ปั่นจักรยานตะลอนเมืองพุกาม เหนื่อยบ้าง ร้อนบ้าง พักบ้าง !!

เราก็คิดว่าลุงอองจา แกดูบ๊องๆนะ ไม่รู้สิมันสัมผัสได้ เราหมายถึงว่า แกคงเป็นคนเฮฮาในหมู่เพื่อนแกนั่นแหละ เพื่อนๆก็จะล้อแบบ “ เฮ้ย ไอ้นี่ม...



เราก็คิดว่าลุงอองจา แกดูบ๊องๆนะ ไม่รู้สิมันสัมผัสได้ เราหมายถึงว่า แกคงเป็นคนเฮฮาในหมู่เพื่อนแกนั่นแหละ เพื่อนๆก็จะล้อแบบ เฮ้ย ไอ้นี่มันบ้านะจริงๆแล้วเราก็คิดตั้งแต่กระโดดขึ้นรถแกแล้วอะ คือ อะไรกัน คนอื่นเขามีรถม้า รถแท๊กซี่ แต่ลุงเอามอเตอร์ไซค์มาทำที่นั่งพ่วง แล้วการที่บริเวณรถที่จอดอยู่แถวนั้นไม่มีใครเป็นแบบเราเลย ยิ่งทำให้เราคิดว่า ลุงแกนี่น่าจะบ๊อง !! เราก็เด่นมากเลยที่นั่งรถมากับลุงอ็องจาเพราะใครๆก็ต่างมองพวกเรา 2 คน ยิ่งลุงอ็องจาแกเพื่อนเยอะไง ทุกคนแซวแกคนอื่นก็ยิ่งมอง

ลุงอ็องจากับเราฝ่าความหนาวของเมืองพุกามช่วง โมงเช้าออกจากชเวสันดอว์ก็ตรงดิ่งกลับที่พักที่ชื่อ Royal bagan hotel ที่เราจองไว้ผ่านบุ๊กกิ้ง คืน เราถ่ายรูปข้างทางเล่นลุงก็พยายามจอดรถให้ถ่าย มองจากข้างล่างเห็นบอลลูนลอยหลงฝูงอยู่ มีชาวต่างชาติบางคนเห็นเราถ่ายรูปก็จอดรถชู นิ้วให้เราถ่ายรูปขำๆ
เจดีย์ชเวสันดอว์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธา (พระเจ้าอนิรุทธิ์, พระเจ้าอโนรธามังช่อ) ราว 960 ปีมาแล้ว สร้างขึ้นพร้อมกับพระมหาธาตุเจดีย์ชเวซีโกน (Shwezigon Pagoda 1ใน 5  พุทธศาสนวัตถุสำคัญของพม่า) ลักษณะคล้ายกันแต่เจดีย์ชเวสันดอว์นั้นจะมีฐานเพิ่มมาเป็น 5ชั้น เจดีย์ชเวสันดอว์จะมีระเบียงอยู่รอบทุกชั้น สร้างขึ้นเพื่อเก็บพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้า ที่ได้มาจากเมืองสะเทิน (ที่พระเจ้าอโนรธายกทัพไปตีและได้รับชัยชนะ) 

เมืองพุกาม (Bagan) แน่นอนว่าเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายไปความยิ่งใหญ่ของอณาจักรอันเก่าแก่ของพม่า พุกามเป็นอณาจักรแห่งแรกของพม่าก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 1,000ปีมาแล้ว เจดีย์ทั้งหลายในอณาจักรนั้นล้วนสร้างด้วยแรงศรัทธาในพุทธศาสนา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์
อณาจักรพุกาม พื้นที่ช่วงตอนกลางของประเทศพม่า ศูนย์กลางคือเมืองพุกามนั้น แต่เดิมมีชนพื้นเมืองเล็กๆที่เรียกว่า ชาวพยู(ชาวผิว) อาศัยอยู่ตามลุ่มน้ำอิระวดี แต่ถูกอณาจักรน่านตีแตกกระจายจึงอยู่กระจัดกระจายกันไปและชาวพม่าที่เป็นชนเผ่าทางเหนือเริ่มเข้ามาอยู่ในดินแดนราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี

ในปี พ.ศ. 1587 พระเจ้าอโนรธาได้ครองอณาจักรพุกาม เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงค์พุกาม ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ก็ผ่านมาแล้ว 4บรรลังก์ แต่พระเจ้าอโนรธาคือผู้รวมรวมแผ่นดินพม่าได้เป็นปึกแผ่นมากที่สุด (จึงนับปฐมบทจากนี้) พระเจ้าอโนรธานั้นเป็นผู้นำพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาที่พุกามทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในพม่าจนถึงวันนี้ พื้นที่ของอณาจักรพุกามก็กินพื้นที่ของแถบเมืองพุกามและประเทศพม่าในปัจจุบัน

พุกามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดทางด้านศิลปวิทยาการในสมัยพระเจ้าอลองสิธู และความเป็นไปของอณาจักรค่อยๆเสื่อมลงเรื่อยๆจนอณาจักรพุกามสิ้นลงจากการรุกรานของมองโกลในสมัยของ พระเจ้านรสีหบดีในปี พ.ศ. 1830 
พื้นที่สีเหลืองเข้มก็คือณาบริเวณอณาจักรพุกาม (หรือประเทศพม่า)
ส่วนรอบๆ ก็เป็นรัฐฉาน,รัฐอาระกัน,หรือมอญ (หงสาวดี)
หลังจากที่ลุงพามาส่งถึงที่พักแล้ว พนักงานของโรงแรมก็เข้ามาช่วยถือของทันที เราจับมือล่ำลากับลุงอ็องจา ก็แอบเสียดายที่ไม่ได้เช่ารถแกเที่ยวเมืองพุกามต่อด้วยความที่เราอยากตามใจตัวเองดูแลตัวเองมากกว่า ไม่อยากให้ใครมารอถึงจะรู้ว่าเขาได้ค่าจ้างเราก็เถอะนะ
เกี่ยวกับการเดินทางเที่ยวในพุกาม นอกจากเที่ยวด้วยจักรยานเช่า ราคา 3,000 จั๊ตแบบเราแล้ว ก็ยังมีบริการอื่นๆอีก

 แท๊กซี่
ใครคิดว่า ร้อน ทนฝุ่นไม่ได้ คิดว่าเป็นตัวเลือกที่สบายที่สุดเหมาะกับสภาพอากาศของเมืองพุกามยิ่งนัก ค่าบริการก็แพงเอาการนิดหน่อย ถ้าจะเหมาทั้งวันก็ตกที่ 35,000-40,000 จั๊ต (นับจากตอนเช้าถึงพระอาทิตย์ตก) ไม่รวมถ้ารถมาส่งที่บัสเทอมินอลแล้วเราต้องต่อรถเข้าเมืองหรือจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย คิดว่าถ้าใครมีเป้าว่าจะเช่าแท๊กซี่ทั้งวัน ก็คุยตั้งแต่ตอนที่เราไปถึงบัสเทอมินอลเลยว่า จะเริ่มเช่าบริการตั้งแต่ตอนไหน (ถ้าเริ่มตั้งแต่ถึงบัสเทอมินอลให้พาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วทัวร์เมืองพุกามด้วย อาจตกที่ราคา  50,000-60,000) ถ้ามากันหลายคนราคาก็ยังน่าจะสู้ไหวอยู่

รถม้า
สบายๆ เนิบๆ กว่ารถแท๊กซี่ เสียแค่ต้องเผชิญกับความร้อนมากกว่าแท๊กซี่ก็เท่านั้น คิดว่าเหมาะสำหรับคนมาเป็นคู่ (ถ้านั่ง 3-4 คนก็สงสารม้า) ราคาทั้งวัน (ตั้งแต่ 8 โมงเช้า) อยู่ที่ 10,000-12,000 จั๊ต ถือว่าราคาไม่แพงเลยนะ (แต่เราก็จ่ายไม่ไหว) ถ้าเช่าตั้งแต่บัสเทอมินอลไปดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วส่งกลับโรงแรมแบบที่เราไปกับลุงอ็องจา ราคาอาจจะอยู่ที่ 7,000 จั๊ตเท่านั้น ถ้าเหมายาวเลยอาจได้ราคาถูกต้องลองคุย

มอเตอร์ไซค์(เช่า)
ยานพาหนะสุดฮิตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ(เอเชียและหัวทอง) ราคาตามเว็บท่องเที่ยวบอกไว้ว่า ที่ไหนๆส่วนใหญ่ก็เหมือนกันคือประมาณ 8ดอลล่า !! ถือว่าถูกมากๆ ถ้าเทียบกับจักรยานเรา 3 ดอลล่า ถนนหนทางที่พุกามนั้นดีมากๆแล้ว เส้นทางก็ไม่ได้งง เราอยากขอแนะนำให้เช่ามอเตอร์ไซค์ดีกว่า (อ้าว แล้วไหงเราปั่นจักรยาน ฮ่าๆ)

เราอยากอาบน้ำมาก เมื่อวานที่ย่างกุ้งเหงื่อออกเยอะมากๆ แต่เราทำได้แค่ฝากของไว้กับโรงแรม เรายังไม่สามารถเข้าห้องพักได้จนกว่าจะบ่ายโมง นี่เราเป็นผู้หญิงที่ยังไม่ได้อาบน้ำแล้วจะไปปั่นจักรยานรอบพุกามหรือเนี่ย ? โชคดีที่เรายังสามารถใช้พื้นที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมเพื่อนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตรายงานตัวให้กับพี่น้องที่บ้าน แล้วก็ยังสามารถเข้าห้องน้ำได้ เราเสียเวลาช่วงเช้าตรู่กับการเดินไปมาอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม กินแอปเปิ้ลที่ซื้อจากย่างกุ้งในสภาพที่ช้ำมากๆแล้ว ก่อนที่จะเช่าจักรยานของโรงแรมปั่นออกไปเที่ยวตลาดเนียงอูเพื่อหาอะไรกินก่อนเดินทางเที่ยวชมเจดีย์ในเมืองพุกาม ซึ่งแค่เราปั่นเข้าไปในตลาดไม่ถึง 3 นาที เราก็ปั่นออกมาเลยเพราะรถเยอะมากๆ เราตัดสินใจปั่นกลับไปทางโรงแรม เห็นว่ามีร้านอาหารอยู่บ้าง เกือบ 10 โมงเช้าแล้ว เราก็เลือกไม่ได้ว่าจะเข้าร้านไหน จนปั่นเลยออกไปจนไม่มีร้านค้าให้เราเลือกอีก (เราปั่นไปด้วยความคิดที่ว่าเดี๋ยวก็เจอร้าน นั่นแหละเราคิดผิด)

พุกาม ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ อยู่ห่างประมาณ 145 กิโลเมตร (จากย่างกุ้งประมาณ 625 กิโลเมตร) ตัวเมืองพุกามแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ เนียงอู (Nyuang U), Old Bagan และ New Bagan โดยเจดีย์หรือวัดต่างๆ จะอยู่บริเวณ Old Bagan เนื่องจากรัฐบาลต้องการรักษาโบราณสถานไว้ จึงจัดให้ประชาชนอยู่ที่ New Bagan และ Nyuang U
โซนเนียงอูตามแผนที่จะอยู่ด้านบนสุด (เหนือเจดีย์หมายเลข 1) ถนนเส้นกลางทั้งแถบ(ถนน Anawaratha Road 
เชื่อมเนียงอู สู่ new bagan) ส่วนโซน new bagan นั้นอยู่ด้านล่างสุดของแผนที่เลย
เจดีย์หรือเจดีย์วิหารที่ตั้งใจจะไปในวันนี้ อยู่ที่โซน old bagan หมดเลย เราตั้งใจจะไปแค่เจดีย์วิหารติโลมินโล,เจดีย์วิหารอนันดา, เจดีย์วิหารทัตบินยู เพียงเท่านั้น ซึ่งก็มีแบบที่เข้าไปดูด้วยและ ถ่ายรูปดูที่ด้านนอก ลืมบอกไปว่าค่าชมเจดีย์ทั้งหมดนี้ เราต้องจ่ายตั้งแต่เข้าเมืองมาแล้ว ซึ่งเราจ่ายตอนเช้าไป 15,000 จั๊ต (หรือ 15ดอลล่า ซึ่งให้จ่ายเป็นเงินพม่า)

หลังจากที่ออกจากโรงแรมมาแล้ว โซนเจดีย์ทั้งหลายอยู่ห่างจากที่ตั้งของพวกโรงแรมมากๆ ปั่นออกมาไกลเลย เรายังไม่ได้กินข้าว แต่เราก็คิดว่าคงยังไม่ย้อนกลับไปหาอะไรกิน ปั่นเที่ยวก่อนแล้วค่อยหาอะไรกินตอนเที่ยงๆ แล้วค่อยปั่นกลับมาดูเจดีย์ต่อก็ได้ถ้าไม่ครบ แล้วจะได้ดูพระอาทิตย์ตกดินด้วย โดยเจดีย์แรกที่เราไปคือ

Shwe Leik Too Temple เจดีย์ชเวเลตู เป็นเจดีย์เล็กๆ ที่ดูภายนอกก็ไม่มีอะไร ไม่คิดว่าจะเข้าไปได้ด้วยซ้ำ แต่น่าสนใจตรงที่สามารถเดินขึ้นบันไดเล็กๆขึ้นไปดูวิวข้างบนได้ (ไม่มีรูปจากด้านนอกเลยแฮะ)  แต่ตอนนี้เดินขึ้นไปฟ้าไม่ใสเลยดูหม่นๆ จริงๆแล้วเจดีย์นี้สามารถมองเห็นแม่น้ำอิระวดีได้
ถึงแม้ทางหลักจะเป็นถนนลาดยาง แต่เจดีย์ส่วนใหญ่ก็ต้องปั่นเข้าไปอีกซึ่งจะเป็นทางที่มีแต่ทราย (และฝุ่น) คนที่ปั่นจักรยานไม่แข็งก็อาจจะลำบากมากๆ แต่เราก็เลือกจักรยาน ก็เพราะว่าเราปั่นจักรยานแข็งไง (รูปจากกล้องฟิล์ม)
วิวมองจากชั้นบนของเจดีย์ (รูปจากกล้องฟิล์ม)
Htilominlo Temple เจดีย์วิหารติโลมินโล เจดีย์ที่เราคิดว่ามีความสวยและน่าสนใจที่สุด แถมอากาศก็เย็นร่มรื่นมากๆด้วย อยู่ใกล้ๆกับเจดีย์ชเวเลตู (ปั่นลึกเข้าไปอีก) ภายในมีร้านค้าพวกงานฝีมือขายล้อมเจดีย์เลย
เจดีย์วิหารแห่งนี้สร้างในสมัยพระเจ้านาตองมยา (กษัตย์องค์ที่ 9 แห่งอณาจักรพุกาม) เป็นเจดีย์วิหารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าติโลมินโล โดยมีเหตุการณ์ที่ทำให้เจดีย์วิหารแห่งนี้มีความน่าสนใจก็คือว่า พระเจ้านรปติซีตู(พ่อของพระเจ้าติโลมินโล) ทรงมีราชบุตรหลายพระองค์ ทั้งที่เกิดแต่อัครมเหสีและพระชายา แล้วท่านเกิดเลือกไม่ได้ว่าจะทรงจะตั้งองค์รัชทายาทองค์ไหนสืบราชบัลลังค์ 

จึงตัดสินพระทัยเรียกราชบุตรทั้งห้าพระองค์มานั่งล้อมวงกัน แล้วตั้งฉัตรอันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ไว้ตรงกลาง หากฉัตรล้มลงแล้วปลายฉัตรชี้ไปที่ใครนั้น ก็จะทรงแต่งตั้งคนนั้นสืบต่อไปจากพระองค์ แล้วปลายฉัตรชี้ไปที่เจ้าชายชัยสิงห์ (พระเจ้านาตองมยา) และก็ได้รับพระนามใหม่ว่า ติโลมินโล แปลว่ากษัตริย์ฉัตรตั้ง” 

เจดีย์มีความมั่นคงแข็งแรงมาก ภายในมีพระพุทธรูป 4 องค์ รอบเจดีย์ทั้ง 4 ทิศ และเจดีย์วิหารติโลมินโลนั้นมี 2 ชั้น แต่ตอนนี้ไม่สามารถขึ้นไปที่ชั้น 2 ได้แล้ว
ระหว่างเดินชมภายในเจดีย์อยู่นั้น ก็มีแม่ค้าที่ขายของที่ระลึกแถวนั้น เดินมาบอกว่า สามารถไปดูวิวของเจดีย์ด้านนอกได้นะ สวยมากๆ  จะมีเจดีย์เล็กๆอยู่ข้างๆให้ขึ้นไปที่ชั้น   เราจึงทำคำตามแนะนำเดินเท้าเปล่าออกไปนอกกำแพงเจดีย์ทางด้านทิศตะวันตก เพราะว่ารองเท้าเราถอดเอาไว้ด้านนอก โดยทางขึ้นไปบนเจดีย์เล็กนั้นก็เป็นอะไรที่งงมาก เราเดินมาคนเดียวไม่รู้ว่าขึ้นทางไหน เพราะมีแต่ช่องเล็กๆ ช่องให้เลือก ไม่ได้คิดว่าต้องเดินเข้าช่องนั้นไป ... แต่ความจริงต้องเดินเข้าช่องนั้นน่ะแหละ

วิวของเจดีย์วืหารติโลมินโล ที่มองจากมุมด้านนนอกสวยงามๆ มองเห็นต้นไม้รอบๆเจดีย์ดูร่มรื่นสบายตาที่สุดแล้ว ถ้าเทียบกับเจดีย์อื่นๆรอบพุกามที่ไม่ค่อยร่มรื่นเลย เสียเวลากับจุดชมวิวตรงนี้นานนิดหน่อย ทั้งถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ นั่งอ่านประวัติศาสตร์ ดื่มน้ำพักเหนื่อย
ถ้าจะขึ้นบันไดไปชั้นบน ให้เดินเข้าช่องริมขวาจ้า แกล้งฝรั่งที่มาเป็นคู่ ไม่บอกว่าเข้าช่วงไหน พอผู้ชายเข้าช่องซ้ายไปก่อน ตอนผู้หญิงจะเข้าตามเราบอกว่าขวา ผู้หญิงก็รีบหนีไปช่องขวาไม่ยอมบอกผู้ชายเลย 
Ananda Temple เจดีย์วิหารอนันดา เจดีย์วิหารที่ใครๆก็บอกว่าสวยที่สุด (บรรดาพี่คนขับรถแท๊กซี่รถม้าหรือแม้แต่ลุงอ็องจา) ระหว่างทางที่กำลังไปชมพระอาทิตย์ขึ้น เราก็ได้เห็นเจดีย์อนันดางามเด่นในความมืด เนื่องจากเป็นเจดีย์ไม่กี่องค์ที่มีการฉายไฟใส่
เจดีย์เป็นงานสถาปัตยกรรมแบบมอญ ที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าญาณสิทธา เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขา นันทมูล (Nandamula) บนเทือกเขาหิมาลัย อันเนื่องมาจากการจาริกแสวงบุญมายังดินแดนพุกามของพระชาวอินเดีย 8 รูป (บางเว็บบอก 5 รูป) เล่าให้พระเจ้าญาณสิทธาฟังเกี่ยวกับความงามวัดในอินเดียแล้วทรงเกิดประทับใจ ภายในวิหารมีพระพุทธรูปยืนที่แกะสลักด้วยไม้สัก  ประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศ (จากที่อ่านมา มีเขียนเพิ่มเติมว่า เมื่อสร้างเสร็จพระเจ้าญาณสิทธา สั่งประหารชีวิตนายช่างทั้งหมด เพื่อป้องกันการสร้างซ้ำ)
ที่เจดีย์วิหารอนันดา มีนักท่องเที่ยวเข้าชมเยอะมากๆ ก่อนเข้าถึงตัววัดก็มีร้านค้าขายของที่ระลึกเต็มไปหมด โดยเฉพาะสินค้าสไตล์พม่าโดยเฉพาะเครื่องเขินลงรักปิดทอง ร้านขายหมวกและรองเท้าสาน อ้อ มีร้านหนังสือด้วยแหละ ภายในเจดีย์นั้นเย็นมากๆ ลมเย็น เราหลบพักร้อนที่นี่นานพอควร เดินวนไปวนมาอยู่อย่างงั้น คิดว่าที่ลมเย็นก็เพราะเจดีย์นั้นได้สร้างให้มีม่านแสงตรงที่มีพระพุทธรูปยืนที่แกะสลักด้วยไม้สักประดิษฐานที่อยู่ทั้งสี่ทิศ จึงทำให้ภายในไม่อบอ้าว และที่สำคัญช่องแสงนั้นทำให้แสงลอดมาส่องที่พระพุทธรูปทำให้เราสามารถมองเห็นพระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศเป็นสีทองอร่ามสวยงามเลย

สัมภาระ (รูปจากกล้องฟิล์ม)
หลุดโฟกัสนิดนึง ที่เห็นวางขายอยู่เป็นท่อนไม้นั้น ทีแรกก็แปลกใจว่าทำไมถึงขายท่อนไม้กัน ลืมไปว่านั่นคือท่อนไม้ตะนาคา นั่นเอง (รูปจากกล้องฟิล์ม)
หลังจากชมเจดีย์วิหารอนันดาเสร็จ เราก็ปั่นอ้อมหลังออก แทนที่จะกลับเข้าสู่ถนนใหญ่ ปั่นออกมาเจอกำแพงเมืองเก่า ประตูตะระบาร์ (Tharabar gate) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองและเป็นประตูที่ยังหลงเหลืออยู่ (รูปจากกล้องฟิล์ม)
ร้อนแค่ไหนก็จะปั่นไป (รูปจากกล้องฟิล์ม)
เจดีย์วิหารอนันดา ถ่ายรูปนี้ผ่านรั้ว (รูปจากกล้องฟิล์ม)
ถ้านั่งรถม้าเที่ยวเมืองก็ดูสบายดีนะ แต่ม้าวิ่งช้าเกิ๊น (รูปจากกล้องฟิล์ม)
Thatbyinnyu Temple เจดีย์วิหารทัตบินยู หรือ เจดีย์สัพพัญญู เป็นเจดีย์ที่ไม่ได้เข้าไปดูเลย ทั้งๆที่อยู่ใกล้กับเจดีย์วิหารอนันดา แต่เนื่องจากว่าเริ่มเหนื่อยมากแล้ว ก็เลยขอถ่ายรูปอยู่ด้านนอกดีกว่า   นับว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในเมืองพุกาม มองเผินๆคิดว่าคล้ายกับเจดีย์วิหารติโลมินโลอยู่นะ (แต่ถ้าดูเฉพาะด้านบนก็คล้ายเจดีย์วิหารอนันดา)
เป็นเจดีย์ สร้างขึ้นตามศิลปะแบบปาละของอินเดีย ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1687 โดยกษัตริย์อลองสิตู (King Alongsithu) โดยสร้างแบ่งจำนวน ชั้น ในการแบ่งนั้นก็มีความสำคัญตามลำดับคือ ชั้นล่างสุดสำหรับประชาชนทั่วไปมากราบไหว้ และชั้นต่อไปก็เป็นที่สำหรับพระสงฆ์ ถัดไปอีกก็จะเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน และชั้นบนสุดก็เอาไว้เก็บพระไตรปิฏก  เนื่องจากเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามจึงเป็นจุดชมวิวที่ดีมากๆ แต่ว่าตอนนี้ไม่เปิดให้คนขึ้นไปข้างบนแล้ว 
วิวดีมาก !  (รูปจากกล้องฟิล์ม)
หลังจากจบการด้ำๆมองๆที่ เจดีย์วิหารทัตบินยู เราก็ตั้งใจจปั่นจักรยานกลับที่พักเลย ตอนนั้นเกือบบ่าย 2 โมงแล้ว รู้สึกอยากกลับไปอาบน้ำ ไปพัก ไปกินอาหาร เช้า กลางวัน เสียที ยังไม่ได้กินอะไรเลยเนี่ย ยังนึกแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงมีแรงปั่นจักยานได้ไกลขนาดนี้ แล้วเราก็ไม่ได้ปั่นแบบชิลๆปกติด้วยนะ ถึงพ่อแม่จะบอกก็เหอะว่า เราเป็นคนปั่นไว ไม่อยากให้ใครมาซ้อนท้ายเรา เราก็ไม่เคยคิดแบบนั้น แต่เราลองดูสปีดของฝรั่งคนอื่นที่ปั่นแล้ว รู้สึกเลยว่าเราปั่นจักรยานไวมากๆ

เราเกือบปั่นไปทาง New bagan เพราะดูแผนที่ผิด แต่ก็ดึงตัวเองกลับเส้นทางเดิมได้ ที่พุกามนั้นมีถนนหลักแค่เส้นเดียวเท่านั้นแหละ ไม่หลงไปไหนได้ไกลหรอก เราปั่นจักยานไปเห็นเจดีย์วิหารธรรมยางจี ที่เราเห็นเมื่อเช้าตอนดูพระอาทิตย์ขึ้น (อยู่ถนนตรงข้ามเจดีย์วิหารอนันดา) ก็เลยรู้สึกอยากเข้าไปดูใกล้ๆ จึงปั่นจักรยานเข้าไปซึ่งทางก็เป็นทรายน่ากลัวว่าล้อหน้ารถจักรยานจะบิ่นมากถ้าปั่นไม่ดี ก่อนเข้าก็จอดแวะถ่ายรูปเทียมเกวียนที่จอดอยู่ ลุงคนขับเกวียนก็ใจดียิ้มให้ถ่ายอีกต่างหาก
ถ้ามาจากประตูเมืองแล้วจะกลับเข้าไปโซน old bagan หรือกลับที่พักที่เนียงอู ก็เลี้ยวซ้ายนะ ถ้าตรงไปจะเป็น new bagan วิวดีมาก !  (รูปจากกล้องฟิล์ม)
Dhammayan-gyi Temple เจดีย์วิหารธรรมยางจี เป็นเจดีย์วิหารที่ดูดุดันมากๆ กล่าวว่าเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในอณาจักรพุกาม และเป็นอีกที่ ที่ไม่ได้เดินเข้าไปดู แต่เจดีย์วิหารธรรมยางจีนั้น มีประวัติที่น่าสนใจมากๆ เพราะมีชื่อเรียกคือ  “วิหารที่สร้างไม่เสร็จ 
วัวเทียมเกวียนที่จอดอยู่ จริงๆตอนเข้าไปที่เจดีย์วิหารธรรมยางจี เราปั่นแข่งกันเข้า
สร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น  มีลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ที่คล้ายกับวัดอนันดา มีมุขยื่นออกมาสี่ด้าน  สร้างขึ้นโดยกษัตริย์นรา ยุ วิหารนี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า กาลักยามิน (Kalagya Min) อันหมายถึง วิหารของกษัตริย์ที่ถูกฆ่าโดยพวกกาลา  ซึ่งมีเรื่องเล่าตามนี้คือ

กษัตริย์นรายุ
 ขึ้นครองราชย์ด้วยการแย่งชิงบรรลังก์มาจากพ่อและพี่ชาย โดยการฆ่าทั้งพ่อและพี่ชายทิ้ง แล้วที่นี้ก็เกิดอยากล้างบาปให้ตัวเอง จึงได้สร้างเจดีย์วิหารนี้ขึ้นมา แต่เพราะไม่มีใครชอบเจดีย์แห่งนี้จึงไม่ได้สร้างด้วยแรงศรัทธาเลย เกิดจากการถูกบังคับขู่เข็นล้วนๆ อีกทั้งต้องทำให้ถูกใจ การวางอิฐต้องเรียบสนิทจนเข็มไม่สามารถสอดเข้าไปได้ ถ้าผิดพลาดก็จะถูกตัดมือทั้งสองข้าง หรือไม่พอใจอะไรก็ฆ่าทิ้งเลย แล้วสาเหตุที่สร้างเจดีย์วิหารนี้ไม่เสร็จก็อันเนื่องมาจาก   กษัตริย์นรายุได้ฆ่าพระสนมของตัวเองซึ่งเป็นธิดาของแคว้นหนึ่งในอินเดีย เนื่องจากสนมไม่พอใจในตัวกษัตริย์นรายุ  พอพ่อของสนมรู้ก็ส่งคนมาฆ่าษัตริย์นรายุตาย ซึ่งในสุดท้ายเจดีย์วิหารธรรมยางจีจึงสร้างไม่เสร็จ

ต้องโพกหน้ากันเลยเชียว ผ้าบัพสารพัดประโยชน์ กันแดด กันฝุ่น เอามาโพกหัวได้อีก
หลังจากที่เช็คอินเข้าพักอย่างเป็นทางการ เราก็ขึ้นไปเก็บของบนห้อง ห้องพักของเราในวันนี้เป็นที่พักแบบนอนรวม 6 เตียงใน 1 ห้อง แต่ว่าในห้องใหญ่ก็แบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องละ 3 เตียง ก็ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวสูง ที่นอนนุ่มนิ่มมากๆ มีน้ำเปล่าและอุปกรณ์อาบน้ำให้ จากนั้นเราก็ไปกินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรมนั่นแหละ แล้วชีวิตของเราในพุกาม ก็จบที่ห้องนอนและห้องอาหารของโรมแรมแค่นั้น
ข้าวกลางวัน !! จำชื่อเมนูไม่ได้ เป็นหมูชุบแป้งทอดผสมกับผงแกงกระหรี่ (ราคา 5,000จั๊ต พร้อมข้าวสุก) กินคนเดียวโอ้โห้ อิ่มมาก มือนี้เสียหายหนักมากๆ เพราะกินโค๊กกระป๋องด้วย (ราคา 3,000จั๊ต โอ้วววววว)
ข้าวผัดใส่พริกด้วย ธรรมดาๆกินกับโค๊กด้วย เสียหายหนักมากเช่นกัน (ไหงไม่ไปหากินในตลาดล่ะเนี่ย ฮ่าๆ)
พอเราได้นอนพัก จู่ๆก็รู้สึกตัวร้อนขึ้นๆมาทันที รู้สึกไม่สบายซะงั้น เราก็คิดว่าไม่แปลก ตั้งแต่ที่ย่างกุ้งเราเจออากาศร้อนมากๆ แล้วมานอนหนาวบนรถ แถมแวนซ์กับลุงอ็องจาตอนเช้าตรู่ แล้วมาปั่นจักรยานทัวร์เมืองแบบร้อนๆ ที่ตั้งใจว่าจะไปชมพระอาทิตย์ตกดินก็เลยไม่ได้ทำ แล้วที่สำคัญเราก็ตัดสินใจซื้อตั๋วรถบัสไปเมืองมัณฑเลย์เพื่อเดินทางในวันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายเลย

ที่ไม่อยู่พุกามต่อ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบพุกามนะ แต่แค่รู้สึกว่า พุกามมันไม่เหมาะกับการมาคนเดียวจริงๆ ฮ่าๆ แล้วพี่เมก็ไม่สันทัดการชมเมืองโบราณแบบนี้สักเท่าไร (มันดูหดหู่ ยิ่งมาคนเดียวก็ยิ่งหดหู่) ตั้งใจว่าถ้ามาอีก จะพาพี่ๆน้องๆมาด้วย (มาอีกแน่ๆ อยากถ่ายภาพบอลลูนจากด้านล่างมั่ง)

ถึงเราจะเดินทางไปมัณฑเลย์แต่เป้าหมายจริงๆของเรายังไม่ใช่เมืองมัณฑเลย์ แต่เป็นสีป้อ (Hsipaw) เมืองเล็กๆในรัฐฉานที่ห่างจากมัณฑเลย์ประมาณ 150 กิโลเมตร เราตั้งใจจะไปเมืองสีป้อด้วยรถไฟจากมัณฑเลย์ก่อน แล้วไปพักที่สีป้อ 1 คืนแล้วจะกลับมาเที่ยวที่มัณฑเลย์ก่อนกลับไปย่างกุ้ง เราซื้อตั๋วรถไปมัณฑเลย์ ในราคา 10,000 จั๊ตจากโรงแรมพักนั่นแหละ รถจะมารับเราที่โรงแรมเลย หลังจากที่นอนอยู่ในโรงแรมทั้งวัน ขยับตัวเฉพาะเวลากิน เพื่อนฝรั่งในห้องคงอึดอัดใจไม่น้อย ที่มีคนนอนอยู่ตลอดเวลา จะเปิดปิดประตูก็คงจะกลัวเสียงดัง จนตอนที่เราตื่นไปกินข้าวแล้วกลับมาเจอกัน เขายังต้องขอโทษที่ทำเสียงดังในห้อง ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร แอบเกรงใจเขาเสียด้วยซ้ำที่เอาแต่นอน
สะพานนี้รถใหญ่วิ่งได้ที่ละคน ต้องสลับกันข้าม
เราก็นอนจนถึงเวลาเช็คเอาท์ 11 โมงเช้า แบบเต็มอิ่มเลย ระยะทางจากเมืองพุกามไปเมืองมัณฑเลย์นั้นใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง รถของเราเป็นมินิบัส ประมาณ 20 ที่นั่ง (มีบวกเพิ่มมาคนนึงด้วย) เราได้ที่นั่งหลังสุดของรถเลย แอบลำบากนิดนึงที่งีบไม่ได้เลย เพราะมันนั่งเบียดกันมาก ฮ่าๆ (นอนที่โรงแรมไม่พอรึไง) ถนนหนทางนั้นถือว่าดีมากๆเลย มีขรุขระบ้างแต่ว่าก็ลาดปูนทั้งหมดแล้ว มีด่านเก็บค่าผ่านทางเล็กๆตลอดทางเลย

การบริการบนรถเหมือนจะไม่มี เราคิดว่าราคาตั๋วถูกมากนะ แต่บนรถก็มีน้ำและผ้าเย็นแจกด้วย แต่เสียที่บนรถนั้นร้อนมากๆ แล้วพนักงานบนรถไม่ให้เปิดหน้าต่างเพราะว่าเป็นรถแอร์ มีการโวยวายเกิดขึ้นนิดหน่อยตรงจุดหนึ่งที่ทุกคนร้อนจนหน้ามุ่ยเนื่องจากรถแอร์มันไม่มีแอร์ และยิ่งรถหยุดวิ่งแล้วจอดอยู่กลางแดดเพราะหม้อน้ำแห้ง  จนสุดท้ายพนักงานบนรถก็ยอมให้เปิดหน้าต่าง ลมที่ร้อนพัดเข้ามา สบายๆต่อให้รู้สึกว่าลมร้อน ก็คงจะดีกว่าไม่มีลมเลย
เส้นทางไปมัณฑเลย์นี้ดูไม่ค่อยสบายตาสักเท่าไร เพราะมองไม่เห็นต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่ค่อยมีสิ่งก่อสร้าง แต่ก็มีบ้างที่เราจะสามารถมองเห็นภูเขาได้ไกลๆ นึกถึงในอนาคตว่าถ้าแถบนี้มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นมา ชาวบ้านจะนั่งรถมาทำงานยังไง จนนึกไปถึงว่าถ้ามีโรงงานญี่ปุ่นมาตั้งในพม่า แล้วถ้าเรามีโอกาสได้มาทำงานที่นี่ เราจะเป็นยังไงนะ (ทำไมถึงคิดไปขนาดนั้นเนี่ย) นั่งฟังเพลงไปตลอดทางก็สบายใจได้อยู่นะ
ตอนรถใกล้ถึงเมืองมัณฑเลย์นั้นสังเกตได้ง่ายๆ ดูจากที่ถนนไม่ขรุขระแล้วนั่นเอง ฮ่าๆ จริงๆแล้วตอนที่น้องพนักงานบนรถมาถามเราต่างหากว่า เราจะลงที่ไหน รู้สึกดีมากๆที่ไม่ต้องเดินทางไปที่พักเอง เราพักที่เกาเฮาสต์ที่ชื่อว่า Act star (คืนละ 13 ดอลล่า) ที่พักอยู่ใกล้สถานีรถไฟมัณฑเลย์

รู้สึกตกใจตอนที่เข้าตัวเมืองมาแล้ว เมืองมัณฑเลย์นั้นเจริญมากๆ มีป้ายโฆษณาใหญ่ๆเต็มไปหมด มีห้างและมีร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมเยอะมากๆ แค่เข้าเมืองมาเราก็รู้สึกผิดอิมเมจที่คิดไว้เลย เรานึกถึงสะพานอูเบ็ง นึกถึงพิธีล้างหน้าพระวัดมหามุนี ด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก ก็ไม่ได้คิดว่าไม่อยากให้ประเทศอื่นเจริญ แต่ที่คิดก็คือ มันผิดจากที่จินตนาการไป (ในรีวิวส่วนใหญ่มักจะพูดถึงความเก่าๆ ก็เลยคิดว่าคงจะเป็นเมืองเงียบๆ)
เราพักแบบห้องรวมหญิง เตียงนอนแข็งแรงใช้ได้ ขยับตัวก็ไม่มีเสียง มาถึงก็มีแจกน้ำแจกผ้าเช็ดตัว
ห้องน้ำรวมก็อยู่ในสภาพที่ดีถือว่าใช้ได้เลย เอ้อ พนักงานก็น่ารักอีกต่างหาก ทำเลดีสุดๆ เหมาะสำหรับหาของกิน และถ้าจะนั่งรถไปที่สถานีมัณฑเลย์สามารถเดินไปได้เลย
ได้น้ำเพิ่มมาอีกขวด ตอนนี้มี ขวดแล้ว

การจะไปเมืองสีป้อทางรถไฟนั้น รถไฟจะออกตอน ตี 4 เราเลยคิดว่าจะลองไปเดินดูก่อนว่าสถานีอยู่ที่ไหน ซึ่งจริงๆถ้าเราออกจากซอยที่พักมา สถานีรถไฟก็อยู่ไม่ไกลเลย เดินตรงไปก็ถึง แต่ว่าเราดันเดินเลยสถานีรถไฟ เพราะไม่เห็นป้ายเขียนบอกสถานี เรานึกว่าเป็นโรงแรมหรูๆซะงั้น ตอนที่เดินเลยไปเราหยุดคิดได้ว่ามันไม่ใช่ ก็เลยถามแม่ค้าที่ตั้งร้านอยู่แถวนั้น ซึ่งแกก็ดูจะไม่เข้าใจคำว่า สถานีรถไฟสักเท่าไร เราก็เลยนั่งเปิดหนังสือภาษาพม่า แล้วพูดว่า ยาตาบุไต๋แม่ค้าก็ชี้ให้เดินไปตรงที่เราผ่านมานั่นแหละ ระหว่างเดินก็มีคนถามเราเรื่อยๆว่าไปไหน บีบแตรมอเตอร์ไซค์ใส่ เราก็เลยตอบไปว่า ยาตาบุไต๋ซะเลย

เราเดินไปหาที่ซื้อตั๋วไปเมืองสีป้อซึ่งที่ขายตั๋วจะอยู่ที่ชั้น 2 เจ้าหน้าที่ถามว่าเรามาจากที่ไหน ตอนนั้นดูวุ่นวาย เขาพาเราไปที่ห้องสำนักงานใกล้ๆ แล้วก็คุยอะไรกันไม่รู้ยกใหญ่ แต่ก็ไม่มีอะไร เจ้าหน้าที่บอกว่าให้มาซื้อพรุ่งนี้

สำรวจหนทางไปสีป้อเสร็จ ก็ได้เวลาหาอะไรกิน เราเลือกร้านอาหารที่เป็นร้านคล้ายๆร้านนั่งดื่มนั่งชิล สั่งเป็นอาหารที่เรากินมื้อแรกที่พุกาม แล้วก็โค๊ก 1 กระป๋อง  นั่งคนเดียวแบบเหงาๆดูมวยปล้ำไปด้วย พอจ่ายเงินเท่านั้นแหละ ทำให้รู้ว่าเราไม่เหลือเงินพม่าอีกแล้ว ไม่เหลือพอที่จะซื้อตั๋วรถไฟพรุ่งนี้ด้วย เรากังวลมากๆ เพราะเราไม่มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายค่าตั๋วด้วยเงินดอลล่าได้หรือไม่ เราจึงกลับไปที่เกสเฮาสต์หาข้อมูลที่แลกเงินในมัณฑเลย์ (ถามพนักงานเกสเฮาสต์แล้ว แต่เขาบอกว่าไม่มี) ค้นหาดูก็ไม่มีเคาเตอร์ที่สามารถแลกเงินได้ 24 ชั่วโมง แต่มีธนาคารในห้าง diamond ก็เลยรีบไปหวังว่าเขาจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งสุดท้ายก็ผิดหวัง เราจดไว้อีกหลายๆที่ แต่เราก็เดินหาไม่เจอ ไปถามคนอื่นก็ยังหาไม่เจอ ซอกซอยในมัณฑเลย์ทำให้เรางงมาก จนสุดท้ายเราก็ตัดสินใจลองกดเงินจากตู้ ATM ดู (ก็รู้ว่ากดได้ แต่ไม่อยากกดนิ)

และแล้วเราก็กดเงินออกมาได้ แต่เป็นเรื่องที่ผิดคาด เราไม่รู้ว่าตู้มันเป็นหน้าจอสัมผัสในขณะที่กำลังพยายามทำรายการอยู่นั้น มือเราดันไปสัมผัสโดนหน้าจอที่เป็นจำนวนเงิน 155,000 จั๊ต(โดยประมาณ)  จากที่เราต้องการแค่ 15,000 จั๊ตเท่านั้นเอง

เราคิดว่า ชีวิตในพม่าเรากำลังเข้าที่แล้วเชียว กลับต้องมาคอยกังวลเรื่องเงินปึกใหญ่ที่กดเกินมา เฮ้อ …. ถ้าหายเนี่ยชีวิตจบเลย นั่นมันเป็นบัญชีเงินกองทุนหลังออกจากงานของเราเสียด้วยนะ !! 

ปล. เกี่ยวกับข้อมูลประวัติของเจดีย์ต่างๆต้องขอบคุณ หนังสือเที่ยวพม่า ซ่าอย่างอินดี้ และเว็บไซต์ burmar-travel ที่ทำให้การท่องเที่ยวในเมืองพุกามสนุกขึ้น ถ้าไม่อ่านไปก่อนก็คงหงอยๆไม่รู้อะไรเลย

ความทรงจำเมื่อวันที่  10-17 กุมภาพันธ์ 2559
ไว้อาลัยให้กับความมึนของตัวเองที่มัณฑเลย์
by Mei


You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images