ท่องเที่ยว
เที่ยวพม่า
เที่ยวเอง
บันทึกท่องเที่ยว
บันทึกเที่ยวพม่า
พม่า
ปั่นจักรยานตะลอนเมืองพุกาม เหนื่อยบ้าง ร้อนบ้าง พักบ้าง !!
22.3.59
เราก็คิดว่าลุงอองจา
แกดูบ๊องๆนะ ไม่รู้สิมันสัมผัสได้ เราหมายถึงว่า
แกคงเป็นคนเฮฮาในหมู่เพื่อนแกนั่นแหละ เพื่อนๆก็จะล้อแบบ “เฮ้ย ไอ้นี่มันบ้านะ” จริงๆแล้วเราก็คิดตั้งแต่กระโดดขึ้นรถแกแล้วอะ
คือ อะไรกัน คนอื่นเขามีรถม้า รถแท๊กซี่ แต่ลุงเอามอเตอร์ไซค์มาทำที่นั่งพ่วง
แล้วการที่บริเวณรถที่จอดอยู่แถวนั้นไม่มีใครเป็นแบบเราเลย ยิ่งทำให้เราคิดว่า
ลุงแกนี่น่าจะบ๊อง !! เราก็เด่นมากเลยที่นั่งรถมากับลุงอ็องจาเพราะใครๆก็ต่างมองพวกเรา 2 คน ยิ่งลุงอ็องจาแกเพื่อนเยอะไง ทุกคนแซวแกคนอื่นก็ยิ่งมอง
ลุงอ็องจากับเราฝ่าความหนาวของเมืองพุกามช่วง 7 โมงเช้าออกจากชเวสันดอว์ก็ตรงดิ่งกลับที่พักที่ชื่อ Royal bagan hotel ที่เราจองไว้ผ่านบุ๊กกิ้ง 2 คืน เราถ่ายรูปข้างทางเล่นลุงก็พยายามจอดรถให้ถ่าย มองจากข้างล่างเห็นบอลลูนลอยหลงฝูงอยู่ มีชาวต่างชาติบางคนเห็นเราถ่ายรูปก็จอดรถชู 2 นิ้วให้เราถ่ายรูปขำๆเจดีย์ชเวสันดอว์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธา (พระเจ้าอนิรุทธิ์, พระเจ้าอโนรธามังช่อ) ราว 960 ปีมาแล้ว สร้างขึ้นพร้อมกับพระมหาธาตุเจดีย์ชเวซีโกน (Shwezigon Pagoda 1ใน 5 พุทธศาสนวัตถุสำคัญของพม่า) ลักษณะคล้ายกันแต่เจดีย์ชเวสันดอว์นั้นจะมีฐานเพิ่มมาเป็น 5ชั้น เจดีย์ชเวสันดอว์จะมีระเบียงอยู่รอบทุกชั้น สร้างขึ้นเพื่อเก็บพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้า ที่ได้มาจากเมืองสะเทิน (ที่พระเจ้าอโนรธายกทัพไปตีและได้รับชัยชนะ)
เมืองพุกาม (Bagan) แน่นอนว่าเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายไปความยิ่งใหญ่ของอณาจักรอันเก่าแก่ของพม่า พุกามเป็นอณาจักรแห่งแรกของพม่าก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 1,000ปีมาแล้ว เจดีย์ทั้งหลายในอณาจักรนั้นล้วนสร้างด้วยแรงศรัทธาในพุทธศาสนา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์
อณาจักรพุกาม พื้นที่ช่วงตอนกลางของประเทศพม่า
ศูนย์กลางคือเมืองพุกามนั้น แต่เดิมมีชนพื้นเมืองเล็กๆที่เรียกว่า ชาวพยู(ชาวผิว)
อาศัยอยู่ตามลุ่มน้ำอิระวดี
แต่ถูกอณาจักรน่านตีแตกกระจายจึงอยู่กระจัดกระจายกันไปและชาวพม่าที่เป็นชนเผ่าทางเหนือเริ่มเข้ามาอยู่ในดินแดนราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี
พุกามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดทางด้านศิลปวิทยาการในสมัยพระเจ้าอลองสิธู และความเป็นไปของอณาจักรค่อยๆเสื่อมลงเรื่อยๆจนอณาจักรพุกามสิ้นลงจากการรุกรานของมองโกลในสมัยของ พระเจ้านรสีหบดีในปี พ.ศ. 1830
พื้นที่สีเหลืองเข้มก็คือณาบริเวณอณาจักรพุกาม (หรือประเทศพม่า)
ส่วนรอบๆ ก็เป็นรัฐฉาน,รัฐอาระกัน,หรือมอญ (หงสาวดี) |
หลังจากที่ลุงพามาส่งถึงที่พักแล้ว
พนักงานของโรงแรมก็เข้ามาช่วยถือของทันที เราจับมือล่ำลากับลุงอ็องจา
ก็แอบเสียดายที่ไม่ได้เช่ารถแกเที่ยวเมืองพุกามต่อด้วยความที่เราอยากตามใจตัวเองดูแลตัวเองมากกว่า ไม่อยากให้ใครมารอถึงจะรู้ว่าเขาได้ค่าจ้างเราก็เถอะนะ
เราอยากอาบน้ำมาก
เมื่อวานที่ย่างกุ้งเหงื่อออกเยอะมากๆ แต่เราทำได้แค่ฝากของไว้กับโรงแรม
เรายังไม่สามารถเข้าห้องพักได้จนกว่าจะบ่ายโมง นี่เราเป็นผู้หญิงที่ยังไม่ได้อาบน้ำแล้วจะไปปั่นจักรยานรอบพุกามหรือเนี่ย
? โชคดีที่เรายังสามารถใช้พื้นที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมเพื่อนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตรายงานตัวให้กับพี่น้องที่บ้าน
แล้วก็ยังสามารถเข้าห้องน้ำได้ เราเสียเวลาช่วงเช้าตรู่กับการเดินไปมาอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม
กินแอปเปิ้ลที่ซื้อจากย่างกุ้งในสภาพที่ช้ำมากๆแล้ว ก่อนที่จะเช่าจักรยานของโรงแรมปั่นออกไปเที่ยวตลาดเนียงอูเพื่อหาอะไรกินก่อนเดินทางเที่ยวชมเจดีย์ในเมืองพุกาม
…ซึ่งแค่เราปั่นเข้าไปในตลาดไม่ถึง
3 นาที
เราก็ปั่นออกมาเลยเพราะรถเยอะมากๆ เราตัดสินใจปั่นกลับไปทางโรงแรม
เห็นว่ามีร้านอาหารอยู่บ้าง เกือบ 10 โมงเช้าแล้ว เราก็เลือกไม่ได้ว่าจะเข้าร้านไหน
จนปั่นเลยออกไปจนไม่มีร้านค้าให้เราเลือกอีก (เราปั่นไปด้วยความคิดที่ว่าเดี๋ยวก็เจอร้าน นั่นแหละเราคิดผิด)
พุกาม
ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ อยู่ห่างประมาณ 145 กิโลเมตร (จากย่างกุ้งประมาณ 625 กิโลเมตร) ตัวเมืองพุกามแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ เนียงอู (Nyuang U), Old Bagan และ New Bagan โดยเจดีย์หรือวัดต่างๆ จะอยู่บริเวณ Old
Bagan เนื่องจากรัฐบาลต้องการรักษาโบราณสถานไว้
จึงจัดให้ประชาชนอยู่ที่ New Bagan และ Nyuang U
โซนเนียงอูตามแผนที่จะอยู่ด้านบนสุด
(เหนือเจดีย์หมายเลข 1) ถนนเส้นกลางทั้งแถบ(ถนน Anawaratha
Road
เชื่อมเนียงอู
สู่ new bagan)
ส่วนโซน new
bagan นั้นอยู่ด้านล่างสุดของแผนที่เลย |
เจดีย์หรือเจดีย์วิหารที่ตั้งใจจะไปในวันนี้
อยู่ที่โซน old bagan หมดเลย เราตั้งใจจะไปแค่เจดีย์วิหารติโลมินโล,เจดีย์วิหารอนันดา, เจดีย์วิหารทัตบินยู เพียงเท่านั้น ซึ่งก็มีแบบที่เข้าไปดูด้วยและ
ถ่ายรูปดูที่ด้านนอก ลืมบอกไปว่าค่าชมเจดีย์ทั้งหมดนี้
เราต้องจ่ายตั้งแต่เข้าเมืองมาแล้ว ซึ่งเราจ่ายตอนเช้าไป 15,000 จั๊ต (หรือ 15ดอลล่า ซึ่งให้จ่ายเป็นเงินพม่า)
หลังจากที่ออกจากโรงแรมมาแล้ว
โซนเจดีย์ทั้งหลายอยู่ห่างจากที่ตั้งของพวกโรงแรมมากๆ ปั่นออกมาไกลเลย เรายังไม่ได้กินข้าว
แต่เราก็คิดว่าคงยังไม่ย้อนกลับไปหาอะไรกิน ปั่นเที่ยวก่อนแล้วค่อยหาอะไรกินตอนเที่ยงๆ
แล้วค่อยปั่นกลับมาดูเจดีย์ต่อก็ได้ถ้าไม่ครบ แล้วจะได้ดูพระอาทิตย์ตกดินด้วย
โดยเจดีย์แรกที่เราไปคือ
Shwe Leik Too Temple เจดีย์ชเวเลตู เป็นเจดีย์เล็กๆ ที่ดูภายนอกก็ไม่มีอะไร ไม่คิดว่าจะเข้าไปได้ด้วยซ้ำ แต่น่าสนใจตรงที่สามารถเดินขึ้นบันไดเล็กๆขึ้นไปดูวิวข้างบนได้ (ไม่มีรูปจากด้านนอกเลยแฮะ) แต่ตอนนี้เดินขึ้นไปฟ้าไม่ใสเลยดูหม่นๆ จริงๆแล้วเจดีย์นี้สามารถมองเห็นแม่น้ำอิระวดีได้
วิวมองจากชั้นบนของเจดีย์
|
Htilominlo Temple เจดีย์วิหารติโลมินโล เจดีย์ที่เราคิดว่ามีความสวยและน่าสนใจที่สุด
แถมอากาศก็เย็นร่มรื่นมากๆด้วย อยู่ใกล้ๆกับเจดีย์ชเวเลตู (ปั่นลึกเข้าไปอีก) ภายในมีร้านค้าพวกงานฝีมือขายล้อมเจดีย์เลย
ระหว่างเดินชมภายในเจดีย์อยู่นั้น ก็มีแม่ค้าที่ขายของที่ระลึกแถวนั้น เดินมาบอกว่า สามารถไปดูวิวของเจดีย์ด้านนอกได้นะ สวยมากๆ จะมีเจดีย์เล็กๆอยู่ข้างๆให้ขึ้นไปที่ชั้น 2 เราจึงทำคำตามแนะนำเดินเท้าเปล่าออกไปนอกกำแพงเจดีย์ทางด้านทิศตะวันตก เพราะว่ารองเท้าเราถอดเอาไว้ด้านนอก โดยทางขึ้นไปบนเจดีย์เล็กนั้นก็เป็นอะไรที่งงมาก เราเดินมาคนเดียวไม่รู้ว่าขึ้นทางไหน เพราะมีแต่ช่องเล็กๆ 2 ช่องให้เลือก ไม่ได้คิดว่าต้องเดินเข้าช่องนั้นไป ... แต่ความจริงต้องเดินเข้าช่องนั้นน่ะแหละ
วิวของเจดีย์วืหารติโลมินโล ที่มองจากมุมด้านนนอกสวยงามๆ มองเห็นต้นไม้รอบๆเจดีย์ดูร่มรื่นสบายตาที่สุดแล้ว ถ้าเทียบกับเจดีย์อื่นๆรอบพุกามที่ไม่ค่อยร่มรื่นเลย เสียเวลากับจุดชมวิวตรงนี้นานนิดหน่อย ทั้งถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ นั่งอ่านประวัติศาสตร์ ดื่มน้ำพักเหนื่อย
ถ้าจะขึ้นบันไดไปชั้นบน ให้เดินเข้าช่องริมขวาจ้า
แกล้งฝรั่งที่มาเป็นคู่ ไม่บอกว่าเข้าช่วงไหน พอผู้ชายเข้าช่องซ้ายไปก่อน
ตอนผู้หญิงจะเข้าตามเราบอกว่าขวา ผู้หญิงก็รีบหนีไปช่องขวาไม่ยอมบอกผู้ชายเลย
|
Ananda Temple เจดีย์วิหารอนันดา เจดีย์วิหารที่ใครๆก็บอกว่าสวยที่สุด
(บรรดาพี่คนขับรถแท๊กซี่รถม้าหรือแม้แต่ลุงอ็องจา) ระหว่างทางที่กำลังไปชมพระอาทิตย์ขึ้น
เราก็ได้เห็นเจดีย์อนันดางามเด่นในความมืด เนื่องจากเป็นเจดีย์ไม่กี่องค์ที่มีการฉายไฟใส่
ที่เจดีย์วิหารอนันดา
มีนักท่องเที่ยวเข้าชมเยอะมากๆ
ก่อนเข้าถึงตัววัดก็มีร้านค้าขายของที่ระลึกเต็มไปหมด โดยเฉพาะสินค้าสไตล์พม่าโดยเฉพาะเครื่องเขินลงรักปิดทอง
ร้านขายหมวกและรองเท้าสาน อ้อ มีร้านหนังสือด้วยแหละ ภายในเจดีย์นั้นเย็นมากๆ
ลมเย็น เราหลบพักร้อนที่นี่นานพอควร เดินวนไปวนมาอยู่อย่างงั้น คิดว่าที่ลมเย็นก็เพราะเจดีย์นั้นได้สร้างให้มีม่านแสงตรงที่มีพระพุทธรูปยืนที่แกะสลักด้วยไม้สักประดิษฐานที่อยู่ทั้งสี่ทิศ
จึงทำให้ภายในไม่อบอ้าว และที่สำคัญช่องแสงนั้นทำให้แสงลอดมาส่องที่พระพุทธรูปทำให้เราสามารถมองเห็นพระพุทธรูปทั้ง
4 ทิศเป็นสีทองอร่ามสวยงามเลย
สัมภาระ |
หลุดโฟกัสนิดนึง
ที่เห็นวางขายอยู่เป็นท่อนไม้นั้น ทีแรกก็แปลกใจว่าทำไมถึงขายท่อนไม้กัน
ลืมไปว่านั่นคือท่อนไม้ตะนาคา นั่นเอง
|
ร้อนแค่ไหนก็จะปั่นไป (รูปจากกล้องฟิล์ม) |
เจดีย์วิหารอนันดา
ถ่ายรูปนี้ผ่านรั้ว
|
ถ้านั่งรถม้าเที่ยวเมืองก็ดูสบายดีนะ แต่ม้าวิ่งช้าเกิ๊น (รูปจากกล้องฟิล์ม) |
Thatbyinnyu Temple เจดีย์วิหารทัตบินยู หรือ เจดีย์สัพพัญญู เป็นเจดีย์ที่ไม่ได้เข้าไปดูเลย
ทั้งๆที่อยู่ใกล้กับเจดีย์วิหารอนันดา แต่เนื่องจากว่าเริ่มเหนื่อยมากแล้ว
ก็เลยขอถ่ายรูปอยู่ด้านนอกดีกว่า นับว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในเมืองพุกาม มองเผินๆคิดว่าคล้ายกับเจดีย์วิหารติโลมินโลอยู่นะ
(แต่ถ้าดูเฉพาะด้านบนก็คล้ายเจดีย์วิหารอนันดา)
วิวดีมาก
! (รูปจากกล้องฟิล์ม)
|
หลังจากจบการด้ำๆมองๆที่
เจดีย์วิหารทัตบินยู เราก็ตั้งใจจปั่นจักรยานกลับที่พักเลย ตอนนั้นเกือบบ่าย 2
โมงแล้ว
รู้สึกอยากกลับไปอาบน้ำ ไปพัก ไปกินอาหาร เช้า กลางวัน เสียที ยังไม่ได้กินอะไรเลยเนี่ย
ยังนึกแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงมีแรงปั่นจักยานได้ไกลขนาดนี้
แล้วเราก็ไม่ได้ปั่นแบบชิลๆปกติด้วยนะ ถึงพ่อแม่จะบอกก็เหอะว่า
เราเป็นคนปั่นไว ไม่อยากให้ใครมาซ้อนท้ายเรา เราก็ไม่เคยคิดแบบนั้น แต่เราลองดูสปีดของฝรั่งคนอื่นที่ปั่นแล้ว
รู้สึกเลยว่าเราปั่นจักรยานไวมากๆ
เราเกือบปั่นไปทาง
New bagan เพราะดูแผนที่ผิด
แต่ก็ดึงตัวเองกลับเส้นทางเดิมได้ ที่พุกามนั้นมีถนนหลักแค่เส้นเดียวเท่านั้นแหละ
ไม่หลงไปไหนได้ไกลหรอก เราปั่นจักยานไปเห็นเจดีย์วิหารธรรมยางจี
ที่เราเห็นเมื่อเช้าตอนดูพระอาทิตย์ขึ้น (อยู่ถนนตรงข้ามเจดีย์วิหารอนันดา)
ก็เลยรู้สึกอยากเข้าไปดูใกล้ๆ จึงปั่นจักรยานเข้าไปซึ่งทางก็เป็นทรายน่ากลัวว่าล้อหน้ารถจักรยานจะบิ่นมากถ้าปั่นไม่ดี
ก่อนเข้าก็จอดแวะถ่ายรูปเทียมเกวียนที่จอดอยู่ ลุงคนขับเกวียนก็ใจดียิ้มให้ถ่ายอีกต่างหาก
ถ้ามาจากประตูเมืองแล้วจะกลับเข้าไปโซน
old bagan หรือกลับที่พักที่เนียงอู
ก็เลี้ยวซ้ายนะ ถ้าตรงไปจะเป็น new bagan วิวดีมาก
! (รูปจากกล้องฟิล์ม)
|
Dhammayan-gyi Temple เจดีย์วิหารธรรมยางจี เป็นเจดีย์วิหารที่ดูดุดันมากๆ
กล่าวว่าเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในอณาจักรพุกาม และเป็นอีกที่ ที่ไม่ได้เดินเข้าไปดู แต่เจดีย์วิหารธรรมยางจีนั้น
มีประวัติที่น่าสนใจมากๆ เพราะมีชื่อเรียกคือ “วิหารที่สร้างไม่เสร็จ”
วัวเทียมเกวียนที่จอดอยู่
จริงๆตอนเข้าไปที่เจดีย์วิหารธรรมยางจี เราปั่นแข่งกันเข้า
|
ต้องโพกหน้ากันเลยเชียว ผ้าบัพสารพัดประโยชน์ กันแดด กันฝุ่น เอามาโพกหัวได้อีก
|
หลังจากที่เช็คอินเข้าพักอย่างเป็นทางการ
เราก็ขึ้นไปเก็บของบนห้อง ห้องพักของเราในวันนี้เป็นที่พักแบบนอนรวม 6 เตียงใน 1 ห้อง แต่ว่าในห้องใหญ่ก็แบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องละ 3 เตียง ก็ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวสูง
ที่นอนนุ่มนิ่มมากๆ มีน้ำเปล่าและอุปกรณ์อาบน้ำให้ จากนั้นเราก็ไปกินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรมนั่นแหละ
แล้วชีวิตของเราในพุกาม ก็จบที่ห้องนอนและห้องอาหารของโรมแรมแค่นั้น
ข้าวกลางวัน
!! จำชื่อเมนูไม่ได้
เป็นหมูชุบแป้งทอดผสมกับผงแกงกระหรี่ (ราคา 5,000จั๊ต พร้อมข้าวสุก) กินคนเดียวโอ้โห้ อิ่มมาก
มือนี้เสียหายหนักมากๆ เพราะกินโค๊กกระป๋องด้วย (ราคา 3,000จั๊ต โอ้วววววว)
|
ข้าวผัดใส่พริกด้วย
ธรรมดาๆกินกับโค๊กด้วย เสียหายหนักมากเช่นกัน (ไหงไม่ไปหากินในตลาดล่ะเนี่ย ฮ่าๆ)
|
ที่ไม่อยู่พุกามต่อ
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบพุกามนะ แต่แค่รู้สึกว่า พุกามมันไม่เหมาะกับการมาคนเดียวจริงๆ
ฮ่าๆ แล้วพี่เมก็ไม่สันทัดการชมเมืองโบราณแบบนี้สักเท่าไร (มันดูหดหู่
ยิ่งมาคนเดียวก็ยิ่งหดหู่) ตั้งใจว่าถ้ามาอีก จะพาพี่ๆน้องๆมาด้วย (มาอีกแน่ๆ
อยากถ่ายภาพบอลลูนจากด้านล่างมั่ง)
ถึงเราจะเดินทางไปมัณฑเลย์แต่เป้าหมายจริงๆของเรายังไม่ใช่เมืองมัณฑเลย์ แต่เป็นสีป้อ (Hsipaw) เมืองเล็กๆในรัฐฉานที่ห่างจากมัณฑเลย์ประมาณ 150
กิโลเมตร
เราตั้งใจจะไปเมืองสีป้อด้วยรถไฟจากมัณฑเลย์ก่อน แล้วไปพักที่สีป้อ 1 คืนแล้วจะกลับมาเที่ยวที่มัณฑเลย์ก่อนกลับไปย่างกุ้ง เราซื้อตั๋วรถไปมัณฑเลย์
ในราคา 10,000 จั๊ตจากโรงแรมพักนั่นแหละ
รถจะมารับเราที่โรงแรมเลย หลังจากที่นอนอยู่ในโรงแรมทั้งวัน ขยับตัวเฉพาะเวลากิน
เพื่อนฝรั่งในห้องคงอึดอัดใจไม่น้อย ที่มีคนนอนอยู่ตลอดเวลา จะเปิดปิดประตูก็คงจะกลัวเสียงดัง
จนตอนที่เราตื่นไปกินข้าวแล้วกลับมาเจอกัน เขายังต้องขอโทษที่ทำเสียงดังในห้อง
ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร แอบเกรงใจเขาเสียด้วยซ้ำที่เอาแต่นอน
สะพานนี้รถใหญ่วิ่งได้ที่ละคน
ต้องสลับกันข้าม
|
เราก็นอนจนถึงเวลาเช็คเอาท์
11 โมงเช้า
แบบเต็มอิ่มเลย ระยะทางจากเมืองพุกามไปเมืองมัณฑเลย์นั้นใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง รถของเราเป็นมินิบัส ประมาณ 20 ที่นั่ง (มีบวกเพิ่มมาคนนึงด้วย)
เราได้ที่นั่งหลังสุดของรถเลย แอบลำบากนิดนึงที่งีบไม่ได้เลย
เพราะมันนั่งเบียดกันมาก ฮ่าๆ (นอนที่โรงแรมไม่พอรึไง)
ถนนหนทางนั้นถือว่าดีมากๆเลย มีขรุขระบ้างแต่ว่าก็ลาดปูนทั้งหมดแล้ว
มีด่านเก็บค่าผ่านทางเล็กๆตลอดทางเลย
การบริการบนรถเหมือนจะไม่มี
เราคิดว่าราคาตั๋วถูกมากนะ แต่บนรถก็มีน้ำและผ้าเย็นแจกด้วย
แต่เสียที่บนรถนั้นร้อนมากๆ แล้วพนักงานบนรถไม่ให้เปิดหน้าต่างเพราะว่าเป็นรถแอร์ มีการโวยวายเกิดขึ้นนิดหน่อยตรงจุดหนึ่งที่ทุกคนร้อนจนหน้ามุ่ยเนื่องจากรถแอร์มันไม่มีแอร์
และยิ่งรถหยุดวิ่งแล้วจอดอยู่กลางแดดเพราะหม้อน้ำแห้ง จนสุดท้ายพนักงานบนรถก็ยอมให้เปิดหน้าต่าง
ลมที่ร้อนพัดเข้ามา สบายๆต่อให้รู้สึกว่าลมร้อน ก็คงจะดีกว่าไม่มีลมเลย
เส้นทางไปมัณฑเลย์นี้ดูไม่ค่อยสบายตาสักเท่าไร
เพราะมองไม่เห็นต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่ค่อยมีสิ่งก่อสร้าง แต่ก็มีบ้างที่เราจะสามารถมองเห็นภูเขาได้ไกลๆ
นึกถึงในอนาคตว่าถ้าแถบนี้มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นมา
ชาวบ้านจะนั่งรถมาทำงานยังไง จนนึกไปถึงว่าถ้ามีโรงงานญี่ปุ่นมาตั้งในพม่า
แล้วถ้าเรามีโอกาสได้มาทำงานที่นี่ เราจะเป็นยังไงนะ (ทำไมถึงคิดไปขนาดนั้นเนี่ย) …
นั่งฟังเพลงไปตลอดทางก็สบายใจได้อยู่นะ
ตอนรถใกล้ถึงเมืองมัณฑเลย์นั้นสังเกตได้ง่ายๆ ดูจากที่ถนนไม่ขรุขระแล้วนั่นเอง ฮ่าๆ จริงๆแล้วตอนที่น้องพนักงานบนรถมาถามเราต่างหากว่า เราจะลงที่ไหน รู้สึกดีมากๆที่ไม่ต้องเดินทางไปที่พักเอง เราพักที่เกาเฮาสต์ที่ชื่อว่า Act star (คืนละ 13 ดอลล่า) ที่พักอยู่ใกล้สถานีรถไฟมัณฑเลย์
รู้สึกตกใจตอนที่เข้าตัวเมืองมาแล้ว
เมืองมัณฑเลย์นั้นเจริญมากๆ มีป้ายโฆษณาใหญ่ๆเต็มไปหมด มีห้างและมีร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมเยอะมากๆ
แค่เข้าเมืองมาเราก็รู้สึกผิดอิมเมจที่คิดไว้เลย เรานึกถึงสะพานอูเบ็ง นึกถึงพิธีล้างหน้าพระวัดมหามุนี
ด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก ก็ไม่ได้คิดว่าไม่อยากให้ประเทศอื่นเจริญ แต่ที่คิดก็คือ
มันผิดจากที่จินตนาการไป (ในรีวิวส่วนใหญ่มักจะพูดถึงความเก่าๆ
ก็เลยคิดว่าคงจะเป็นเมืองเงียบๆ)
ได้น้ำเพิ่มมาอีกขวด ตอนนี้มี 3 ขวดแล้ว |
การจะไปเมืองสีป้อทางรถไฟนั้น
รถไฟจะออกตอน ตี 4 เราเลยคิดว่าจะลองไปเดินดูก่อนว่าสถานีอยู่ที่ไหน
ซึ่งจริงๆถ้าเราออกจากซอยที่พักมา สถานีรถไฟก็อยู่ไม่ไกลเลย เดินตรงไปก็ถึง
แต่ว่าเราดันเดินเลยสถานีรถไฟ เพราะไม่เห็นป้ายเขียนบอกสถานี
เรานึกว่าเป็นโรงแรมหรูๆซะงั้น ตอนที่เดินเลยไปเราหยุดคิดได้ว่ามันไม่ใช่
ก็เลยถามแม่ค้าที่ตั้งร้านอยู่แถวนั้น ซึ่งแกก็ดูจะไม่เข้าใจคำว่า “สถานีรถไฟ” สักเท่าไร เราก็เลยนั่งเปิดหนังสือภาษาพม่า
แล้วพูดว่า “ยาตาบุไต๋”
แม่ค้าก็ชี้ให้เดินไปตรงที่เราผ่านมานั่นแหละ
ระหว่างเดินก็มีคนถามเราเรื่อยๆว่าไปไหน บีบแตรมอเตอร์ไซค์ใส่ เราก็เลยตอบไปว่า “ยาตาบุไต๋” ซะเลย
เราเดินไปหาที่ซื้อตั๋วไปเมืองสีป้อซึ่งที่ขายตั๋วจะอยู่ที่ชั้น
2 เจ้าหน้าที่ถามว่าเรามาจากที่ไหน
ตอนนั้นดูวุ่นวาย เขาพาเราไปที่ห้องสำนักงานใกล้ๆ แล้วก็คุยอะไรกันไม่รู้ยกใหญ่
แต่ก็ไม่มีอะไร เจ้าหน้าที่บอกว่าให้มาซื้อพรุ่งนี้…
สำรวจหนทางไปสีป้อเสร็จ
ก็ได้เวลาหาอะไรกิน เราเลือกร้านอาหารที่เป็นร้านคล้ายๆร้านนั่งดื่มนั่งชิล
สั่งเป็นอาหารที่เรากินมื้อแรกที่พุกาม แล้วก็โค๊ก 1 กระป๋อง
นั่งคนเดียวแบบเหงาๆดูมวยปล้ำไปด้วย พอจ่ายเงินเท่านั้นแหละ
ทำให้รู้ว่าเราไม่เหลือเงินพม่าอีกแล้ว … ไม่เหลือพอที่จะซื้อตั๋วรถไฟพรุ่งนี้ด้วย
เรากังวลมากๆ เพราะเราไม่มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายค่าตั๋วด้วยเงินดอลล่าได้หรือไม่
เราจึงกลับไปที่เกสเฮาสต์หาข้อมูลที่แลกเงินในมัณฑเลย์ (ถามพนักงานเกสเฮาสต์แล้ว
แต่เขาบอกว่าไม่มี) ค้นหาดูก็ไม่มีเคาเตอร์ที่สามารถแลกเงินได้ 24 ชั่วโมง แต่มีธนาคารในห้าง diamond ก็เลยรีบไปหวังว่าเขาจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งสุดท้ายก็ผิดหวัง
เราจดไว้อีกหลายๆที่ แต่เราก็เดินหาไม่เจอ ไปถามคนอื่นก็ยังหาไม่เจอ
ซอกซอยในมัณฑเลย์ทำให้เรางงมาก จนสุดท้ายเราก็ตัดสินใจลองกดเงินจากตู้ ATM ดู (ก็รู้ว่ากดได้ แต่ไม่อยากกดนิ)
และแล้วเราก็กดเงินออกมาได้
แต่เป็นเรื่องที่ผิดคาด เราไม่รู้ว่าตู้มันเป็นหน้าจอสัมผัสในขณะที่กำลังพยายามทำรายการอยู่นั้น
มือเราดันไปสัมผัสโดนหน้าจอที่เป็นจำนวนเงิน 155,000 จั๊ต(โดยประมาณ) จากที่เราต้องการแค่ 15,000 จั๊ตเท่านั้นเอง
เราคิดว่า
ชีวิตในพม่าเรากำลังเข้าที่แล้วเชียว
กลับต้องมาคอยกังวลเรื่องเงินปึกใหญ่ที่กดเกินมา เฮ้อ …. ถ้าหายเนี่ยชีวิตจบเลย
นั่นมันเป็นบัญชีเงินกองทุนหลังออกจากงานของเราเสียด้วยนะ !!
ปล. เกี่ยวกับข้อมูลประวัติของเจดีย์ต่างๆต้องขอบคุณ หนังสือเที่ยวพม่า ซ่าอย่างอินดี้ และเว็บไซต์ burmar-travel ที่ทำให้การท่องเที่ยวในเมืองพุกามสนุกขึ้น ถ้าไม่อ่านไปก่อนก็คงหงอยๆไม่รู้อะไรเลย
ปล. เกี่ยวกับข้อมูลประวัติของเจดีย์ต่างๆต้องขอบคุณ หนังสือเที่ยวพม่า ซ่าอย่างอินดี้ และเว็บไซต์ burmar-travel ที่ทำให้การท่องเที่ยวในเมืองพุกามสนุกขึ้น ถ้าไม่อ่านไปก่อนก็คงหงอยๆไม่รู้อะไรเลย
ความทรงจำเมื่อวันที่ 10-17 กุมภาพันธ์ 2559
ไว้อาลัยให้กับความมึนของตัวเองที่มัณฑเลย์
by Mei
0 ความคิดเห็น