ครั้งหนึ่งที่เหงาเปล่าเปลี่ยว ณ เอโนะชิม่า ประทศญี่ปุ่น

การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง บางทีก็ด้วยเหตุผลที่ยิ่งใหญ่มากๆ หรือบางครั้งก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องด้วยแรงผลักดันอะไรบา...

การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง บางทีก็ด้วยเหตุผลที่ยิ่งใหญ่มากๆ หรือบางครั้งก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องด้วยแรงผลักดันอะไรบางอย่างแน่ๆแหละ คนเราก็จะทำอะไรด้วยความที่เป็นนิสัยตัวเองเหมือนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะชอบนักร้องญี่ปุ่น ฮ่า

บางทีทำไปแล้วก็คิดว่ามันโคตรไร้สาระเลย แต่ก็ทำไปแล้วมองย้อนกลับไปลึกๆอีก ก็รู้สึกว่ามันตลกมากๆ มีช่วงนึงที่ไปทำงานที่ญี่ปุ่น (พฤษภาคม -สิงหาคม 2014) อินกับซีรียส์ญี่ปุ่นเรื่องนึงมากๆ ซึ่งเราเคยดูเมื่อนานมาแล้วตอนอยู่ที่ประเทศไทย พอเรามาญี่ปุ่นก็หยิบมาดูอีก แถมที่ญี่ปุ่นก็นำกลับมาฉายใหม่ช่วงนั้นพอดี

เป็นซีรียส์แนวความรักที่เราไม่เคยคิดจะดู เนื่องจากเราไม่ชอบซีรียส์แนวรักโรแมนติกสักเท่าไร (อิจฉานางเองค่ะ) ดูแนวนี้ไม่เคยจบ จิกหมอนเพ้อฝันไม่เป็นอันทำงานก็เลยเลิกดูตลอด แต่เรื่องนี้มีชื่อว่า Nagareboshi (流れ星 Shooting Star ) ซีรียส์ญี่ปุ่นที่ฉายในปี 2010 เราดูเพราะรุ่นพี่บอกว่า เรื่องนี้เหมือนซีรียส์ญี่ปุ่นยุคแรกๆที่เคยฉายตามช่อง itv  เลย ที่สำคัญพระเอกหล่อม๊ากกกกกก เราจึงตัดสินใจดู (ไม่ค่อยจะเป็นเหตุผลเลย)
เรื่องย่อ...
กล่าวถึงเรื่องราวของ เคนโด โอคาดะ (รับบทโดย ยูทากะ ทาเคโนะอุจิ) พนักงานพิพิธพัณฑ์สัตว์น้ำชินเอโนะชิมะ กำลังจะแต่งงานกับ มินาโกะ ไอซาว่า (รับบทโดย ยูกะ อิตายะ) คู่หมั้นซึ่งคบหากันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่จู่ๆ มาเรีย (คี คิตาโนะ) น้องสาวของเขาก็ป่วยหนัก และอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ปีเดียว จำเป็นต้องผ่าตัดผูกถ่ายตับ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถใช้ตับของเคนโดหรือแม่ของตนเองได้ ทั้งคู่จึงขอร้องมินาโกะ (คู่หมั้นเคนโกะ) แต่มินาโกะไม่สามารถตอบตกลงได้ งานแต่งงานของทั้งคู่จึงต้องถูกระงับกระทันหัน ขณะเดียวกันริสะ มากิฮาระ (รับบทโดย อายะ อุเอโตะ) ทำงานเป็นพนักงานในคอสเพลย์คลับ ซึ่งเธอต้องปิดเป็นความลับไม่ให้แฟนหนุ่มรู้ เช้าวันหนึ่งหลังกลับจากทำงาน ริสะพบชูอิจิ(รับบทโดย โกโร่ อินางากิ) พี่ชายของเธอที่ห้องพร้อมกับหนี้ก้อนใหญ่

วันหนึ่งริสะได้พบเคนโกะที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโดยบังเอิญ เธอกำลังท้อแท้กับการที่ต้องแบกรับหนี้สินของพี่ชาย เคนโกะจึงเสนอว่าจะช่วยล้างหนี้ให้ โดยเธอต้องแต่งงานกับเขาและช่วยเรื่องปลูกถ่ายตับให้มาเรีย ริสะคิดหนักอยู่ครู่ใหญ่  และในที่สุดก็ตอบตกลง แต่ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจากนี้นั่นล่ะ 

และช่วงนั้นเรากำลังไล่ล่าภูเขาไฟฟูจิอยู่ อยากเห็นมากๆไม่เคยเห็นเลย เรารู้ว่ามีที่ใกล้ๆโตเกียวที่เราสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้และการเดินทางก็จะได้นั่งรถไฟเล็กๆน่ารัก สถานที่นั้นมีชื่อว่า เอโนะชิม่า (江ノ島) เราก็เลยอยากไป แต่บังเอิญที่ขณะกำลังดูซีรียส์อยู่ ดูไปนอนจิกหมอนไป เราก็รู้ว่าเราต้องไปเอโนะชิม่าให้ได้ ด้วยเหตุผลคือ เราต้องไปตามหาหัวใจตัวเองที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเอโนะชิม่า (ขอเรียกว่า เอโนะซุย) เพราะว่าเคนโดซังทำงานอยู่ที่นั่น (บ้าและ แค่ในละคร ฮ่าๆๆๆๆๆ )

เอาล่ะ ! เราจะเจอเคนโดซังของเรามั้ย เอ๊ยฟูจิซัง(ภูเขาไฟฟูจิ) ของเรามั้ย !! เอโนะชิม่านั้นตั้งอยู่ในเขตฟุจิซะวะ (Fujisawa) จังหวัดคานากะวะ (Kanagawa) อยู่ใกล้ๆกับคามาคุระ ที่เรารู้จักเกาะเอโนะชิม่าอีกทางหนึ่งก็คือ เกาะนั้นอยู่ในงานภาพเขียนอุคิโยเอะ ของจิตกรชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า โฮคุไซ คะทสึชิกะ คืองานชุด ทัศนียภาพ 36 มุมของภูเขาฟูจิ ที่เราชื่นชอบอยู่แหละ
 
สมัยก่อนชาวบ้านจะเดินทางเข้าฝั่งโดยการรอให้น้ำลดแล้วเดินกัน (ตอนนี้มีสะพานให้เดินจ้า) มันมีตำนานเล่าเกี่ยวกับเกาะนี้ว่าเป็นเกาะแห่งความรักดำเนินเรื่องมาด้วยตำนานความรักที่พูดกันว่า บริเวณนี้ในอดีตมีมังกรร้ายอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ทะเล แต่ชาวบ้านไม่รู้ก็ใช้ชีวิตกันปกติจนมังกรออกมาอะละวาด ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงก็นำหญิงสาวไปเซ่นไหว้ แต่ก็ไม่ได้นำพาให้เกิดเรื่องดี จนวันหนึ่งมีเทพธิดา (นามว่าเบนเทน) ปรากฏตัวออกมา (ร่างปรากฏทางฝั่งเอโนะชิม่า)แต่ไม่ได้เกิดการต่อสู้กันเพราะว่ามังกรดุร้ายนั้นกลับตกหลุมรักเทพธิดาเข้า และกลับใจจะไม่ทำร้ายชาวบ้านอีก จากนั้นก็สถิตอยู่ในเขาลูกหนึ่งตรงข้ามกับเกาะเอะโนะ
เฝ้ามองท่านเทพธิดา คอยพิทักษ์ปกป้องเกาะและชาวเมือง (ภาพข้างบนไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องนี้แต่อย่างใด ฮ่า)

ช่วงที่เราไปคือเดือนมิถุนายน ซึ่งก็เข้าช่วงหน้าฝนของญี่ปุ่นแล้ว (ฝนคั่นฤดู) เราออกจากบ้านที่จังหวัดจิบะแต่เช้า เพื่อเดินทางไปยังเอโนะชิม่า โดยขึ้นรถไฟสายโชนันชินจุกุ (Shonan Shinjuku line) จากสถานีโอมิยะ ที่ไซตามะ การเดินทางไม่ยากเลย เราเลือกเดินทางสายนี้เพราะว่าอยากจะนั่งรถไฟชมวิวเล่นๆ เป็นครั้งแรกที่ออกมาเที่ยวไกลจากแถวบ้านตั้งแต่มาทำงานญี่ปุ่นก็เลยอยากใช้เวลากับมันซะเยอะๆ 

มีพาส
Odakyu Kamakura-Enoshima Freepass ของบริษัท Odakyu ราคาสำหรับผู้ใหญ่คนละ 1,430 เยน (เด็ก 720 เยน) ครอบคลุมการเดินทางเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ชินจูกุเลย ถ้าใครไปคามะคุระด้วยคุ้มแน่ๆ แต่เราขอนั่งสายโชนันชินจุกุชิลๆดีกว่า จากชินจูกุเรานั่งมาถึงสถานีฟุจิสะะวะ (Fujisawaa)  เพื่อต่อไปยังสายเอโนะเดน (Eno Den) รถไฟขบวนเล็กๆที่วิ่งจาก ฟุจิสะวะ ไปสุดที่คามาคุระ 

เราเช็คสภาพอากาศจาก web Yahoo พยากรณ์อากาศบอกว่า ฝนตกทั้งวันเราจิตตกมากๆภาวนาว่าให้พยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นผิดพลาดสักครั้งเถิด 
แต่พยากรณ์อากาศก็ไม่ผิด จากโอมิยะยังไม่ตก แต่นั่งรถไฟเรื่อยๆมาก็ตกสลับกันไป จนสุดท้ายที่ฟูจิสะวะอากาศครึ้มมากๆ ฝนได้ตกไปแล้ว ฟ้ายังหม่นๆอยู่และฝนก็ตกปรอยๆเรื่อยๆ

ออกจากสถานีฟูจิสะวะ ก็ออกมาหน้าสถานีแล้วเดินไปยังตึกตรงข้าม ซึ่งเป็นตึกของบริษัทโอดะคิว เดินเข้าไปเลยตึกนั้นเป็นห้าง หิวก็หาอะไรกินก่อนได้นะ (เขิลเลยไม่กล้าเข้าไปหาอะไรกิน) ทำการซื้อตั๋วรถไฟสายเอโนะเดนได้ที่หน้าตึกนี้ ชานชลาจะมีแค่ 2 ฝั่งคือ ไปและกลับ (มีแบบวันเดย์พาสด้วยนะ อย่าซื้อแค่ขาไปอย่างเดียว) ให้เราไปฝั่งที่เขียนว่าไปคามาคุระ (หัวรถก็มีป้ายบอก) เราจะลงกันที่สถานีเอโนะชิม่า (Enoshima 江ノ島)

รถไฟเป็นคันเล็กๆน่ารักมากๆ  วันนี้เจอคนเยอะปกติเราไปไหนมาไหนไม่ค่อยเจอผู้คน ส่วนใหญ่ที่มาเป็นวัยรุ่นด้วย รู้สึกประหม่านิดหน่อยเพราะเรามาคนเดียว เนื่องจากคนเยอะเราก็เลยไม่มีรูปในรถไฟเลย ทางรถไฟวิ่งผ่านซอยเล็กๆ พื้นที่แคบๆชนิดแบบติดบ้านคนเลย (ถ้าเลยเอโนะชิม่าไปอีกหน่อยรถไฟจะวิ่งเลียบทะเล) มองเห็นดอกอาจิไซบ้างตามข้างทาง
สถานีรถไฟเล็กๆน่ารักมากๆ  คิดว่าใครที่ชอบเดินเที่ยวเมืองเก่าๆ หรือชอบเดินเที่ยวแบบบ้านๆ ที่นี่ก็น่าสนใจมากๆ เราไม่ค่อยเห็นคนต่างชาติที่นี่เห็นมีต่างชาติหัวทองบ้าง แน่นอนว่าเรารู้แล้วว่า เราไม่สามารถเห็นฟูจิซังจากที่เอโนะชิม่าวันนี้ได้ ก็ไม่ได้ถือว่าผิดหวังสักเท่าไร เพราะก็พอจะเดาได้ตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว
มาที่นี่ไปต้องกลัวหลงว่าไปทางไหน เพราะคนที่ลงสถานีนี้ส่วนใหญ่ไปทางเดียวกัน  จุดมุ่งหมายก็คงเป็นเกาะเอโนะชิม่า ถ้าพูดถึงเอโนะชิม่านอกจากตำนานเรื่องความรักแล้ว เราก็ยังไม่ได้พูดถึงว่ามันมีอะไรอีก ก่อนเราไปเรารู้ว่าที่นั่นมีที่ทำงานของเคนโดะซัง(ตามในละคร) แต่จริงๆแล้วที่ทำงานของเคนโดะซังอยู่คนละฝั่งกับเกาะเลย อยู่แผ่นดินใหญ่ ฮ่าๆๆ ไปถึงแล้วถึงได้รู้ค่ะ เรานึกว่าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอยู่บนเกาะเสียอีก
มีร้านขายกล้องเก่าด้วย เราพกกล้องฟิล์มไปตัวนึง และกล้องคอมแพคมือ 2 ที่พึ่งซื้อจากอากิฮาบาระ ถ่ายรูปออกมาภาพเหมือนฟิล์มเลย (ตั้งใจจะซื้อฟิล์มเพิ่ม แต่ไม่เห็นคนขายเลยเดินผ่านไป)
ตามทางเดินก็มีร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึก มีเสื้อผ้าจากไทยมาขายด้วยน่าจะมาจากตลาดนัดจตุจักร
เอโนะชิม่าก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชิลๆเดินเล่น กินไอติม ชมวิวทั่วๆไปที่สามารถเที่ยวแบบไปกลับได้จากโตเกียวหรือจากบริเวณใกล้ๆ (เหมือนจะมีแค่นั้น ฮ่า) จริงๆแล้วแถวนั้นมีทั้งที่เล่นกระดานโต้คลื่น ร้านดำน้ำ มีบาร์ริมทะเล แล้วช่วงหน้าร้อนนั้น ที่นี่เป็นแหล่งเล่นน้ำอาบแดดที่ฮอตฮิตมากด้วย
ก่อนจะเดินทางข้ามสะพานไปที่เกาะ เราแวะกินอาหารกลางวันก่อน (มาถึงก็เกือบเที่ยงแล้ว) เป็นร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆสะพานเลย ไม่รู้จะเลือกร้านไหนเลยเลือกที่คนไม่เยอะ ยืนอ่านเมนูอาหารหน้าร้าน มีเขียนว่าเป็น ก๋วยเตี๋ยวต้มยำด้วย มาถึงเอโนะชิม่าแต่มีต้มยำด้วย ก็เลยลองเข้าไปดู ซึ่งเราก็สั่งเมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำนั่นแหละเพราะเราก็กินอย่างอื่นไม่ค่อยเป็น

เราเคยคิดว่า ตัวเองเป็นพวกเปิดรับ ยังไงดีล่ะ !! คือนิสัยของคนชอบผจญภัยเดินทางก็มักจะชอบกล้าลองอะไรใหม่ๆ กล้ากินอาหารพื้นเมือง กินของแปลกอย่างเวลาต่างชาติมาไทยก็มาลองกินพวกแมลงทอด แต่เรากลับไม่ใช่สายที่กล้ากินอะไรใหมๆ เวลาเข้าร้านอาหารก็เลยลำบากมากๆ ตอนอยู่ญี่ปุ่นเราก็มักทำอาหารกินเอง แม้แต่อาหารกลางวันถึงที่ทำงานจะมีขาย เราก็ทำอาหารไทยไปกินด้วยเสมอๆ  เรื่องอาหารเวลาออกไปข้างนอกเราจึงมักเลือกอะไรที่พอจะรู้จัก พอจะกินได้ หรือถ้าขี้เกียจมากๆ เราก็เลือกซื้อขนมปังจากในคอนบินิแทน
ก๋วยเตี๋ยวต้มยำฉบับเอโนะชิม่า มีข้าวเปล่าโปะหน้า ปลาชิราสุ (Shirasuしらす) ไม่แน่ใจว่าเป็นปลาชนิดไหน แต่นี่เป็นสินค้าประจำถิ่นของเอโนะชิม่า มีขายเยอะมาก ตัวซุปของก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ได้ถือว่าเป็นต้มยำสักเท่าไรแต่อร่อย เพราะเราซดน้ำจนหมด (นานๆที่จะถ่ายรูปของกิน ร้านไหนคนเยอะไม่กล้าถ่าย ตอนนี้นั่งคนเดียวเลยถ่าย ฮ่า)
และก็เป็นเรื่องที่รู้สึกเสียมารยาทมากๆ เพราะเราไม่สามารถกินอาหารได้หมด (โดยเฉพาะปลา) นี่จึงเป็นสาเหตุที่เรามักไม่เข้าไปกินอาหารญี่ปุ่นในร้านเลย ไม่แปลกที่น้ำหนักเราลดไป 10 กิโลภายใน 3 เดือน เราหลีกเลี่ยงที่จะกินเพราะกลัวมันเหลือ กลัวเวลาเขามาเก็บจานแล้วเห็นว่ามันไม่หมด เขาจะรู้สึกไม่ดี เดินไปจ่ายเงินพร้อมกับความรู้สึกผิด

บริเวณนี้ถ้าเป็นฤดูร้อนคนเต็มชายหาดแน่ๆ ด้านซ้ายของฝั่งนี้ มีคนกำลังเล่นกระดานโต้คลื่นกันอยู่ด้วย
ส่วนใหญ่เขามาเป็นคู่ .... คนโสดอย่างเรานี่ไปฆ่าตัวตายชัดๆ
ช่วงนี้ฝนตก อากาศอึมครึม แต่ดีที่ได้เห็นดอกอาจิไซค่ะ

สองข้างทางก่อนขึ้นไปถึงเสาโทริ (เสาสีแดงๆของศาลเจ้า) มีร้านค้าเต็ม 2 ข้างทางเลย แต่คนเยอะมากๆ อยากกินไอติมก็ขี้เกียจต่อแถว ก็เลยเดินยาวเลย เพราะอยากขึ้นไปที่ประภาคารมากๆ แล้วก็ใจจริงอยากไป Aquarium แล้วด้วยเพราะเราเดินช้าแล้วมันใกล้จะบ่าย 3 แล้ว กลัวไม่มีเวลาเดินเที่ยว แล้วอีกอย่างมาเอโนะชิม่าคนเดียว มันเหงาเกินไปคือ ไม่เห็นใครมาคนเดียวอะ  ฮ่าๆ
ขอพรเรื่องความรักกันอยู่สินะคะ
มองจากด้านบนกลับไปตรงที่เราเดินมา นี่เรามาไกลมาก
ถ่ายรูปฟิล์มมาด้วย แต่ภาพน่ากลัวมาก ดูดีๆ
ใกล้ถึงประภาคารแล้ว แวะมาชมวิวสักนิด บริเวณนี้คนไม่เยอะ ไม่รู้ไปไหนกันหมด ฝนตกปรอยๆด้วย
สวนดอกไม้ ไม่ค่อยได้เดินดูเท่าไหร่
ประภาคารมีชื่อว่า Enoshima  sea candle จากด้านบนเห็นวิวได้กว้างมากๆ ถ้าฝนไม่ตกก็อาจได้เห็นโตเกียวสกายทรีได้ด้วยแหละ (แน่นอนว่าเห็นฟูจิซังได้ด้วย) แต่เนื่องจากฝนตก เราก็เลยมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เราก็อยู่ด้านบนนานมากๆ เพราะถึงจะอึมครึมเนื่องจากฝนตก แต่วิวก็ดูสบายตาดี ดูมวลๆกระแทกลงไปที่ความเหงาสุดๆ อย่างที่บอก ไม่มีใครขึ้นมาคนเดียว ฮือๆ (บ่นเพื่อ) จากรูปนี้ที่ทำงานเคนโดซัง เอ๊ย เอโนะซุย อยู่ซ้ายมือค่ะ ต้องเดินกลับและข้ามสะพานไป
บรรยากาศจากกล้องฟิล์มบ้าง ... เรือจอดเต็มเลย

แถมภาพจากกล้องฟิล์ม ... 
บริเวณราวจับตรงนี้ มีการเอากุญแจมาผูกกันไว้ด้วย ก็เกาะแห่งความรักนี่คะ !!
ลงจากประภาคาร เราก็รีบเดินลงมาเพื่อไปยังเอโนะซุย ไม่อยากกลับบ้านดึกมากเพราะเรามีนัดตีแบตตอน 1 ทุ่ม (เดินทางไปกลับขาละ อย่างต่ำ 3 ชั่วโมง ถ้าไม่ขึ้นรถผิดนะ ฮ่า) เราชอบตอนเดินกลับจากเกาะไปยังเอโนะซุยที่สุด ฝนหยุดตกสนิทแล้ว อากาศเย็นเล็กน้อย

เราชอบเห็นบรรยากาศแบบทะเล ร้านดำน้ำ ชุดดำน้ำ ร้านขายชุดบิกินีที่มีหุ่นตั้งอยู่ แล้วก็เห็นหนุ่มๆทั้งคนญี่ปุ่นและฝรั่งหัวทองแบกกระดานโต้คลื่นที่ใส่กระเป๋าไว้ ตอนนั้นคิดในใจเลยว่า อยากพาพี่สาวมาเที่ยวแถวนี้ (จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปด้วยกัน) มีร้านอาหารที่ด้านบนดาดฟ้าคนกำลังปาร์ตี้กันด้วย


ฝนตกอย่าลืมดูแลสุขภาพ ออกจากบ้านก็อย่าลืมเช็คพยากรณ์อากาศ
ร้านนั่งดื่มเรียงยาวเลย
เอโนะซุยนั้นดูภายนอกเล็กมากๆ แต่ภายในนั้นมีการจัดแสดงสัตว์น้ำหลากหลาย มีทั้งปลาเขตน้ำร้อน เขตน้ำเย็น โซนแพนกวิน สิงโตทะเล เต่าทะเล แถมมีโชว์ปลาโลมาด้วย และไฮไลท์ของที่เอโนซุยโดยดูจากตาเราก็คงเป็นโซนแสดงแมงกะพรุน (ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักเรา)
ที่เอโนะซุยนั้นคนเยอะมากๆ เด็กๆเต็มไปหมดเลย นี่เห็นน้องๆเล่นกับปลากระเบนดูน่ารักดี

อารมณ์จริงๆคือ โคตรอยากนั่งดูแมงกะพรุนที่ตู้นี้เลย (เหมือนภาพโปรโมทซีรียส์) แต่แบบคนเยอะมาก ยืนออหน้าตู้หมด แถมโซนนั้นคนก็เต็มห้องเลย จริงๆมันมีโซฟาให้นั่งหน้าตู้ด้วย แต่คนเยอะนั่งได้แป๊บเดียวก็ออก เพราะเกรงใจคนอื่น (อาจมีคนอยากมาทำมิวสิคแบบเราก็เป็นได้) วัยรุ่นญี่ปุ่นที่มาเป็นคู่ ห้องนี้ฟินสุดๆ
chrysaora pacifica แมงกะพรุนไฟญี่ปุ่น
ค่าเข้าชมเอโนะซุยของผู้ใหญ่คือ 2,100 เยน ไม่แพงมาก ตอนที่กำลังเดินออกไปดูเต่าทะเลที่อยู่ด้านนอก ฝนดันตกลงมาอีกฟ้าหมองหม่นทั้งวันจริงๆ เราไม่ได้ดูโชว์ปลาโลมา เพราะว่าต้องรีบกลับแล้ว ทริปนี้รูปน้อยมากเพราะฝนตก อีกทั้งรูปส่วนใหญ่ก็ถ่ายที่ไอพอตซึ่งหายไปแล้วหลังกลับจากญี่ปุ่น รูปแมงกะพรุนหายไปหมดเลย
ขากลับเราก็กลับทางเดิม มาทางไหนกลับทางนั้น ก่อนกลับก็แวะหาอะไรกินแถวๆนั้น ตอนนั้นเลือกเป็น Mcdonal แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟาย แบบง่ายๆ นั่งบ่นกับตัวเองว่า ไปญี่ปุ่นเธอจะกินของแบบนี้นี่นะ จริงๆแล้วเราไปอยู่ญี่ปุ่น 3 เดือนเรากินเคเอฟซีแทบทุกอาทิตย์ เพราะเป็นอาหารที่ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนอาหารไทย (จริงๆเคเอฟซีญี่ปุ่นอร่อยกว่าไทยนะ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีกลิ่นน้ำมัน)

ระหว่างเดินทางไปยังสถานีรถไฟ แวะร้านของชำร่วยเพื่อซื้อโปสการ์ด เป็นร้านแนว marine style กะลาสี เรือใบ สีฟ้าทะเลๆ  ลุงคนขายน่ารักมากยิ้มแย้มทักทาย คุยกันแกก็ถามว่ามาจากไหน พอบอกว่ามาจากประเทศไทย แกก็บอกว่าชอบประเทศไทยใหญ่เลย แต่ก็ซื้อโปสเตอร์มาแค่ใบเดียวเอง

ฝนก็ยังตกต่อไป เราก็ยังเดินต่อไป  ครั้งนี้ไม่ได้เจอฟูจิซัง แต่ก็ได้เจอแมงกะพรุน และครั้งนี้ต่อให้ไม่ได้เจอฟูจิซัง เราก็จะไปหาต่อไป


ความทรงจำเมื่อวันที่ 5/7/2557 
ครั้งหนึ่งที่เหงาเปล่าเปลี่ยว ณ เอโนะชิม่า
by Mei


You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images