ท่องเที่ยว
เที่ยวพม่า
เที่ยวเอง
บันทึกท่องเที่ยว
บันทึกเที่ยวพม่า
พม่า
ฉันคิดถึงพม่า โดนสเน่ห์แบบเต็มๆ จากย่างกุ้ง สู่ พุกาม เมืองเจดีย์ 2,00 องค์
12.3.59
เราไปพม่ามา เมื่อวันที่ 10-17 กุมภาพันธ์
เป็นช่วงที่ตัวเองลาออกจากงานแล้วมานอนเอ้งเม้งอยู่บ้าน ตั้งใจว่าจะพักผ่อน 1
เดือน
มีความกลัวและความกังวลหลายๆเรื่องเกิดขึ้น แน่ล่ะ เรายังไม่ได้หางานใหม่
แถมด้วยเรื่องมีการประกาศเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปพม่าเนื่องจากมีการประท้วงคดีที่เกาะเต่า
และสุดท้าย เราไม่ได้บอกพ่อแม่ว่าจะไปพม่าคนเดียว (เนื่องจากพ่อแม่กำลังกังวลเรื่องคดีเกาะเต่า)
สุดท้ายการเล่นโยคะของเราคืนนั้นก็ทำให้เรารู้สึกปวดหลังก่อนจะเริ่มทริปเสียอีก
เที่ยวบินและสายการบินที่เราเลือกเดินทางคือ สายการบินนกแอร์
โดยออกเดินทางแต่เช้าตรู่เลย ตอน 6.30 AM ถึงสนามบินย่างกุ้ง 7.15 AM เราคิดผิดที่จะมานอนที่เครื่องบิน
แผนการเดินทางของเรานั้นก็ไม่ได้ผิดแปลกจากที่คนอื่นๆชอบไป แต่ผิดที่เราไม่สนใจการเดินทางไปไหว้พระสักการะพระสักเท่าไร เราจึงไปแค่ ย่างกุ้งวันแรก →เราแค่แวะไปเพื่อไปพุกาม→ พุกาม เราจองที่พักไว้ 2 คืน→ แวะมามัณฑะเลย์พัก 1 คืน →เพื่อนั่งรถไฟไปสีป้อ เที่ยวสีป้อ 1 คืน→กลับมาเที่ยวมัณฑะเลย์ 1 คืน →แล้วกลับไปเที่ยวตะเวนย่างกุ้ง ที่กล่าวมาเป็นแค่แผนขั้นต้น ….
เรากังวลเรื่องเงินดอลล่าที่เราพกไว้
เรากลัวเงินยับแล้วจะเอาไปแลกต่อไม่ได้ เงินที่จะแลกนั้นต้องไม่ยับ ไม่มีรอยพับ
ซึ่งเราตั้งใจใช้เงินในพม่าด้วยงบ 200ดอลล่า เราเอาเงินไปแลกแค่ 80 ดอลล่า (แต่เราพกเผื่อไป 200 ดอลล่าเผื่อว่าเงินที่เอาไปจะแลกไม่ได้เราพับเก็บไว้ในสมุด)
เรากลัวเงินดอลล่าที่เหลือจะยับ เราไม่มีกระเป๋าเงินนอกจากกระเป๋าสะพายข้าง
ในตอนแรกเราคิดว่าจะไม่แวะเข้าเมืองแล้ว เพราะไม่มีแรงไปตะลอนตามที่คิดไว้ (ไปเจดีย์ชเวดากอง) แต่เราอยากได้กระเป๋าเงิน
ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเข้าเมืองช่วงเที่ยงก่อนจะเดินทางไป
บัสเทอมินอลเพื่อเดินทางไปเมืองพุกามตามกำหนด
เราเดินออกจากสนามบินย่างกุ้งไปด้วยความมั่นใจมาก
ไม่มีใครเดินมาจีบ(หมายถึงมาตื้อให้ซื้อบริการ) ให้ซื้อทัวร์หรือนั่งรถของเขาเลย
เดินไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจสถานที่ก่อน แดดร้อนมากๆ
ตอนแรกเราไม่มั่นใจว่าเราจะเดินไปขึ้นรถเมล์ได้ที่ไหน
เราตั้งใจจะนั่งรถเมล์เข้าเมือง ซึ่งต้องไปนั่งที่ ตลาด 10 mile สามารถเข้าเมืองไปที่เจดีย์สุเลพญาได้ด้วยรถเมล์สาย 51ตอนออกจากตัวอาคารสนามบิน มันมีสองทางให้ไปคือ
ซ้าย และ ขวา เราเลือกเดินไปทางซ้าย แต่เดินไปได้สักพักเริ่มไม่มั่นใจ
จึงเดินไปถามคนแถวนั้น คนแรกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเลย
เขาชี้ให้เราไปถามอีกคน เราก็เดินไปถามอีกคน พี่คนนั้นพอจะสื่อสารได้บ้าง
เขาบอกเราว่า “Taxiๆ” แต่เราก็เลือกที่จะเดินไปดีกว่า จริงๆคือ
ลงจากตัวอาคารมาให้เลี้ยวขวา …เดินตามถนนไปเรื่อยๆเลย
เดินฝ่าความร้อนไปเรื่อยๆ
ร้อนมาก แดดแรงมาก โชคดีที่เราพกร่มไป ภายในสนามบินเห็นมีการก่อสร้างอยู่หลายจุด
คิดว่ากำลังขยายสนามบิน มีรถแท๊กซี่บีบแตรเรียกเราตลอดทาง รวมทั้งมอเตอร์ไซค์ด้วย
แต่เราก็ส่ายหัวไม่ไป ดีที่ไม่มีใครตื้อ
การนั่งรถเมล์เข้าเมืองนั้นเป็นอะไรสิ่งที่เราคิดว่ามันส์ที่สุดแล้ว
รถไม่ได้ขับน่ากลัวเลย คนแน่นรถมาก ได้ยินเสียงกระเป่ารถเมล์พูดแจ๊วๆตลอดเวลาที่จอดรถรับส่งผู้โดยสาร
เรานั่งเกือบท้ายรถตรงประตูรถที่ปิดตายไม่ได้ใช้
พื้นของรถนั้นร้อนมากๆบวกกับไอร้อนๆจากเครื่องยนตร์ทำให้รู้สึกเหมือนผิวที่ขาจะไหม้เกรียมให้ได้
หลังจากรถออกจากบริเวณสนามบินมาแล้ว
เมื่อเข้าตัวเมือง คนก็ยิ่งแน่น รถก็ยิ่งติด มีการก่อสร้างสะพาน
และถนนยกระดับตลอดทาง ถ้าเริ่มเห็นทะเลสาบ
(ทะเลสาบอินยา)
นั่นหมายถึงว่าเราใกล้จะเข้าบริเวณถนนที่มุ่งหน้าเข้าเจดีย์สุเลพญาแล้ว (แต่ต้องฝ่ารถติดอีกยาว)
จากตลาดกว่าเราจะไปถึงสุเลพญา
ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้
เราเริ่มมองหาร้านขายกระเป๋าที่จะใส่แบงค์เมื่อเริ่มเข้ามาที่ดาวทาวน์แล้ว
เห็นเคสมือถือมีวางขายเต็มไปหมด เห็นร้านกระเป๋าแล้วด้วย
รถขับเลี้ยวขวาไปจอดที่ข้างๆโรงแรมอะไรสักอย่าง ก่อนลงจากรถมีหนุ่มพม่ามานั่งฝั่งตรงข้ามด้วย
หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ก่อนลงก็มีการยิ้มยักคิ้วให้อีกต่างหาก โอ้โห น้อง
อ้อร้อจังเลยนะคะ … ลงจากรถไม่ทันไร
เราก็เสียเงินให้กับแอปเปิ้ล 3 ลูกราคา 1,000 จั๊ต
ตั้งใจว่าจะเอาไว้กินเป็นข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นของวันนี้นี่แหละ
จากนั้นก็เดินย้อนกลับไปทางที่ก่อนรถเลี้ยวเพื่อไปที่ร้านกระเป๋าข้างถนนที่เล็งไว้อยู่แล้ว เลือกซื้อไม่นานเลย
กระเป๋าน่ารักมากๆใส่แบงค์ได้พอดีเป๊ะ
หลังจากเดินเล่นสำรวจถนนแถวๆสุเลพญาได้สักพัก
ราวๆบ่าย 3 เราก็ตัดสินใจเดินทางไปท่ารถออมิงกาลาเพื่อซื้อตั๋วไปพุกามเลย โดยขึ้นรถเมล์ที่ข้างๆ City
hall การจารจรติดขัดมาก city
hall อยู่ฝั่งซ้ายมือของสุเลพญาถ้าเรานั่งรถมาจากสนามบิน … เราไม่มั่นใจว่าต้องไปขึ้นคันไหน
ก็เลยถามพี่กระเป๋ารถเมล์ให้แน่ใจ
จริงๆก็เพื่อเขาจะได้รู้ว่าเราลงไหนเผื่อเขาจะบอกเราตอนถึงแล้ว
จริงๆก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เขาก็ชี้ให้เราขึ้นรถไป ฮ่าๆ
โรงแรมจำชื่อไม่ได้
|
เจดีย์สุเลพญาเล็กกว่าที่คิดมากๆ
|
Aung Mingalar Bus Station จากตัวเมืองย่างกุ้ง สามารถนั่งรถเมล์ไปได้ ด้วยราคา 200จั๊ต โดย รถสาย 43 |
ออมิงกาลา
ถ้าไปจากสนามบินจะอยู่ใกล้กว่ามากๆ ถ้าไปจากดาวทาวน์ต้องเผื่อเวลาเยอะๆ เต็มที่ก็ 2
ชั่วโมงเลย
เพราะรถติดมากๆ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งติดเพราะถนนเล็กมากๆ
เรารู้สึกร้อนมากๆเพราะเรานั่งริมหน้าต่าง รู้สึกผิวที่แขนไหม้ดังเปรี๊ยๆ แต่ก็ยังนั่งฟังเพลงสบายใจได้อยู่ เบาะนั่งบนรถเมล์ยกพื้นสูงขึ้น
ด้านซ้ายจะเป็นที่นั่งคู่ (แต่นั่ง 3 คน)
และที่นั่งก็ชิดมากๆคนขายาวคงลำบากมากถ้าต้องนั่ง ด้านขวาจะเป็นที่นั่งเดี่ยว
แต่บางคันจะดัดแปลงให้เป็นที่นั่งยาวๆเหมือนแคร่ หันหลังให้หน้าต่าง
อากาศก็ยังร้อนเหมือนเดิม เหงื่อไหลผ่านคอไปถึงพุง
รถพม่าพวงมาลัยอยู่ด้านขวา
(ก็เป็นรถมือสองจากญี่ปุ่น)
แต่ดันขับรถชิดขวา
แต่ก็มีบางคันที่พวงมาลัยซ้าย
มีสาวพม่านั่งข้างๆเราผลัดเปลี่ยนกันหลายคน
แต่เกือบทุกคนหันมาคุยกับเราด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าพวกเธอพูดอะไร ได้แต่ยิ้มให้ ในบางทีก็กังวลว่าเราจะถึงออมิงกาลาหรือยัง
นั่งเลยไปหรือยัง แต่เราก็พยายามส่องสายตาไปหาพี่กระเป๋ารถ
แกก็ไม่ยอมส่งสัญญาณใดๆเลย ทริคที่ทำให้เราเบาใจว่ายังไม่เลยออมิงกาลาก็คือ
เราจะหันไปหาคนข้างๆแล้วพูดว่า "ออมิงกาลา" แล้วทำท่ายกกระเป๋าจะลง
คนข้างๆจะบอกเราว่า "โนว" ง่ายดี โชคดีที่สาวข้างๆก็ลงออมิงกาลา ก็ลงพร้อมกัน ส่วนพี่กระเป๋ารถเมล์เหมือนจะนึกได้ตอนเห็นเราลุก
ก็รีบส่งสายตาให้ (มันช้าไปแล้วพี่)
ออมิงกาลา
จะเต็มไปด้วยบริษัทรถทัวร์ตั้งเรียงรายกันไป คือไม่มีศูนย์กลางซื้อ
ก็ต้องเลือกๆหากันไป ของเราพอลงจากรถปุ๊บก็โดนจีบเลย พ่อหนุ่มพม่านุ่งลองจี
แถมเคี้ยวหมาก มาพาเราไปที่บริษัททัวร์นึง เราตั้งราคาไว้ที่ 15,000 จั๊ต ก็รถธรรมดาไม่ถึง express แต่ซึ่งพอดูราคาที่บริษัทนี้แล้วเรามันดีงามมาก
อยู่ที่ 9,800 จั๊ต
รถก็ดูใหญ่อีกต่างหากเลยเลือกเจ้านี้เลย จริงๆเราก็เหนื่อยมากจนไม่อยากเลือกมาก (แต่ก็รู้ว่าจอดบ่อยแน่ๆ
แต่ไม่ซีเรียส เราก็ชอบเข้าห้องน้ำบ่อย) เราพยายามเน้นว่าจะไปเนียงอูมาร์เก็ตนะ
แล้วก็รถแอร์ด้วยนะ
รถออก
6 โมงเย็น
เรายังมีเวลาอีก 1 ชั่วโมงก่อนที่รถบัสจะมา
เราก็เลยออกไปหาอะไรกิน ซึ่งก็ไม่ใช่ข้าว มาถึงพม่าวันแรกเรายังไม่อยากเสี่ยงท้องเสีย
จึงตัดสินใจซื้อข้าวโพดและมันต้มที่ขายอยู่แถวๆนั้น !! ไม่ค่อยเห็นชาวต่างชาติที่ออมิงกาลาเลยแฮะ
ซึ่งเราก็แอบกังวลเกี่ยวกับการนั่งรถโลคอลของเรามากๆ
ถ้ามีต่างชาติมั่งเราจะอุ่นใจกว่านี้
เราไม่รู้ว่าคนพม่าที่เราจะร่วมโดยสารรถคันเดียวกับเราจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้มั้ย แต่ถึงเขาจะพูดได้
เราก็พูดไม่ได้อยู่ดี แต่ก็นั่นแหละถ้ามีคนต่างชาติด้วย เราจะคลายกังวลกว่านี้ …
แล้วยิ่งกังวลหนักที่เห็นว่า
คนที่นั่งรอเวลารถบัสเหมือนเราที่บริษัทรถ มีแต่ผู้ชาย …
ความกังวลและความเหนื่อยเข้าถาโถม
ตอนนั้นเกิดรู้สึกอยากกลับบ้านขึ้นมาเหมือนกันนะ ฮ่าๆ แต่โชคดีที่สัญญาณ wifi
ของใครสักคนลอยมา
เราก็เลยต่อสัญญาณคุยกับพี่น้องที่อยู่ที่ไทย คลายความเหงาและความกังวลได้เยอะ
เราถ่ายภาพตั๋วรถส่งให้ทางบ้านเพื่อให้รู้ว่าเรานั่งรถบริษัทอะไร
เผื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจะได้รู้ว่า เราอยู่หรือเราเป็นอะไรไป (กังวลเย๊อะ)
ข้าวผัดและไข่ดาว ราคาราว 1,000
จั๊ต น้ำซุปอร่อย พนักงานน่ารัก ตอนเราหยิบซุป เขาก็เอาไปอุ่นให้
ตอนแรกเขาพูดภาษาพม่ากับเรา เราไม่เข้าใจ เขาก็บอกว่า
"take hot" แล้วก็พาเราไปนั่งโต๊ะ
|
ง่วงและเหนื่อยมาก
หลังจากขึ้นรถบัสก็แทบจะลืมสังเกตเพลงคันทรี่ของพม่าที่เปิดกล่อมผู้โดยสาร รถจอดบ่อยอย่างที่เราคาดไว้
แล้วเราก็ลงทุกป้ายที่จอดทั้งๆที่ปวดฉี่บ้างไม่ปวดบ้าง
บนรถไม่มีชาวต่างชาตินอกจากเราจริงๆ เราคิดว่าไม่มีใครคิดว่าเราเป็นคนต่างชาติแม้แต่พี่ผู้ชายที่นั่งข้างๆเรา
เพราะตอนพี่แกถึงป้ายที่จะลง แกพูดเป็นภาษาพม่ากับเรา
แล้วเราไม่เข้าใจแกถึงพูดบอกเราเป็นภาษาอังกฤษว่า “I stop” โอเค เข้าใจเลย
หลังจากพี่ผู้ชายข้างๆลง เราก็เริ่มรู้แล้วว่า
ใกล้ถึงของเราแล้วเหมือนกัน
แต่เราไม่รู้ว่ารถคันนี้สุดที่ตลาดเนียงอูหรือเปล่าลืมถาม
ด้วยความกังวลว่าอาจจะนั่งเลยถ้าหลับ เราก็เลยพยายามไม่หลับต่อ เนื่องจากความกังวลว่าจะลงผิดที่หรือเปล่าสาดเข้าใส่อีกรอบ
เราจึงตัดสินใจถามสาวพม่าที่นั่งอยู่เบาะหน้าเรา ด้วยความที่เธอไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเธอ
เราจึงเปิดหนังสือที่มีคำว่า “เนียงอู” ให้เธอดู
เธอจึงหันไปคุยกับผู้ชายคนที่มากับเธอ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ทำท่าทางที่เราตีความได้ว่า
“ยังๆ” เราเริ่มเบาใจขึ้นมาบ้าง จนถึงตอนที่เธอบอกว่า “เหนียงอูๆ ” แล้วชี้ให้เราลง นั่นแหละเรามาถึงแล้ว เราออกเสียงว่า
“เนียงอู” แต่จากที่ได้ยินเขาจะพูดว่า “เหนียงอู ”
แต่พอถึงเนียงอูเท่านั้นแหละ
กลับไม่ใช่ตลาดเนียงอู กลายเป็น ที่ เนียงอูบัสเทอมินอล (Nyaung U High Way
Bus Terminal) แต่ก่อนไปเราคิดว่ามันจะไปจอดที่ตลาดเนียงอูเลย
แล้วเราจะสามารถเดินไปที่พักได้ แต่ดันไม่ใช่
ตอนแรกเข้าใจว่าเพราะตั๋วเราถูกหรือเปล่าเลยจอดแค่นี้
แต่ทราบมาว่ารถทุกคนจะมาจอดที่นี่แล้ว ไม่ใช่ที่ตลาด (ตรงนี้ห่างจากตลาดประมาณ 9
กิโลเมตร)
พอลงมาก็ถูกจีบอีกรอบ
ตอนนั้น ตี 4 งัวเงียมาก
ภาษาอังกฤษก็ไม่แล่นจากหัวเลย เราก็เลยมานั่งที่ร้านน้ำชาแถวนั้น
ตอนแรกก็มีมาเสนอเราว่า เข้าไปตลาดเนียงอูด้วยแท๊กซี่เพื่อพาไปที่พัก ราคาอยู่ที่ 14,000จั๊ต (ทำไมแพงอย่างงี้เนี่ย) แล้วถ้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
(ที่เจดีย์สันดอร์)ด้วย จะให้ที่ราคา 21,000 จั๊ต (แถมส่งที่พักให้ด้วย)
มันก็มีราคามาประมาณนี้ ซึ่งเราก็นั่งฟังแต่ละคนมาพูด
ใจจริงเราไม่ได้อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเพราะเรามีเวลาในพุกาม 2 วัน ดูพรุ่งนี้ก็ได้ สักพักก็มีรถมาจอดอีกคนที่จีบเราแต่ละคนก็บอกเราว่า
รอแป๊บนะ เดี๋ยวมา พวกเขาก็วิ่งไปที่รถที่พึ่งมาจอด
ทั้งเราและฝรั่งที่นั่งแถวนั้นต่างก็พากันหัวเราะ จู่ๆก็มีชายคนนึงเดินมาหาเรา แล้วเสนอเราว่า
ถ้าไปส่งที่พักด้วยรถมอเตอร์ไซค์จะราคา "7,000 จั๊ต" เราไม่รอช้าเลย นั่งรถไปกับเขาเลย
รถของเราก็ขี่ไปช้าๆโดยเป็นที่จับตามองจากกลุ่มฝรั่งที่ดูจะยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะเข้าเมืองไปยังไง
ตอนที่ขี่ออกจากบัสเทอมินอลออกมานั้น ถนนมืดมาก ลุงไม่ได้เปิดไฟรถ
อากาศเย็นจนน่าตกใจถึงแม้เราจะใส่เสื้อกันลมก็ไม่ได้ช่วยให้หายเย็นเลย ตอนนั้นคิดเลย
นี่เรากำลังเลือกทางที่อันตรายเกินไปหรือเปล่า คือเราเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว
ออกมากับผู้ชายสองต่อสองเนี่ยนะ ฮ่า รถแล่นผ่านความเงียบไปเรื่อยๆ
ถนนที่เป็นถนนยางมะตอยขรุขระตลอดทาง
ลุงที่ขับรถแกชื่อ
อ็องจา ภาษาอังกฤษแกก็ไม่ดีมากนะ แต่ก็คงดีกว่าเราอยู่ แกพยายามชวนคุย ชวนดูดาว
ชวนให้เช่ารถแกพาเที่ยวเมือง เราบอกว่า เราอยากปั่นจักรยาน ลุงแกก็บอกว่ามันหนักมากเลยนะแล้วก็ร้อนด้วย
เราก็ตอบลุงด้วยภาษาอังกฤษอันด้อยๆว่า “ไม่เป็นไร ฉันมีเวลาเยอะ”
ยังไม่ตี
5 ท้องฟ้าก็ยังไม่สว่าง
เราเกิดอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นมาจึงถามลุงอ็องจาว่า จะพาเราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้มั้ย
ลุงตอบตกลงพร้อมกับกดเครื่องคิดเลขบนมือถือให้เราดูราคา
เพราะเราสื่อสารภาษาอังกฤษกันไม่เข้าใจ เนื่องจากเสียงลมเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์ ลุงให้ราคามาที่
14,000 จั๊ต โดยที่ดูเสร็จลุงจะมาไปส่งเราที่พักด้วย
ราคารวมนี่แพงกว่าค่ารถที่เรานั่งมาจากย่างกุ้งเสียอีก
แต่เราก็ยอมเพราะก็ถือว่าแกต้องฝ่าหนาวฝ่าลมกับเรา
เจดีย์ที่ลุงพาไปคือ
“เจดีย์ชเวสันดอว์
Shwesandaw” เป็นเจดีย์ที่ฮิตที่สุดถ้าจะชมพระอาทิตย์ขึ้น
และ พระอาทิตย์ตกดิน (ในใจนี่แอบคิด ไปตอนนี้มันจะยังเหลือที่ให้ยืนมั้ยเนี่ย) นั่งรถมาไกลแล้วพึ่งมาถึงแยกตลาดเนียงอู
ผ่านที่พักที่เราจองไว้ใกล้ๆเนียงอู แล้วตรงไปอีก
เราเริ่มเห็นรถแท๊กซี่ตามหลังเรามา คิดว่าน่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน
เราผ่านกลุ่ม “บอลลูนแมน”
ที่กำลังนั่งกินข้าวก่อนเตรียมตัวขึ้นขับบอลลูน
ที่เจดีย์ชเวสันดอว์ตอนเราไปถึง
คนยังไม่เริ่มมาเลย เราไต่บันไดเจดีย์ขึ้นไปยังชั้นที่ 5 ชั้นบนสุด แล้วเดินไปรอบเจดีย์
เราไม่รู้ว่าต้องหันหน้าไปทิศไหนถึงจะเห็นบอลลูนและพระอาทิตย์
แต่เพราะมีคนมานั่งรออยู่บ้างแล้ว เราก็เลยรู้ว่า ตรงนี้แหละ ฮ่าๆ
ไม่ค่อยมีเสียงพูดคุยเท่าไร ได้ยินแต่เสียงแช๊ะของกล้อง
(ที่ถ่ายไปในความมืด) ไม่มีอะไรทำนอกจากมองไปในความมืด แล้วก็ฟังเพลง เพลงที่ชื่อ
"ความเชื่อ" ของบอดี้สแลม ดังกระหึ่มในหูของเรา
ถ้าทำได้เราก็อยากร้องตะโกนออกไป เราหยิบไอพอตทัชออกมาถ่ายรูปบ้าง
... ไม่ได้อะไร แล้วก็หยิบโกรโปรออกมาถ่ายด้วย ก็ยังไม่ติดอะไร
และแล้วเราก็ได้เห็นบอลลูนที่จอดเตรียมขึ้นอยู่ที่ด้านซ้ายของสายตาไกลโพ้นมาก
... ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันพอหันไปด้านขวา
เจอพระอาทิตย์แอบอยู่ด้านหลังของวิหารธรรมยางจี (วิหารที่ดูดุดันมากๆ ใหญ่มากๆ)
แค่นี้ก็รู้สึกสดชื่นแล้วอะ พระอาทิตย์ขึ้นตอนเกือบ 7 โมง
เราก็ไต่บันไดกลับไปหาลุงอ็องจาก่อนที่คนอื่นจะลง เกรงใจแกเพราะขึ้นมานานมากแล้ว อีกอย่างถ้าลงพร้อมคนอื่นจารจรติดขัดแน่ๆ แกยิ้มให้ตอนเจอหน้าเรา แล้วพาเรากลับ ตลอดทาง รถคันต่างๆพากันโหวกเหวก ทำหน้าตาล้อเลียน พูดไรกับเราไม่รู้
เราตีความได้ว่า "คนอื่นบอกว่าแกเอ๋อๆ" เราจำภาษากายทำนองนี้ได้
ลุงก็แปลให้เราเข้าใจว่า "ทุกคนบอกว่าผมเป็นพวกตลก" นั่นแหละ
ชั้นเข้าใจๆ
....สวัสดีเมืองพุกาม เราเจอกันแล้วนะ... |
ความทรงจำเมื่อวันที่ 10-17 กุมภาพันธ์ 2559
เหงื่อไหลไคลย้อย จากย่างกุ้งไปพุกาม
by Mei
0 ความคิดเห็น