ปีนเขาสันหนอกวัว ณ กาญจนบุรี จังหวัดนี้ไปเยือนกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ

การรอเวลาเลิกงานในวันที่จะต้องไปไหนสักที่นั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด รอแล้วรออีก เหลืออีกกี่นาที หัวหมุนกับงานไม่พอยังหมุนกับการห...

การรอเวลาเลิกงานในวันที่จะต้องไปไหนสักที่นั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด รอแล้วรออีก เหลืออีกกี่นาที หัวหมุนกับงานไม่พอยังหมุนกับการหันไปดูนาฬิกา เมื่อวันที่ 29 มกราคม เป็นวันที่เรารอเวลาอย่างหัวหมุนที่สุด เนื่องจากเราจะต้องรีบกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าเพื่อไปปีนเขาที่ จังหวัดกาญจนบุรี และมิหนำซ้ำวันนั้นเป็นวันสุดท้ายในการทำงานของเราให้กับบริษัทปัจจุบัน
เป็นวันที่เร่งรีบมาก เราไม่ได้เตรียมเก็บของที่เราขนมาไว้ในลิ้นชักบริษัทตลอด 2 ปี เรายังไม่ได้ฉีกกระดาษที่ใช้แล้วที่เราไม่ยอมทิ้งเพราะคิดว่าเผื่อมีโอกาสหยิบมาอ่าน เร่งรีบกลับบ้านจนไม่มีเวลาบอกลาคนที่ควรต้องบอก ไม่ได้ล่ำลากับคนที่คอยส่งเรา ถึงแม้จะรู้สึกว่าอยากจะร้องไห้มากก็ตาม ไปก่อนนะ”  พูดได้แค่นี้ แล้วก็จากมา

 ในช่วงที่ตัดสินใจลาออก มันมีหลายๆอย่างที่เราอยากจะทำ เราตั้งใจว่า จะหยุดงานสัก 1 เดือนแล้วก็พักผ่อน นอนกลิ้งไปมา อยู่กับพี่จิ๋ว แล้วก็ไปเที่ยว ตั้งใจว่าจะไปพม่า ลาว มาเลเซีย รวมถึง สันหนอกวัว หุบเขาที่สูงที่สุดในกาญจนบุรี (ความสูง 1,767 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตรจากด้านล่างถึงจุดตั้งแคมป์) ตอนที่ใหม่ชวนครั้งแรก ก็คิดว่าเราจะไปไม่ได้ แต่กลายเป็นว่าสันหนอกวัว คือการเริ่มต้นเดินทางหลังลาออกจากงานของเรา

เขาสันหนอกวัว ตั้งอยู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญนบุรี มีส่วนที่ติดต่อกับพื้นที่ป่าในเขตทุ่งใหญ่นเรศวร สภาพป่ามีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น และยังคงมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ คำว่าสันหนอกวัว มาจากลักษณะของยอดเขาที่นูนออกมา รูปร่างคล้ายกับส่วนที่เป็นสันนูนบนหลังของวัว ที่เรียกว่าโหนก หรือหนอก การเดินทางขึ้นเขานั้นจะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อนำทางไปยังจุดที่สามารถตั้งแค้มป์ได้ เนื่องจากทางเดินยังไม่ชัดเจนแล้วก็ยังมีสัตว์ป่าอยู่

ทริปนี้เราไม่ได้ไปกันแค่ 2 คน แต่เราไปกับกรุ๊ปที่ใหม่รู้จักทางอินเตอร์เน็ตตอนที่ใหม่ไปปีนดอยม่อนจอง ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในตอนแรกก็กังวลว่าจะเข้ากับคนอื่นๆได้หรือเปล่า เราไม่ได้ชอบการเดินทางคนเดียว เราไม่ปฎิเสธถ้ามีคนอยากไปกับเรา แต่เราจะขอไปคนเดียวถ้าคนที่เราต้องไปด้วยคนละแนวกับเรา ถือว่าโชคดีที่เรามีพาร์ทเนอร์ตลอดชีพ ที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันได้ ก็คือคุณพี่สาว เราก็อยากไปกัน 2 คนเพราะกลัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้ แต่กลุ่มนี้พี่ที่เป็นคนนำกลุ่ม ชื่อ พี่ขวัญ เป็นคนที่ใหม่เข้าด้วยได้ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยตกลงไปด้วย (พ่องานจัดการเตรียมทุกอย่างให้)

หลังจากเลิกงาน พวกเราก็รีบกลับบ้านมาเก็บเสื้อผ้าด้วยความเร่งรีบ เนื่องจากพี่ขวัญต้องมารับที่บ้านประมาณ 2 ทุ่ม แต่เสื้อผ้าที่จะเอาไปยังไม่ได้ซักเลย ก็เลยพากันซักเสื้อผ้าแล้วเอาไดร์เป่าผมมาเป่าเสื้อผ้าให้แห้ง ซึ่งบางตัวก็ยังไม่แห้งด้วยซ้ำ ก็ยัดๆใส่กระเป๋าไป ตามแผนคือพี่ขวัญจะมารับพวกเราไปจุดนัดพบที่กรุงเทพบริเวณแถวๆวิภาวดี แล้วก็เดินทางไปอุทยานแห่งชาติเขาแหลมกัน

หลังจากถึงจุดนัดพบ เพื่อนร่วมทริปก็ทยอยกันลงมา มีคนที่ใหม่รู้จักอยู่แล้วนอกจาก พี่ขวัญ ก็มีพี่ตา และพี่โบ๊ท พี่เอ๋ แต่ส่วนใหญ่คนอื่นๆรู้จักกันหมดเพราะทำงานที่เดียวกันบ้าง เป็นน้องบ้าง ส่วนเราถือว่าใหม่สุดสำหรับกลุ่มนี้เลย ทุกคนก็ช่วยกันเอาของขึ้นรถแล้วก็ออกเดินทางกัน โดยส่วนใหญ่แล้วทุกคนก็หลับกันบนรถน่ะแหละ ต้องหลับนะ เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าต้องขึ้นเขาเลย เดี๋ยวจะไม่มีแรง
 
ในตอนแรกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สันหนอกวัว อยู่ที่สังขละบุรี เรารู้แค่ว่าเราจะไปกาญนบุรี นึกว่าน่าจะอยู่ทองผาภูมิเหมือนกับ เขาช้างเผือก ด้วยซ้ำ เราไม่ได้อ่านรีวิวใดๆของสันหนอกวัวเลย ไม่รู้ว่าสันหนอกวัวเป็นยังไง มีวิวและมีหน้าตาแบบไหน ไปด้วยความรู้สึกอยากเดินป่าล้วนๆ ผิดกับรินจานีที่ไปด้วยความรู้สึกอยากเห็นวิว … 
สมาชิก 10 ท่าน (จิ๊กรูปมาจากพี่เอ๋ ผู้ถ่าย)
แรกเริ่มเราจะต้องไปตั้งต้นกันที่อุทยานฯ ก่อน ต้องทำการจองล่วงหน้า เพราะทางอุทยานฯ จะได้จัดเจ้าหน้าที่นำทางและลูกหาบให้ (ไปที่ไหนก็ต้องจองก่อนล่ะเนอะ) พวกเรานั่งรถกันไปถึงที่บริเวณอุทยานฯ กันประมาณตี 3-4 หลับกันตลอดทาง พอถึงพวกเราก็หลับกันต่อจนถึงเช้าแล้วก็ตื่นไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็กินข้าวกัน มีนัดกับเจ้าหน้าที่ประมาณ 9 โมงเช้า การเดินทางไปที่บริเวณทางขึ้นเขานั้น ต้องนั่งรถไปอีกประมาณเกือบ 20 นาทีโดยไปกับรถของเจ้าหน้าที่นั่นแหละ
ทุกคนเตรียมพร้อมกันมากๆ มีประสบการณ์การเดินป่ากันทุกคน หนูเมเริ่มเป็นกังวลเกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงของพี่ๆน้องๆคนอื่นมากๆ เนื่องจากประสบการณ์ยังน้อยนิด ถึงบางทีจะคิดว่า เราผ่านรินจานีมาแล้ว ที่นี่อาจจะธรรมดาก็ได้ จริงๆรินจานีมันก็แค่ยาก เราอดทนได้ แต่การปีนยากๆก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยน้อยลงเวลาปีนหรอก เราเล่นเวคบอร์ดมา 2 ปี เล่นกีฬาผาดโผนที่ใช้กล้ามเนื้อหนัก แต่เราก็ไม่สามารถทนได้กับการเหนื่อยแบบหัวใจเต้นไว
ทางเดินเขาที่สันหนอกวัวนั้น สบายๆ ที่ว่าสบายก็คือ การเดินจะเป็นการเดินในป่า ทางเดินเรียบสลับเนินเล็กๆน้อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะเดินลงไป (นึกถึงตอนขากลับต้องเดินขึ้น) เป็นป่าไผ่ มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมตลอดเวลา ทำให้แดดไม่ร้อน  การที่ไม่รู้สึกร้อนแดดนั้นช่วยเพิ่มหลังในการเดินได้เยอะมากๆ พวกเราเดินกันเป็นแถว โดยมีเจ้าหน้าที่เดินตาม เรามักจะรั้งท้ายตลอด เดินไปเรื่อย พูดคุย เดินถ่ายรูปกันไป พี่ทหารพยายามบอกว่า ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ ถ้าพวกเราไปถึงเร็ว แดดบนแคมป์จะร้อน แต่หัวก็หายไปอย่างไวมีหลายกลุ่มที่เดินไปก่อนหน้ากลุ่มพวกเรา คนมาสันหนอกวัวเยอะเหมือนกันน่ะเนี่ย

เราเดินรั้งท้ายก็คุยเมาท์กับพี่ๆไปเรื่อย เรืองไปปีนเขาที่อินโดนีเซีย ทุกคนก็คิดว่าเราเก่ง คือก็แบบ พี่คะ เหนื่อยจนพูดไม่ออกค่ะอย่างที่บอก การปีนที่ยากๆมาก่อนไม่ได้หมายถึงว่าเราจะปีนเขาได้เก่ง หรือไม่เหนื่อย ของแบบนี้อยู่ที่ความบ่อยมากกว่า มีพี่ยูร (มาครั้งแรก) พี่ตา (ม้ามืดที่เก่งสุดๆ) เดินกันช้าๆอยู่ 3 คน จนมองไม่เห็นว่าคนอื่นอยู่ที่ไหน
จุดพักจุดแรก พี่นุ่น น้องแป้ง พี่ใหม่ คุยกันสนิทมากเหมือนรู้จักกันมานาน
เสียอย่างเดียวของสันหนอกวัว … ก็คือเรื่องผึ้ง  เราไม่สามารถพักเฉยๆได้นานเลย เพราะว่ามีผึ้งมาตอมตลอด ถึงจะพยายามทำใจไม่ปัด ไม่หงุดหงิด ไม่กลัวมันต่อย แต่มันก็น่ากลัวมากเพราะผึ้งไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่มารุมตอมกันเยอะมากๆ พี่ตาโดนผึ้งต่อยด้วย !! สำหรับเราที่กลัวผึ้งมาก มีประสบการณ์เลวร้ายกับมันมาเยอะ ทำให้เราหงุดหงิดและกลัวไม่ใช่น้อยเลย เรามองไม่เห็นรังผึ้ง พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า เป็นผึ้งโพรง มีรังแต่อยู่ในโพรง ดังนั้นการมาที่นี่ควรจะใส่เสื้อผ้าที่มีแขนจะดีกว่า ช่วยป้องกันพวกกิ่งไม้ได้ด้วย
มีเสียงในกลุ่มพูดขึ้นมาว่า พวกเรามาทำอะไรที่นี่เนี่ย อยู่บ้านดีๆไม่ชอบไม่มีใครที่ตอบขึ้นมาแบบจริงๆจังๆเลยนอกจากเสียงหัวเราะ พาลนึกไปถึงตอนที่ดูเรื่อง เอเวอร์เรสต์ ที่มีการถามกันในกลุ่มว่า มาที่นี่ทำไมก็ไม่มีใครตอบคำถามได้แบบจริงๆจังๆ เราก็ขำตามคนอื่นไป เพราะเราก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมไม่พักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆเนี่ย 
จะมีทางช่วงหนึ่งที่เป็นเนินที่เป็นทางเดินที่ไกลมากๆ เราว่าช่วงนั้นเหนื่อยยากที่สุด เพราะว่ามันเป็นทางชันที่ยาวมาก แถมเป็นช่วงเที่ยงแดดเริ่มร้อนแล้ว อากาศร้อนมากๆ เราก็อยู่กลุ่มรั้งท้ายเหมือนเดิม !! เราเห็นว่าป่าแถวนี้กว้างใหญ่มากๆ ไม่เห็นเขาหัวโล้นเลย พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า ป่าแถบนี้ยังสมบูรณ์เพราะไม่ค่อยมีการตัดป่า เราก็เห็นเป็นเช่นนั้น เพราะต้นไม้ที่เราเห็นส่วนใหญ่ชื้นแล้วก็เปราะมาก คงเอาไปทำอะไรไม่ได้
พี่ตาชิลมาก เดินไปร้องเพลงไปด้วย

พวกเรามาถึงจุดตั้งแคมป์ประมาณ บ่าย กว่า (ออกเดินประมาณ 9โมง 40) ด้านบนแคมป์ร้อนอย่างที่พี่เจ้าหน้าที่บอกไว้มากๆ หลังจากมาถึงแล้ว ก็พากันกางเตนท์ที่พัก กางผ้าใบสำหรับนั่ง โดยที่เจ้าหน้าที่และลูกหาบช่วยกัน ส่วนเราก็หนีไปนอนเล่นที่ร่มๆ กับใหม่และพี่ตา … มีบางคนเดินขึ้นไปที่จุดชมวิวก่อน แต่เราตั้งใจว่าให้เย็นกว่านี้ก่อนถึงจะไป เพราะอยากไปดูพระอาทิตย์ตกดิน บนจุดตั้งแคมป์นั้นมีห้องน้ำที่เจ้าหน้าที่ทำไว้ให้เป็นหลุมคลุมด้วยผ้ากระสอบสีดำ พี่เจ้าหน้าที่บอกว่ามีลำธาร จุดที่ไปเอาน้ำ เรารู้สึกอยากไปว่ายน้ำมากเลย แต่พอตอนเย็นๆตอนที่นอนหลับอยู่ อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นมาเสียซะงั้น เย็นแบบเย็นจริงๆ นอนตากแดดอยู่ยังเย็น คิดแล้วแหละว่าคงลงไปอาบไม่ได้ ฮ่า
จุดตั้งแคมป์ด้านบน อิจฉาวิวตรงนี้ แต่พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า ลมแรง ลงมานอนด้านล่างดีกว่า
สันหนอกวัว (เล็ก) สันหนอกวัวจริงๆต้องขึ้นไปอีก แต่ตรงจุดบนนั้นก็เห็นวิวได้กว้างสุดลูกหูลูกตามากๆ
เดินขึ้นมาจากสันเขามาสันหนอกเล็กเพื่อไปถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิต 
จุดสูงสุดอยู่ด้านหลังนู่น ต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย
ถ่ายรูปให้พี่ใหม่
จากจุดตั้งแคมป์ถ้าจะไปจุดสูงสุดของสันหนอกวัว ต้องเดินขึ้นไปอีกนิดนึง ทีแรกก็ดูว่าไกล แต่จริงๆก็ไม่ไกลเลย ทางขึ้นก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆ อากาศเย็นๆสบายๆ ช่วง เดือนธันวาคม มีนาคม น่ามาที่สุด (แต่จริงๆก็มาได้ทั้งปีแหละ) พวกเราตามกลุ่มแรกไปดูพระอาทิตย์ตกดิน แต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดิน พี่ยูรที่ขึ้นไปก่อนก็รีบลงไปที่สันเขาเนื่องจากความหนาว(ซะงั้น)
น้องแป้งกับพี่นุ่นไม่ได้ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตก ก็เลยกลายเป็นแม่ครัวให้พวกเรา อาหารเย็นวันนั้นเป็น มาม่ากับปลากระป๋อง เป็นการกินมาม่ากับปลากระป๋องที่อร่อยมาก เพราะเราได้กินกับเพื่อนใหม่ มิตรใหม่ พร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยดวงดาวบนท้องฟ้า ดาวคืนนั้นสวยมากๆ  หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็มานั่งคุยกันรอบกองไฟ ดูดาวไปคุยไปแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน

จากที่กังวลมาก่อนว่าเราจะเข้ากับคนอื่นได้หรือเปล่า กลายเป็นว่า เรากลับคุยสนิทกับน้องแป้งและพี่นุ่นได้ง่ายเลย ไม่ว่าจะเรื่องเที่ยว หรือเรื่องงาน พี่นุ่นเป็นสาวนักเที่ยวตัวยงสุดๆ ส่วนน้องแป้งที่ดูเหมือนเด็กสาวอ้อนแอ้น แต่เป็นคนที่มีความอดทนสูงมากๆ เราคุยกันทั้งเรื่องเที่ยวและเรื่องปัญหาในที่ทำงาน ส่วนพี่เจ้าหน้าที่ก็เมาท์สนุกมากๆ ดูแลดีด้วย
มีทะเลหมอกที่หุบเขาอื่น
ตอนเช้าพวกเราตื่นขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน อากาศเย็น ง่วงนอนมากๆ นอนไม่ค่อยหลับเลยเพราะว่าที่นอนของเราพื้นมันไม่เสมอกัน มันลาดเอียงจนทำให้ตัวไหลไปอยู่ที่ปลายเตนท์ ต้องตื่นมาพาตัวเองขึ้นไปนอนให้ถูกทางตลอดคืน
พวกเราขึ้นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน เห็นวิวทะเลหมอกที่หุบเขาอีกที่ เป็นภาพแปลกตามากๆ เราจินตนาการว่า เราจะเห็นทะเลหมอกรอบตัวเรา เหมือนเรากำลังเดินในทะเลหมอก แต่พี่เจ้าหน้าที่บอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า ไม่น่าจะได้อารมณ์นั้นเพราะว่าคืนนี้ลมแรง แต่ยังดีที่เรายังได้เห็นทะเลหมอกผิดไปจากที่จินตนาการไว้ มีช่วงที่พวกเรานั่งหันหน้าไปที่ทะเลหมอกที่อยู่ไกลๆ แทนที่จะหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ขึ้น เราสูดอากาศเสียเต็มปอด มองทอดตาไปไกลๆ อยากเก็บมันไปให้หมด ทั้งอากาศ วิวที่อยู่ตรงหน้า
ตรงจุดนี้ยังไม่ใช่สันหนอกวัวตรงจุดสูงสุด ต้องขึ้นไปอีกที่หนึ่ง หลังจากพวกเราถ่ายรูปเล่นกันเสร็จ ก็ลังเลว่าจะไปที่ยอดเขาดีมั้ย เพราะดูไกล๊ไกลจากจุดที่พวกเรายื่นอยู่ แถมยังต้องเดินลงไปก่อนเพื่อข้ามไปยังยอดเขา แต่พวกเราก็ตัดสินใจเดินไปที่ยอดเขา พวกเราใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็ถึงยอดเขา ดูเหมือนไกลแต่จริงๆใกล้มากๆ 
พอถึงยอดเขา อากาศก็เริ่มร้อนแล้ว พอเริ่มหายหนาว เริ่มมีแรง การถ่ายรูปเริ่มสนุกขึ้น ถ่ายรูปกันเยอะมากๆ  ได้ทำท่าตลก ทำท่าโยคะกัน กลิ้งไปกลิ้งมา นอนเล่นถ่ายรูปกันสนุกสนาน  
กลุ่มพวกเราลงจากเขาเป็นกลุ่มสุดท้าย เนื่องจากลงเขามาก็มาทำอาหาร เก็บของกรอกน้ำ ก็เลยช้านิดหน่อย เริ่มลงกันตอน 10 โมงเช้า อากาศร้อนมากๆ พี่เจ้าหน้าที่อุทยานกลุ่มอื่นก็แซวๆว่า ตามไปให้ทันนะ พวกเรายังไม่ทันตอบอะไร พี่เจ้าหน้าที่กลุ่มเราก็ตอบกลับไปว่า ออกเที่ยงก็ทั๊น !!”
เราใช้เวลาลงเขาประมาณ ชั่วโมง ในตอนแรกก็ยังเดินกับกลุ่ม แต่ไหงหลังๆเราเริ่มเดิน (วิ่ง) คนเดียวซะงั้น โดยมีกลุ่มนำหน้า และกลุ่มตามหลัง ขากลับก็ยังหงุดหงิดกับฝูงผึ้งจนทำให้ขากลับเราแทบไม่ได้หยุดเลย แล้วเดินคนเดียวก็กลัวมากๆ แต่ก็อาศัยตามพี่ทหารลูกหาบออกจากป่า ช่วงที่เดินคนเดียวบางทีก็ได้ยินเสียงอะไรดัง เราก็ตกใจกลัวว่าจะเป็นสัตว์ป่า จนบางทีก็วิ่งหน้าตั้งเลยเหมือนกัน จะรอก็ไม่ได้เพราะกลัวผึ้งมาตอม จะไปต่อก็กลัวหนทางข้างหน้าจริงๆ แต่สุดท้ายเราก็ออกมาจากป่าได้ โดยที่มีใหม่ น้องแป้งและพี่อีก คนรออยู่แล้ว ... จากนั้นกลุ่มที่มาถึงก่อนรวมทั้งเรา ก็นั่งรถกลับไปที่อุทยานก่อนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนั่งรถกลับได้กินโค้กด้วย สดชื่นสุดๆ
หลังจากสมาชิกลงเขากันมาครบแล้ว ก็พากันกินข้าวแล้วออกเดินทางกลับ แต่เนื่องจากยังพอมีเวลา พวกเราก็เลยพากันแวะไปที่สะพานมอญ เนื่องจากทุกคนอยากกินกาแฟสดม๊ากมากๆ (ซึ่งสุดท้ายมีคนได้กาแฟสดมาคนเดียว นอกนั้นกินน้ำชา ฮ่า)

การมาสะพานมอญครั้งนี้ของเราจึงเป็นครั้งที่ 2 วิวแปลกตามาก เพราะคราวที่แล้วมาตอนมีฝน อากาศอึมครึม เห็นภูเขาหลังเมฆ คราวนี้อากาศแจ่มใสมากๆ มองไปเห็นเขาเรดาร์ที่อยู่ข้างๆสั้นหนอกวัวด้วย แต่เราไม่เห็นสันหนอกวัวแฮะ หรือดูไม่ออกว่านั่นคือสันหนอกวัวก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
พวกเราจบทริปกันด้วยการกินอาหารเย็นด้วยกันแบบอบอุ่นมากๆ ไม่คิดเลยว่าจะสามาถเที่ยวกับคนอื่นๆได้ การได้คุยได้หัวเราะได้แชร์ประสบการณ์กันนี่ดีจริงๆ ฟังเรื่องของคนอื่นแล้วก็ทำให้มีไฟเพิ่มขึ้นอย่างมากๆ อาทิตย์หน้าเราต้องเดินทางไปเที่ยวพม่าคนเดียว 1 อาทิตย์ รู้สึกได้รับความกล้าหาญขึ้นมาเลยจากทั้งการปีนเขา หรือการฟังเรื่องสนุกๆของการท่องเที่ยว เรากังวลหลายๆเรื่องทั้งเรื่องการลาออกจากงาน การยังไม่ได้งานใหม่ และการไปพม่าคนเดียว ประเทศที่ใครๆก็บอกว่า มันอันตราย กันดาร แถมยังมีเรื่องของคดีเกาะเต่าเข้ามาอีก

ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน แต่ว่า ไม่ลองก็ไม่รู้นี่นา

ความทรงจำเมื่อวันที่  29 มกราคม 2559
ปีนเขาสันหนอกวัว กาญจนบุรี จังหวัดนี้ ไปเยือนกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ
by Mei

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images