตอนแรกตั้งใจจะไปภูเขาฟานสิปัน ที่ประเทศเวียดนามแต่ใจจริงๆอยากปีนคินาบาลูมากกว่า

แต่พวกเรายังไม่ได้เริ่มหาข้อมูลอะไรแล้วคิดว่าการไปคินาบาลูต้องจองวุ่นวาย ดังนั้นพวกเราจึงตั้งใจไปที่ภูเขาฟานสิปัน ประเทศเวียดนามในช่วงเดือนเมษายน แต่แล้วโชคก็เข้าข้างมีการประกาศหาคนร่วมทริปขึ้นภูเขาคินาบาลูทางอินเตอร์เน็ตซะงั้น 


พวกเรา 2 คนไม่รอช้าตัดสินใจร่วมทริปทันทีถึงค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นคินาบาลูสูงกว่าฟานสิปัน และคินาบาลูก็เป็น 1 ในสถานที่ที่เราอยากไปก่อนตายด้วย จะไม่ให้เลือกได้ยังไงละ ??  ไปมาเลเซียรอบนี้รอบที่ 3 แล้วจ้า

ยอดเขาคินาบาลู สูงกว่า 4,095 เมตร  เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติคินาบาลู รัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย อุทยานนั้นมีพื้นที่กว่า 754 ตารางกิโลเมตร นึกถึงตอนซื้อหนังสือ 100 WORLD DERITAGE  TRAVEL AROUND THE WORLD ที่ซื้อมานั่งดูรูปเล่น แต่กลายเป็นว่า เราอยากจะไปให้ครบ 100 ที่ในหนังสือเล่มนั้นเลย แน่ล่ะว่าอุทยานแห่งชาติคินาบาลูก็เป็น ในนั้น ไม่คิดว่าจะได้ไปเยือนเร็วขนาดนี้ แต่ก็ไปแค่ปีนภูเขาคินาบาลูนะ ฮ่าๆ

เรามีเพื่อนร่วมทริปอีก คนโดยไม่รวมหนูใหม่ ก็คือ พี่หนูที่เป็นคนประกาศหาเพื่อนร่วมทริป และพี่อุ้ยลูกทริปที่จับพลัดจับพลูมาเหมือนพวกเรา 2 คน โดยทริปนี้พี่หนูจัดการทุกอย่างหมดเลย (ต้องขอบพระคุณพี่หนูเป็นอย่างมาก) ก่อนเดินทางมีเหตุการณ์ให้น่าตื่นเต้นเยอะมาก ตั้งแต่เรื่องเอเจนซี่ ยันเรื่องซื้อตั๋วเครื่องบิน พวกเราพยายามซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวกันทั้งหมดเพื่อเดินทางไปไหนมาไหนพร้อมกันเลย แต่ก็มีเหตุการณ์ใหม่ไม่สามารถซื้อตั๋วได้บ้าง จ่ายเงินไม่ทันหลุดจองบ้าง กว่าจะนั่งสวยๆรอเวลาเดินทางได้ ก็เหงื่อตกไปเยอะเหมือนกัน พวกเราไม่ได้เจอกันก่อนเดินทางเลย มาเจอหน้ากันครั้งแรกก็ที่สนามบินดอนเมืองในวันเดินทางเลยนั่นแหละ เจอพี่หนูก่อน พี่อุ้ยมาที่เกทเกือบเวลาเครื่องออกเลย คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย ตอนนี้รู้จักกันแล้ว


ภูเขาคินาบาลูนอกจากที่เราตั้งใจไปทดสอบร่างกายแล้ว ก็มีอีกเหตุผลนึงที่เราคาใจแล้วต้องการคำตอบมากก็คือ “การปีนคินาบาลูเป็นเรื่องง่าย แค่เดินเฉยๆ “ ไกด์เทียนแห่งรินจานีบอกไว้อย่างงั้น เราไม่สามารถเอามาพูดต่อใครๆได้ว่าจริงเช่นนั้นหรือเปล่า รู้สึกคาใจและอยากพิสูจน์มาก


เป็นครั้งแรกที่เดินทางเข้ามามาเลเซียทางเครื่องบิน  ใน 2ครั้งที่แล้วเราเดินทางเข้ามาเลเซียด้วยรถตู้โดยสาร ตื่นตาตื่นใจกับสนามบิน KL มากๆ เกทอลังการ ห้องน้ำสะอาด ที่นั่งรอในเกทก็มีเยอะ และดีสุดๆตรงที่มีอินเตอร์เน็ตไวไฟให้ใช้ตลอด พวกเรา 4 คนบางทีก็เดินหลงบ้าง ก็ใช้ไวไฟสนามบินไว้ติดต่อกัน ที่สนามบินโกตาคินาบาลูก็เหมือนกัน พวกเราหลงทางกันที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็ได้ไวไฟฟรีของสนามบินช่วยเอาไว้
พวกเราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียไปลงสนามบิน KL
จากนั้นก็ต่อเครื่องภายในประเทศของแอร์เอเชียเหมือนกันไปลงที่สนามบินนานาชาติโกตาคินาบาลู
นั่งรถเข้าเมือง
อาหารมื้อแรก ร้านอาหารหน้าที่พัก

การเตรียมการปีนภูเขาคินาบาลู
แพ็คเกจปีนคินาบาลู
มี แบบให้เราเลือกจอง

1. แบบเดินขึ้นลงปกติ แบบสำหรับคนที่ร่างกายแข็งแรงทั่วๆ ไป และคนที่กลัวความสูง ไม่ชอบไต่หน้าผา
2. แบบ Via Ferrata  สำหรับคนที่ชอบความท้าทาย via ferrata จะเป็นการไต่หน้าผาแบบตามเชือก (ไต่ตอนขากลับจากยอดเขา) ที่คินาบาลูเป็น via ferrata ที่สูงที่สุดในโลกด้วย

การจองปีนเขา
อุทยานนั้นได้จำกัดจำนวนผู้ปีนในแต่ละวันไว้เพียง 135 ดังนั้นจึงจำต้องมีการจอง (โหดมาก) คนตามจำนวนห้องพักที่มี เราควรต้องของปีนเขาให้ได้ก่อน ซึ่งก็มี ทาง


1. จองโดยตรงกับอุทยาน แบบนี้ราคาจะถูกกว่ามาก แต่ก็จองยากต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย เดือน
2. จองกับบริษัททัวร์ แบบนี้สะดวกที่สุด ได้ทุกอย่างตั้งแต่รถรับส่ง อาหาร ค่าเข้าอุทยาน ที่พัก ใบประกาศ และค่าไกด์ภูเขา ไม่ต้องจองล่วงหน้านานแต่แพงกว่ามาก ราคาแพ็คเกจต่อคนมีตั้งแต่ 1,100 – 1,600MYR ขึ้นกับจำนวนคนด้วย

จริงๆแล้วการจองปีนคินาบาลูไม่ยากก็ตรงมีเอเจนซี่ที่สามารถติดต่อหน้างานได้ด้วยซ้ำ แต่แนะนำว่าสำหรับคนที่ตั้งใจไปจริงๆ ควรหาจองล่วงหน้าค่ะ เพราะว่าก็ไม่ใช่ทุกคนที่นึกๆอยากปีนแล้วไปจองแล้วจะมีวันนะคะ
หลังจากถึงเมืองโคตาคินาบาลู พวกเราเดินออกมาสำรวจเมืองหาอะไรกินเสร็จก็รีบเข้านอน เพราะตอนเช้าทางเอเจนซี่จะส่งคนมารับเราไปที่อุทยาน นัดไว้ประมาณ 7 โมงเช้า แต่มาช้ากว่าเวลา

ทริปคินาบาลูนั้นถือว่าเป็นทริป เดือนที่พักผ่อนหลังออกจากงานอีกทริปหนึ่งต่อจากเที่ยวพม่าเลย ตอนแรกตั้งใจว่าหลังจากกลับจากพม่าจะไปเที่ยวลาวต่อ นัดแนะกับรุ่นพี่ไว้ซะดิบดีตอนอยู่สีป้อว่าจะไปลาวด้วย แต่เพราะว่าเดินเที่ยวในพม่าโดยเฉพาะเมืองสีป้อจนเท้าพอง (ใส่รองเท้าพื้นขาดเดิน) อีกทั้งไม่ค่อยได้กินข้าวระหว่างเที่ยวทำให้รู้สึกว่าร่างกายไม่พร้อมแน่สำหรับคินาบาลู (อยู่พม่าอุตสาห์ไม่กินเบียร์พม่าเยอะ) เราจึงตัดสินใจไม่ไปลาวเพื่อเตรียมพร้อมร่างกายดีกว่า ก่อนไปก็พยายามไม่ออกกำลังกายกน้ำหนัก ไม่หักโหมกับกีฬาเกินไป ไม่ต้องพูดถึงเวคบอร์ด เพราะไม่ได้เล่นมาเป็นเดือนแล้ว

ยิ่งกว่าความวุ่นวายใดๆในทริปนี้ก็คือ การที่เราต้องไปปีนเขาที่สูงมากกับคนที่เราไม่รู้จัก  ถึงจะเคยไปปีนเขากับคนไม่รู้จักที่สันหนอกวัวแล้วก็เถอะนะ ก็ยังกลัวๆว่าจะสามารถเดินทางร่วมกับคนอื่นได้หรือเปล่า ที่สำคัญคือเราจะไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ร่วมทริปคนอื่นหรือไม่ เพราะทั้งพี่อุ้ยและพี่หนูต่างก็มีประสบการณ์เดินทางปีนเขากันเยอะกว่าเรามากๆ ทุกคนคิดว่าเราปีนรินจานีมาแล้วน่าจะแข็งและสบายกว่าคนอื่นแต่เราก็คิดเสมอว่า ความยากของเส้นทางไม่ได้ถือว่ามีผลเท่ากับประสบการณ์เลย พวกเราต่างก็ปลอบกันไปมาว่ายังไงก็ต้องลากกันขึ้นเขาให้ได้ทุกคน
จุดนี้ถ้าไม่มีเมฆฝนจะได้เห็นภูเขาคินาบาลูชัดมาก เสียดายโดนบังเต็มๆ
รถแล่นไปเรื่อยๆมองเห็นวิวภูเขาตลอดทาง จนถึงจุดที่เราสามารถเห็นภูเขาคินาบาลูได้แล้ว ตอนนั้นจากที่ทำสมาธิกดใจตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นไว้ได้แล้วแท้ๆพอเห็นภูเขาคินาบาลูกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาซะงั้น ภูเขาสูงมาก ดำทมึนตะหง่านน่ากลัว รู้สึกแบบเฮ้ย ! ภูเขาลูกนี้จริงๆหรือ จนมีคนในกลุ่มพูดขึ้นมาว่า …” เฮ้ย กลับเลยได้มั้ยวันนี้อากาศไม่ค่อยดีเลย มองเห็นแต่เมฆฝนอึมครึมตลอดแม้กระทั่งจุดชมวิวภูเขาคินาบาลูก็ไม่สามารถมองเห็นภูเขาได้ รู้สึกแอบเสียดายและเป็นกังวลมากกว่าระหว่างทางเราจะเจอฝนหรือเปล่าแต่ถึงยังงั้นพวกเราก็ไม่ถอยหลังกลับ

พบปะพูดคุยกันก่อน (ฟาริสถ่ายรูปให้)
พอถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานก็ได้เจอไกด์ ได้รับอาหารกลางวัน ป้ายห้อยคอ คุยถึงเส้นทางที่เดิน
จากนั้นก็นั่งรถเข้าไปต่อที่จุดเริ่มคือ 
TIMPOHON เกท
พร้อมแล้วจ้า
ไกด์เป็นผู้หญิงจ้า !! ภูเขาคินาบาลูนั้นสูง 4,095m แต่จุดที่เริ่มต้นจริงๆนั้นก็สูงถึง 1,886 แล้ว ก็แสดงว่าเดินจริงๆ ก็ไม่เท่าไร 
โดยรวมทั้งหมดคือระยะทาง 8 กิโลเมตร แต่พักที่จุดพักค้างคืน (Laban Rata rest house) ที่กิโลเมตรที่ 6 ก่อน และค่อยไปซัมมิตต่อตอนเช้า
จุด Check point TIMPOHON มีของขายด้วย ซื้อไปให้พร้อมเพราะราคาข้างบนแพงกว่าข้างล่างเยอะ (ม๊าก)
พวกเราไม่ได้จ้างลูกหาบเพิ่มเพราะราคาคิดเป็นกิโลละ 13 ริงกิต โชคดีที่พากันฝากไว้ที่เกสเฮาสต์เรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงเดินตัวเบาหยองปีนเขาอยู่นะ พกกันไปแต่สิ่งของที่จำเป็นล้วนๆ นอกจากชุดที่ใส่ขาขึ้นที่เป็นเสื้อบางๆกางเกงขาสั้นแล้ว ส่วนใหญ่พวกเราก็พกกางเกงขายาว ,เสื้อแขนยาว,เสื้อกันหนาว(มีเสื้อพีทด้วย),ไฟฉาย,ชุดลองจอนไว้สำหรับขึ้นยอดเขาและอุปกรณ์ชาร์ตแบตไปด้วย (อ้อ สารพัดขนมด้วย) หลังจากที่ได้อาหารจากฟาริสพวกเราก็ต้องถือกันเองนะ ไม่มีใครถือให้ นึกถึงตอนรินจานีคือพวกเราก็แบกกระเป๋าส่วนตัวเอง แต่พวกอาหารลูกหาบแบกให้หมด ฮ่าๆ มันก็ต่างกันแหละ เพราะรินจานีพวกเราต้องทำอาหารกางเตนท์นอน แต่คินาบาลูนั้นเราขึ้นไปกินอาหารบนที่พักบนเขา (สะดวกดีงามมาก)

พวกเรา 4 คนเดินกันแบบไม่มีเพื่อนกลุ่มอื่นเลย เพราะส่วนใหญ่ออกตัวไปก่อนแล้ว รู้สึกแอบเหงานิดหน่อย ก็พากันเดินกันเป็นกลุ่มโดยมีไกด์ตามหลังมาเรื่อยๆ เดินกันไปได้กิโลเดียวก็หยุดพักกินข้าวแล้ว (ใจจริงคืออยากลดน้ำหนกสิ่งของที่พก)
จ๊ะเอ๋ !! ถ่ายรูปกันก่อน
เราชอบการจัดการของอุทยานคินาบาลู นอกจากเรื่องความสะดวกสะบายของการปีนเขาที่สะดวกสบายจริงๆ มีการทำทางเดินเป็นขั้นไว้ตลอดทาง ถึงแม้บางจุดจะต้องก้าวขากว้างๆเพื่อข้ามเนินใหญ่ๆบ้าง ก็คงเป็นเรื่องการดูแลเรื่องความสะอาด (แต่เราก็คิดว่าเป็นสำนึกของนักปีนเขามากกว่าที่ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด) เรามองไม่เห็นขยะที่จะทำให้การเดินในป่าผ่านแมกไม้เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดเลย ซึ่งทำให้มีนักปีนเขาหลายๆคนพยายามเปรียบเทียบกับรินจานีที่อินโดนีเซียในเรื่องความสกปรก (รินจานี น่าจะเก็บค่าเข้าอุทยานแพงๆ เพื่อไปจ้างเจ้าหน้าที่มาดูแลเรื่องขยะจะดีกว่า หรือไม่ก็ต้องปรับเงินเอเจนซี่ หรือไกด์ ลูกหาบที่ทำอาหารแล้วไม่ดูแลให้ดี รวมทั้งนักปีนเขาที่มักง่าย )

การปีนคินาบาลูไม่ทำให้รู้สึกลำบากหรือยากเย็นอะไรเลย ในเส้นทางหลักไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอะไรเป็นพิเศษ พวกเราก็มีเหนื่อยบ้าง แต่เพราะว่าอากาศเย็นตลอดทางจึงทำให้พวกเราสามารถเดินได้เรื่อยๆ เดินเป็นกลุ่มบ้าง หรือเดินแยกกันบ้างตามแต่กำลังในช่วงนั้นๆ บางทีเราก็ไปเร็วจนบางครั้งเราก็หาเพื่อนร่วมทางเราไม่เจอเหมือนกัน

อากาศค่อนข้างแปรปรวนตลอดทางเจอไอฝนปกคลุมตลอดจนต้องหยิบเสื้อกันลมกันฝนมาใส่ แต่สักพักก็เจออากศร้อนก็ต้องมาถอดเสื้อออกเพราะว่าพวกเราไม่ชอบที่จะ ร้อนนั่นเป็นเหตุให้พวกเราใส่กางเกงขาสั้นมาปีนเขากัน แต่เดินไปสักพักเราก็ต้องหยิบเสื้อมาใส่อีกเพราะเจอไอฝนอีกซึ่งโชคดีที่ไม่ได้เจอฝนเม็ดใหญ่แต่แค่นี้ก็ทำให้หัวเย็นตัวร้อนได้ การที่ต้องถอดเข้าถอดออกนั้นกินแรงพวกเรามากจริงๆ


มีอีกอย่างที่ทำให้กินแรงมากๆเลยก็คือ ตอนที่หิวน้ำแล้วต้องเอี้ยวตัวไปหยิบขวดน้ำที่ข้างกระเป๋าเป้ ตอนนั้นคิดเลยว่าเป้น้ำโคตรจะจำเป็นเวลาปีนเขา ปกติเรากับใหม่จะไปคู่กันตลอดเวลากินน้ำก็จะผลัดกันหยิบให้กันและกันแทนการเอี้ยวตัวหยิบเอง แต่ตลอดทางก็ใช่ว่าจะไปคู่กันตลอด ก็เลยต้องเหนื่อยเองบ้าง นี่กำลังพิจารณาว่าจะซื้อเป้น้ำดีมั้ยนะ

มีบางช่วงที่เจอไอฝนปกคลุมหนัก พี่อุ้ยนำไปข้างหน้า บัดดี้กับพี่หนูตามมา เราก็รอๆ ระหว่างที่รอมองไม่เห็นอะไรเลย มองไปข้างหน้าก็เจอแต่ไอฝน มองไปข้างหลังก็เช่นกัน อยู่ห่างกันขนาดไหนไม่รู้ จนพี่หนูเดินฝ่าออกมาจากไอฝน เสื้อกันลมสีชมพูแปร๋น แล้วใหม่ก็ตามมาอีกคน ตอนนั้นแบบดีใจมากๆ เพราะรู้สึกเป็นห่วงทั้ง 2 คนมาก มันเหมือนพวกเราเดินอยู่ในโลกมหัศจรรย์ ไม่รู้ว่าใครจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้ายอะไรบ้าง ได้ข่าวว่าบัดดี้ปวดท้อง ก็เลยเดินช้า

ตลอดระยะทางที่เดินในภูเขาคินาบาลู รู้สึกเพลิดเพลินมาก การที่เดินไปอย่างรวดเร็วนั่นคงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ไม่ใช่แค่ต้นไม้แมกไม้น้อยใหญ่สีเขียวอย่างเดียว เราเพลิดเพลินกับมอสที่ขึ้นตามทางมากๆ ป่าในภูเขาลูกนี้ถูกแบ่งเขตแหล่งที่อยู่ออกตามสภาพทางภูมิศาสตร์ออกได้เป็น 4 เขต ได้แก่ ป่าสนยาง ป่าสนเขา ทุ่งหญ้าบนที่สูง และพุ่มไม้บนยอดเขาความต่างนั้นก็ยิ่งช่วยให้รู้สึกเพลิดเพลินมากกว่าเดิมจนต้องพากันหยุดพักถ่ายรูปบ่อยๆ อย่างที่บอก เหมือนพวกเราเข้าไปสู่อีกโลกนึงที่เราไม่รู้จะเจออะไรบ้าง
จากบันไดนี้ขึ้นไปเราจะเห็นวิวที่แตกต่างออกไป
เปลี่ยนจากป่าฝนที่มีต้นไม้สูงปกคลุมไปเป็นป่าที่มีลักษณะเปิดโล่งแทน
โดนเมฆบังมิดเลยนะ
เริ่มไต่ขึ้นมาสูงกว่าต้นไม้รูปร่างแปลกประหลาดแล้ว
เดินมาตั้งนานไม่เห็นตะวันไม่เห็นวิวที่อลังการสักทีพอไต่ออกมาจากป่าฝนเขียวชอุ่มได้ ก็มาเจอป่าโปร่งโล่งที่มีต้นไม้ที่แปลกตามาก ในตอนแรกก็ยังมองไม่เห็นอะไร บริเวณนี้เริ่มเข้าสู่กิโลที่ 5 แล้ว อากาศเบาบางเหนื่อยง่ายกว่าเดิมบวกกับที่ทางเดินเริ่มชันด้วย มีบางจังหวะที่เมฆหายไปทำให้เห็นวิวภูเขาแบบอลังการมาก พวกเราดี๊ด๊าวิวที่เห็นตรงหน้าได้แป๊บเดียว วิวยอดเขาหยักๆแหลมๆต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของยอดเขาคินาบาลูก็ถูกเมฆกลืนไปอีก
สักพักเดียวแดดก็ออกตรงที่ความสูง 3,000เมตร หนูเมและหนูใหม่ดี๊ด๊าเป็นพิเศษเพราะเลยความสูงที่ตัวเองเคยเดินไปแล้ว
พวกเราลากสังขารมาถึงจุดพักตอนเวลาเกือบ 5 โมงเย็นด้วยความอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก ถึงจะช้ามากแต่ก็คิดว่าดีกว่ามาถึงตอนมืด ฮ่าๆ นั่งมองเมฆ ถ่ายรูปโดยมีฉากหลังเป็นเมฆ นั่งมองวิวบนเขา รู้สึกสดชื่นมากๆ เหงื่อที่ไหลซึมเข้าไปในเสื้อเริ่มแห้งจากการที่นั่งพักและอากาศที่เย็น มีคนเกาหลีกำลังวิ่งออกกำลังกายด้วยฟิตมาก ที่รู้ว่าเขาเป็นคนเกาหลีก็เพราะว่าเขาติดชาติธงเกาหลีไว้ที่เสื้อด้วย
ที่พักคืนนี้ Laban Rata resthouse 
ห้องอาหารนี้มีวิวที่ราคาแพงมาก!
อิ่มเอมใจกับวิวตรงหน้าสักพักก็พากันไปเช็คอินที่พัก ทุกคนหิวข้าวแล้วมากๆ อีกทั้งอากาศก็เย็นลงแบบน่าตกใจทั้งๆที่ยังมีแดดอยู่เลย พวกเรากินข้าวก่อนที่จะเอาของไปเก็บที่ห้องพักเพราะก็เย็นมากแล้ว เลือกที่นั่งริมหน้าต่างปิดตายบานใหญ่ข้างนอกมีระเบียงให้ออกไปรับลมชมวิวด้วย ที่ห้องกินข้าวนั้นดีมากๆ อาหารมีบริการแบบบุปเฟต์มีน้ำร้อน ชา กาแฟ ผลไม้ครบหมด (แต่ไม่มีน้ำเย็น) แถมยังมีมินิบาร์สำหรับขายขนมและพวกน้ำอัดลมอีกต่างหาก (ราคาบาดใจมาก โค๊ก 1 กระป๋องราคา 100บาท)

ถ้าไม่ได้มาก็คงไม่ได้เจออะไรที่เย็นตาแบบนี้
ก่อนแยกย้ายกันขึ้นไปพักไกด์ของพวกเราได้มาเตี๊ยมพวกเราถึงการเดินทางไปยอดเขาในวันพรุ่งนี้เช้า โดยนัดกันให้มากินอาหารเช้าตอนตี 2 และจะออกเดินทางตอนตี 3 ตอนนั้นเริ่มรู้สึกไม่สบายแล้วจนต้องเอาถุงร้อนที่พี่หนูซื้อมาแปะตามหน้าผากตามคอเอาไว้พร้อมกับกินยาลดไข้ไปด้วย เฮ้อ !!
ที่พักเป็นแบบหอพักนอนรวม 
พวกเราพักกับนักปีนเขาชาวมาเลเซีย ห้องน้ำสะอาดมากแต่น้ำร้อนไม่ไหลไม่สามารถอาบน้ำได้เลย ฮ่าๆ แม้กระทั่งล้างหน้าแปรงฟันยังหนาวสั่น … แต่ภายในห้องพักกันอุณภูมิภายนอกได้ดีร้อนจนนอนไม่หลับ (ซึ่งจริงๆเพราะใส่ชุดนอนจัดเต็มกางเกงขายาวลองจอน เสื้อฮีทเทค เสื้อแขนยาว ตั้งใจว่าตื่นมาก็ออกเดินทางได้เลย) กว่าจะบังคับตัวเองให้หลับได้นี่เกือบห้าทุ่ม ... ช่วงดึกๆพี่อุ้ยหนีไปถ่ายรูปดาวด้วยไม่ชวนกันเลย

เมื่อถึงเวลาตื่นนอนก็พากันทยอยเตรียมตัวลงไปกินข้าว รู้สึกประหม่ามากๆ เราไม่เคยเดินเขาตอนกลางคืน นึกถึงความยากลำบากที่จะเจอ นึกถึงความหนาวบนยอดเขา นึกถึงความรู้สึกตอนที่ไม่กล้าขึ้นยอดรินจานีเพราะปวดขา (แถมจ่ายค่าขึ้นยอดไม่พอ) พยายามยืดกล้ามเนื้อเต็มที่ ทั้งๆที่รู้สึกว่าน่องขาตึงมากๆแล้ว ทั้งพี่อุ้ย ใหม่ พี่หนู ต่างก็พากันให้กำลังใจกันไป

การปีนขึ้นยอดคินาบาลูของพวกเราเริ่มช้ากว่ากลุ่มอื่นมากๆ พวกเราเสียเวลากับการกรอกน้ำลงขวดน้ำใบเล็กคนละขวด แต่เรามีขวดครึ่ง เนื่องจากไม่มีน้ำเย็นจึงต้องเอาน้ำร้อนมาใส่แก้วแล้วรอให้มันเย็นก่อนถ้าใส่ขวดตอนร้อนมันมีกลิ่นยังไงก็ไม่รู้แถมดื่มแล้วเจ็บคอด้วย ก็คิดๆอยู่ว่าน้ำจะพอหรือเปล่านะแต่พวกเราก็ไม่มีขวดน้ำสำรองกันเลย


การเดินไปยอดเขานั้นในช่วงแรกก็เกาะกลุ่มกันตลอด คือเส้นทางเป็นบันไดที่ก็เดินขึ้นไปได้ที่ละคน 2 คน จารจรช่วงแรกถือว่าติดขัดเลย ในตอนแรกรู้สึกยังไม่ติดไฟเดินแล้วก็รู้สึกปวดน่องขามากกว่าเหนื่อย เวลาพักเหนื่อยเราก็พักเกาะกลุ่มกันไปเพราะทางมืดมากเดี๋ยวจะหลงแล้วหากันไม่เจอ จากตอนแรกๆที่ก็มองเห็นผู้ร่วมทางคนอื่นอยู่ข้างหน้า แต่เพราะพวกเราพักบ่อยมากและมีจุดที่เราถ่ายรูปท้องฟ้ากลางคืนกันนานมาก ไปๆมาๆกลุ่มอื่นก็ทิ้งห่างไปเลย เราไม่รู้มาก่อนว่ากล้องโกรโปรของเราสามารถถ่ายวิวกลางคืนได้ถ้าไม่ได้พี่อุ้ยช่วยสอน ก็คงไม่ได้ถ่ายรูปดาวจากภูเขาคินาบาลู แต่นั่นแหละยิ่งทำให้กลุ่มเราโคตรเสียเวลาเลย

เดินมาได้ถึงช่วงตี 4กว่าๆ ถึงจุดเช็คชื่อ Sayat-Sayat Check Point ที่กิโลเมตรที่ 7 ถ้ามาไม่ทันก่อนตี 5 ก็จะหมดสิทธิ์ไปต่อค่ะ ดีพวกเรามาถึงแบบเฉียดฉิวเลย ตรงจุดนี้เราเคยทราบมาว่าจะมีน้ำให้เติมแต่กลายเป็นว่าไม่มีน้ำให้เติม พี่อุ้ยน้ำหมดแล้วแถมคนที่เหลือก็ใกล้จะหมดไม่ต่างกัน จากเส้นทางนี้เป็นต้นไปในขณะที่แทบไม่มีน้ำเหลือ เราเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาซะงั้น ทางผ่านจากนี้จะชันกว่าเดิม พวกเราเดิน เดินไปเรื่อยๆถามหาถึงจุดสิ้นสุด เราไม่รู้ เรามองไม่เห็น พยายามคาดหวังต่างๆนาๆว่าแสงรำไรที่เรากำลังไปถึงจะเป็นซัมมิตเสียที ไม่ได้หมายถึงว่าเราท้อนะ


จากเส้นทางที่เป็นบันไดเดินไปได้ประมาณชั่วโมงกว่าหรือสองชั่วโมง ก็เริ่มที่จะต้องเดินไต่หินแทน ซึ่งช่วงนั้นเราก็จะเริ่มตามรอยเชือกแทนแล้ว ก่อนไปเราอ่านรีวิวหลายๆที่บอกว่าต้องไต่ขึ้นไปตามเชือกนั่นเป็นจุดที่เรากลัวที่สุดเพราะที่เราคิดคือมันจะชันแบบตั้งฉากมากๆ แต่เอาเข้าจริงเราคิดว่าเชือกไม่ได้มีไว้ให้ไต่สักเท่าไรมีไว้ให้เดินตามมากกว่า เวลาที่ไต่เชือกตามคนอื่นเราว่ามันอันตรายมากๆ ถ้าคนข้างหน้าเดินถือเชือกไว้แล้วจู่ๆก็ปล่อยถ้าคนที่ตามหลังดึงชือกไว้จนตึงจะทำให้เสียหลักได้ พวกเราก็เลยเลือกไต่ขึ้นไปข้างๆเชือกดีกว่า (แต่ขากลับควรจับเชือกเพราะหน้าจะทิ่มเอาได้)

พี่หนูเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ (หลายปี) มีนักปีนเขา สองพี่น้องที่ไม่ยอมเดินตามเชือกเพราะคิดว่าไปอีกทางนึงจะใกล้กว่า แล้วพากันออกนอกเส้นทางไปแล้วก็หลงไปเลยสุดท้ายสามารถค้นหาแล้วช่วยชีวิตได้แค่คนเดียวเท่านั้น  นั่นแหละการเดินตามเชือกนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำมากที่สุดเพราะรอบๆนั้นมืดมากจริงๆ

เราเริ่มเดินนำห่างออกจากกลุ่มเรื่อยๆ เรารู้สึกเหนื่อยบ้างเพราะอากาศเริ่มบางเบาแล้ว แต่ว่าถ้าเราเดินช้ามากๆเราก็จะรู้สึกหนาว พยายามดึงสมาธิให้ตัวเองที่สุดมองไปข้างหน้า แล้วก็ภาวนาถึงจุดสิ้นสุด เราเดินไปพร้อมกับกลุ่มวัยรุ่นชาวมาเลเซียที่เดินกันมา 3 คน ผู้หญิง 2 คน ผู้ชาย1 คน น่าจะเป็นแฟนกัน 1 คู่ เดินจูงมือกันตลอด และเราก็เดินไปคู่กับผู้ชายเกาหลี 1 คน
เรามองเงยไปเห็นยอด South Peak อยู่ตรงหน้า คิดว่ามันใช่แล้วจุดสิ้นสุดของการเดินทางในเช้านี้ เราพยายามเดินไปให้ระดับของยอดไปเรื่อยๆ พักรอคนอื่นบ้างแต่อากาศก็หนาวมากจนต้องรีบลุกไปต่อ คอยมองกลุ่มตัวเองตลอดว่าพวกเราไม่ได้ห่างกันมาก เรามองว่ากลุ่มเราอยู่ไหน โดยการส่องไฟที่คาดไว้บนหัวไปที่เสื้อของหนูใหม่ เสื้อจะเรืองแสงสีเขียวเป็นคล้ายๆรูปโครงกระดูก หนูใหม่มาบอกทีหลังว่า ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงสาดไฟเข้าไปที่เขาบ่อยจัง ฮ่า เรามองเห็นว่าทางขึ้นนี้ถ้าเราไต่พ้นไปก็จบแล้วแต่ถึงยังงั้นเราก็มองไม่เห็นแสงไฟฉายของคนอื่นๆนะ ถ้าจะถึงซัมมิตจริงๆก็ต้องมองเห็นไฟฉายส่องขึ้นฟ้าบ้าง แต่พอเราไปเนินนั้น ปรากฏว่าเรายืนระดับเดียวกับ South Peak ที่ตั้งอยู่ซ้ายมือเราแต่กลับมองไม่เห็นใคร ไม่เห็นทางข้างหน้า นั่นหมายถึงว่าเราต้องเดินไปต่อ 

นี่แหละขึ้นไปอีกนิดถึงแล้ว !! ที่ไหนได้ ... ต้องไปต่อ
ช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดคงเป็นช่วงจากนี้ทางเดินไม่ชันแล้วเดินขึ้นไปเรื่อยๆสบายๆ ไม่เหนื่อยเดินไปเรื่อยๆ แต่เป็นการเดินที่ไม่สิ้นสุดสักที มันไม่จบสักที แล้วยิ่งไม่มีน้ำให้ดื่มเยอะมันก็ทำให้รู้สึกกังวลอีก เราขึ้นมาถึงซัมมิตแล้ว เราเคยเข้าใจว่าซัมมิตและจุดสูงสุดของยอดเขา(low peak) จะอยู่บริเวณ ยอด South Peak นั่นแหละ สุดท้าย low peak กับSouth Peak ไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย เราก็ยังเดินไปพร้อมกับกลุ่มคนมาเลซียและคนเกาหลี จนถึงความสูง 3,929เมตร (8km) มองหันกลับไปที่ยอด South Peak  ยังดำทมึนอยู่ แถวๆนั้นมีบังเกอร์อยู่กลุ่มคนมาเลเซียเข้าไปหลบพักบริเวณนั้น อากาศเย็นมากๆเราก็เดินตามเชือกไปตลอดแล้วก็พักตามโขดหินแถวๆนั้น พอหลับตาก็รู้สึกว่าตัวเองจะหลับซะงั้น เราเห็นว่ากลุ่มของเราตามมาใกล้แล้วก็ลุกขึ้นเดินไปต่อเป็นระยะๆ

เปล๊า!! เสียใจด้วยค่ะ คุณต้องไปต่อ (ข้างหลังคือยอดเมื่อกี้ที่คิดว่าถ้าขึ้นมาจะสิ้นสุดแล้ว)
เราเข้าใกล้ Low peak ในช่วงที่แสงอาทิตย์สาดเข้าไปที่ยอด Low peak แล้ว เราขึ้นไปถ่ายรูปเล่นพร้อมกับคนเกาหลีบริเวณที่ใกล้ๆกับเหวที่มองไปแล้วน่ากลัวมากๆ คนเกาหลีชวนให้ไปถ่ายรูปตรงโขดหินที่เขายืน แต่เรารู้สึกขาอ่อนมากๆก็เลยไม่ได้ตามเขาไป จากนั้นนั่งรอทุกคนที่ซอกหินเพื่อหลบลม อากาศหนาวมาก จนในที่สุดทุกคนก็เดินมาถึง พวกเราก็เลยพากันถ่ายรูปยกใหญ่เลย
มองเข้าไปแล้วเข่าอ่อน ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน ฮ่าๆ 
พี่ใหม่มาแล้วจ้าเสื้อสีชมพู มืดๆหันไฟฉายส่องเข้าไปเสื้อเรืองแสงเป็นรูปโครงกระดูกนะคะ
รอพี่อุ้ยกับพี่หนูแป๊บ
จุดที่สูงที่สุด อีกไกลหรือใกล้ …. ไกลแค่ไหนคือใกล้ ฮ่าๆ
รอแป๊บนะ Low peak 4,095เมตร
พอทุกคนมารวมตัวกันครบ พวกเราก็ไปที่ยอด low peak ต่อเลย ตอนนั้นเริ่มมีคนที่มาถึงก่อนเราเดินลงกันแล้ว พวกเราเริ่มเดินโดยไปทางที่มีเชือกนำ น้ำดื่มของพี่อุ้ยกับใหม่ไม่เหลือแล้ว เดินกันไปได้แป๊บเดียวจู่ๆพี่อุ้ยก็ไม่ยอมไปต่อนอนอยู่โขดหินบริเวณนั้น เราไม่ได้พยายามบังคับให้ใครต้องฝืนเพราะกลัวว่าจะเป็นประสบการณ์ไม่ดีซะมากกว่า จากนั้นเราก็เดินขึ้นยอดอีกด้านหนึ่งเพราะทางเชือกมีคนเดินลงมาเยอะ เราก็เลยเลือกไต่อีกฝั่งหนึ่ง จู่ๆก็นึกถึงจังหวะเพลง I'm your ของ Jason Mraz  ตอนนี้รู้สึกติดไฟมากๆ เริ่มสนุกเราพยายามไม่ทิ้งน้ำหนักลงที่น่องขามากๆก็เลยใช้แขนปีนไปอย่างเร็ว (โคตรภูมิใจกำลังแขนตัวเอง) ตามด้วยหนูใหม่พี่หนูเห็นทางขึ้นก็เกิดยอมแพ้ไม่ไปต่อ (แต่สุดท้ายไกด์ก็ลากขึ้นจนได้) ในขณะนั้นพี่อุ้ยที่อยู่ด้านซ้ายก็ผลักดันตัวเองให้ขึ้นต่อจนได้ เย่!
ยอด  low peak ฉายทับเมฆ วิวอลังการงานสร้างมากๆ
พี่ใหม่พี่หนูสู้ๆคร๊าบ
เราขึ้นมาถึงยอดแบบงงๆพร้อมพี่อุ้ย แต่ยังไปถ่ายรูปกับป้ายไม่ได้เพราะมีคนถ่ายอยู่ก็ต้องรอคิวไป พี่อุ้ยน้ำหมดจริงๆเราก็เลยแบ่งน้ำให้พี่อุ้ย พอใหม่และพี่หนูมาถึงก็แบ่งกันอีกให้ใหม่อีก พี่หนูยังพอเหลือ เราไม่น่าหวังมาพึ่งน้ำเอาข้างหน้าเลยทีหลังต้องเตรียมตัวให้ดีๆ

พอถึงคนมารวมตัวกันเสร็จแท็คมือบ้าง ถ่ายรูปชมวิว อัดวีดีโอ คือรู้สึกดี รู้สึกสดชื่นมากๆ ท้องฟ้าสีสันสดใส ต้องขอบคุณทุกๆคนที่ไม่มีใครล้มเลิกไม่งั้นเราเองก็คงรู้สึกค้างคาใจไปด้วย

ถึงแล้วอะ !
จราจรติดขัดยังไปถ่ายรูปป้ายพิชิตไม่ได้ !
มองไปข้างล่าง ไม่นะ น่ากลัว !
มีหลายคนคิดว่ายอดเขาคินาบาลูนั้นสูงสุดในอาเซียน แต่ความเป็นจริงแล้วคินาบาลูเคยสูงที่สุดแต่ ตอนนี้ยอดเขาคากาโบราซี  สูง 58xx เมตร ที่พม่าสูงที่สุด ตามด้วย ยอดเขาปุนจักตรีโกรา สูง 48xx เมตร (อินโดนิเซีย) ปุนจัก จายา  47xx เมตร (อินโดนิเซีย)
ยอดเขาปุนจักตรีโกรา กับ ปุนจัก จายาอยู่ที่นิวกินี อินโดนีเซีย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโอเชียเนีย (กลุ่มประเทศและเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก)  ซึ่งไม่มั่นใจว่า นิวกินี เขานับเป็นอาเซียนหรือไม่ (ทั้งๆที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซีย) แต่ถ้านับด้วยคินาบาลูก็ไม่ใช่สูงที่สุดในอาเซียน 


ชื่นชมความสำเร็จของตัวเองได้ครู่นึงต้องรีบลงไปต่อ 7 โมงเช้าแล้ว แดดร้อนมากๆถ้าไม่รีบลงร้อนกว่านี้คงแย่เพราะเราเองก็เหลือน้ำแค่ไม่กี่จิบเท่านั้น พวกเรารีบพากันลง แต่สุดท้ายก็ไม่วายถ่ายรูปเล่นกันอีก 

บ่อน้ำที่น้ำน่าจะบริสุทธิ์มาก ทำไมพวกเราไม่กรอกน้ำไปกินกันนะ 
ยอดเขาของพี่เมสูงเกือบเทียบ south peak
ไม่ไหวละพี่ใหม่ต้องเรียกยานแม่มารับเลย
พี่หนูถ่ายรูปคู่ให้ พี่อุ้ยหนีไปแล้ว
รอถ่ายกับป้ายบอกกิโลเมตรและยอด South Peak  ที่เป็นสัญลักษณ์ของภูเขาคินาบาลู
กว่าจะได้รูปเดี่ยว คนอื่นลงไปหมดและ
อลังการมาก
ขากลับเป็นอะไรที่ทรมานมากๆ เพราะน้ำของเราหมดแล้วไม่เหลือเลย ใหม่ เม พี่อุ้ย น้ำแห้งสนิทเดินคอแห้ง แถมใหม่ดันมาขาพลิกบนยอด ทำให้ต้องนั่งพักนานมากแดดก็ส่องหัวเข้าไป ทรมานจนไม่รู้จะพูดยังไงแต่ก็ทนเดินไปจนถึงจุดเช็คชื่อ เหมือนไกด์พวกเราจะโดนว่าเพราะพาพวกเราลงมาช้า พี่อุ้ยนั่งรออยู่บริเวณนั้นในสภาพที่ย่ำแย่มากแล้วเพราะไม่มีน้ำกินเลย สุดท้ายก็ได้น้ำกินขวดของพี่หนูมาจิบกันคนละนิดละหน่อย ตอนนั้นไม่รู้จะพูดยังไงเลย คือน้ำก้นขวดจิบกัน 4 คน ซาบซึ้งในมิตรภาพมากๆ เดินลงกันแบบเหมือนตัวเองเป็นซอมบี้ น้ำหมดแรงหดใจสลาย ...
คืออะไรขาพลิกทุกทริป
ขากลับพวกเราได้เห็นวิวที่พวกเรามองไม่เห็นเมื่อตอนเช้า พวกเรามาไกลมาก สูงมาก วิวอลังการมากๆ มองไปข้างหน้าเห็นพื้นที่สีเขียว เห็นภูเขา เห็นก้อนเมฆ นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเราขึ้นมาได้ไกลขนาดนี้ได้จริงๆ ทุกคนไม่มีอาการแพ้ความสูงใดๆด้วยซ้ำ (ตอนไปรินจานีดันรู้สึกมีอาการท้องเสีย)  


ปกติแล้วเขาไปมักจะรู้สึกยาวนานกว่าขากลับ แต่ครั้งนี้ขากลับช่างยาวนานมากๆ เพราะพวกเราอิดโรยกันเหลือเกิน กว่าจะไปถึงที่พักก็ 10 โมงเช้าเข้าไปแล้วทั้งๆที่บุปเฟต์และการเช็คเอาท์ที่พักต้องทำภายใน 10.30 พวกเราพอถึงที่พักก็รีบตักข้าวกินเลยแล้วรีบไปเก็บเสื้อผ้าแบบยัดๆใส่ เพราะถ้าช้าจะถูกปรับแพงมากๆ เสร็จแล้วก็เอามานั่งจัดกระเป๋าต่อที่ห้องอาหารก่อนกลับ ตอนนี้โค๊กกระป๋องละ 100บาทพวกเราก็ไม่สนใจในราคาแล้ว แม้กระทั่งพี่หนูก็ยังซื้อ พี่อุ้ยซื้อน้ำโค๊กและน้ำเปล่าด้วย หมดไป 200 ก็ยอม

พวกเราเวิ่นเว้อพักผ่อนเก็บของจนถึงเวลาเกือบเที่ยง จนพนักงานที่ห้องอาหารทำความสะอาดโต๊ะไล่พวกเรา ฮ่าๆ รู้สึกยังไม่พร้อมที่จะลงเท่าไรแต่ก็ต้องลงไปต่อ ทั้งๆที่พักขาได้แค่ชั่วโมงนิดๆเอง ขากลับนั้นไม่ยากลำบาก เราก็วิ่งลงตามสเต๊ปเลยคู่ไปกับใหม่ กับพี่หนู หนีหายไปกันบ้างแต่ก็จอดรอกันที่จุดพักตลอด ขากลับเราได้เจอนักปีนเขาที่กำลังเดินขึ้น รู้สึกดีมากที่ขากลับไม่เหงาเหมือนขาขึ้น ฮ่าๆ


รีบลงกันแบบสุดๆเพราะอยากพักไวๆ ลงเร็วโดยใช้ฝรั่งเป็นตัวยึดเราพยายามไม่ให้เขาแซงเราได้ พอมีคู่แข่งปุ๊บก็ไปได้ไวมากๆ แต่ใหม่ก็ดันขาพลิกอีกรอบ ฮ่าๆ ระหว่างทางก็ได้ข่าวว่าพี่อุ้ยเจ็บเข่า คือแต่ละคนสาหัสมาก ไปๆมาเราก็ไปนอนหลับที่ศาลาพักนานกว่า 30 นาทีจนฝรั่งเดินนำไปจนได้ ฝรั่งในกลุ่มคนนึงมาถามเราว่าเห็นเพื่อนเขามั้ย ? ไอ้เราแบบเออ เพื่อนแกคนไหนวะ ก็เลยบอกไปว่าไม่รู้ 


เราเจ็บนิ้วโป้งมากเพราะตอนลงเราต้องยั้งนิ้วตลอดทางในตอนที่ไม่ได้วิ่ง กลายเป็นว่าการใส่รองเท้าปีนเขาเป็นสิ่งที่ทรมานมากในขากลับเราก็เลยเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะที่พื้นบางเฉียบไปหมดแล้ว เวลาเดินต้องเดินดีๆเพราะหินมันจะทิ่มเท้าเอา ทำให้พี่หนูต้องพะวงรอ แต่ ณ เวลานั้นขอแค่ไม่เจ็บนิ้วเท้าก็พอ เดินช้าๆเอาก็ได้  (ขากลับรูปก็ไม่น้อยนะ แต่ลงเยอะไม่ไหวเดี๋ยวคอมค้าง)

สภาพแต่ละคน
เดินไปเรื่อยๆจนถึงทางออกตอนเวลาประมาณ 4 โมง มาถึงเกทพอครบทีมก็นั่งรถกลับไปที่จุดศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ฟาริสมารอรับแล้วพร้อมกับใบประกาศผู้พิชิตยอดคินาบาลู (ถ้าไม่พิชิตล่ะ ??) แถมด้วยอาหารกลางวัน (เย็น) ของพวกเรา คือแบบรู้ใจมากๆตอนนั้น หิวมากจนพูดไม่ออกเลย พวกเราแยกกันกับไกด์พร้อมกับให้ทริปไกด์คนละนิดหน่อยแต่พี่อุ้ยให้เยอะเป็นพิเศษ
กินข้าวเสร็จก็นอนบนรถแบบหลับไม่รู้เรื่องเลย … เหนื่อยมากๆ เดินตั้งแต่ ตี ยัน 4 โมงเย็น

ทริปปีนเขานอกประเทศครั้งที่ 2 จบลงไปได้ดี โดยที่เจ็บนั่นเจ็บนี่นิดหน่อย โชคดีที่ใส่ซัพพอร์ตเข่าไว้ตลอดก็เลยไม่เจ็บเข่ามาก แต่กลับมาเจ็บข้อเท้าหนักกว่าเดิมทั้งๆที่ยังไม่หายขาด (หมอบอกงดออกกำลังกายแต่ก็ไม่เคยงด) การข้ามผ่านความกลัว ข้ามผ่านลิมิตตัวเองมันเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมมาก เรารู้สึกเข้มแข็งขึ้นแล้วก็รู้สึกว่าต้องแกร่งขึ้น เราจะจะออกกำลังกายมากขึ้นเพื่อให้ทำได้ดีกว่าในภูเขาลูกต่อไป

พวกเราไม่ได้อยู่เที่ยวเมืองโกตาคินาบาลูต่อ เรากลับบ้านกันในเช้าวันต่อมาเลยแต่ใหม่ยังไม่กลับบ้านเพราะจะไปเที่ยวอินโดนีเซียต่ออีก 2 อาทิตย์ เป็น 2 อาทิตย์ที่เหงามากๆ  (ไม่รู้ไปทำไมตั้ง 2อาทิตย์)

เนื่องจากมันมีความรู้สึกอ่อนแอที่เกิดขึ้นว่า เราจะทำเพื่อตัวเองได้ขนาดไหน บวกด้วยเหตุผลที่เราอยากลองที่ความสูงที่เกินกว่าที่เคยทำไว้ บวกกับต้องการพิสูจน์ความยากง่ายตามที่ไกด์เทียนบอกไว้ตอนปีนรินจานี การปีนเขาครั้งนี้เราได้บรรลุจุดประสงค์แล้วว่าเราสามาถข้ามผ่านลิมิตตัวเองได้ ในส่วนความยากง่ายนั้นเราก็ทราบแล้วไม่ติดใจไม่ค้างคาแล้ว

เรามองเห็นความพยายามของทุกคนไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดทุกคนถึงมา แต่ทุกคนก็สามารถสู้เพื่อเหตุผลนั้นได้ มีคนกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่เราจะล้มเลิกให้หันกลับไปคิดว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้เราเลือกที่จะทำสิ่งนี้ ... ถ้าเราล้มเลิก นั่นก็คงหมายถึงว่าเหตุผลที่เราตั้งใจทำมันไม่หนักแน่นพอ หรือไม่ก็เรามันไม่เอาไหนเอง ... 

ไว้โอกาสหน้าพวกเรามาร่วมทริปกันใหม่


ขอบคุณมิตรภาพดีๆที่ช่วยสร้างความทรงจำดีๆ น้ำก้นขวดแบ่งกัน 4 คน

ความทรงจำเมื่อวันที่  25-28 กุมภาพันธ์ 2559
ไต่ไปให้เหนือเมฆที่คินาบาลู ใครจะไปก็ไปนะเราไม่กลับไปอีกแล้ว ฮ่าๆ
by Mei



You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images