ญี่ปุ่น
เที่ยวญี่ปุ่น
เที่ยวด้วยตัวเอง
เที่ยวเอง
บันทึกท่องเที่ยว
ครั้งหนึ่งที่เหงาเปล่าเปลี่ยว ณ เอโนะชิม่า ประทศญี่ปุ่น
21.9.58
การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง
บางทีก็ด้วยเหตุผลที่ยิ่งใหญ่มากๆ หรือบางครั้งก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องด้วยแรงผลักดันอะไรบางอย่างแน่ๆแหละ คนเราก็จะทำอะไรด้วยความที่เป็นนิสัยตัวเองเหมือนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะชอบนักร้องญี่ปุ่น ฮ่า
บางทีทำไปแล้วก็คิดว่ามันโคตรไร้สาระเลย
แต่ก็ทำไปแล้วมองย้อนกลับไปลึกๆอีก ก็รู้สึกว่ามันตลกมากๆ
มีช่วงนึงที่ไปทำงานที่ญี่ปุ่น (พฤษภาคม -สิงหาคม 2014) อินกับซีรียส์ญี่ปุ่นเรื่องนึงมากๆ
ซึ่งเราเคยดูเมื่อนานมาแล้วตอนอยู่ที่ประเทศไทย พอเรามาญี่ปุ่นก็หยิบมาดูอีก
แถมที่ญี่ปุ่นก็นำกลับมาฉายใหม่ช่วงนั้นพอดี
เป็นซีรียส์แนวความรักที่เราไม่เคยคิดจะดู
เนื่องจากเราไม่ชอบซีรียส์แนวรักโรแมนติกสักเท่าไร (อิจฉานางเองค่ะ)
ดูแนวนี้ไม่เคยจบ จิกหมอนเพ้อฝันไม่เป็นอันทำงานก็เลยเลิกดูตลอด
แต่เรื่องนี้มีชื่อว่า Nagareboshi
(流れ星 Shooting Star ) ซีรียส์ญี่ปุ่นที่ฉายในปี 2010 เราดูเพราะรุ่นพี่บอกว่า เรื่องนี้เหมือนซีรียส์ญี่ปุ่นยุคแรกๆที่เคยฉายตามช่อง itv เลย ที่สำคัญพระเอกหล่อม๊ากกกกกก เราจึงตัดสินใจดู (ไม่ค่อยจะเป็นเหตุผลเลย)
และช่วงนั้นเรากำลังไล่ล่าภูเขาไฟฟูจิอยู่ อยากเห็นมากๆไม่เคยเห็นเลย
เรารู้ว่ามีที่ใกล้ๆโตเกียวที่เราสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้และการเดินทางก็จะได้นั่งรถไฟเล็กๆน่ารัก
สถานที่นั้นมีชื่อว่า เอโนะชิม่า (江ノ島) เราก็เลยอยากไป แต่บังเอิญที่ขณะกำลังดูซีรียส์อยู่
ดูไปนอนจิกหมอนไป เราก็รู้ว่าเราต้องไปเอโนะชิม่าให้ได้ ด้วยเหตุผลคือ
เราต้องไปตามหาหัวใจตัวเองที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเอโนะชิม่า (ขอเรียกว่า เอโนะซุย) เพราะว่าเคนโดซังทำงานอยู่ที่นั่น (บ้าและ แค่ในละคร ฮ่าๆๆๆๆๆ )
เอาล่ะ ! เราจะเจอเคนโดซังของเรามั้ย เอ๊ยฟูจิซัง(ภูเขาไฟฟูจิ) ของเรามั้ย !! เอโนะชิม่านั้นตั้งอยู่ในเขตฟุจิซะวะ (Fujisawa) จังหวัดคานากะวะ (Kanagawa) อยู่ใกล้ๆกับคามาคุระ ที่เรารู้จักเกาะเอโนะชิม่าอีกทางหนึ่งก็คือ
เกาะนั้นอยู่ในงานภาพเขียนอุคิโยเอะ ของจิตกรชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า
โฮคุไซ คะทสึชิกะ คืองานชุด ทัศนียภาพ 36 มุมของภูเขาฟูจิ ที่เราชื่นชอบอยู่แหละ
สมัยก่อนชาวบ้านจะเดินทางเข้าฝั่งโดยการรอให้น้ำลดแล้วเดินกัน (ตอนนี้มีสะพานให้เดินจ้า) มันมีตำนานเล่าเกี่ยวกับเกาะนี้ว่าเป็นเกาะแห่งความรักดำเนินเรื่องมาด้วยตำนานความรักที่พูดกันว่า บริเวณนี้ในอดีตมีมังกรร้ายอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ทะเล แต่ชาวบ้านไม่รู้ก็ใช้ชีวิตกันปกติจนมังกรออกมาอะละวาด ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงก็นำหญิงสาวไปเซ่นไหว้ แต่ก็ไม่ได้นำพาให้เกิดเรื่องดี จนวันหนึ่งมีเทพธิดา (นามว่าเบนเทน) ปรากฏตัวออกมา (ร่างปรากฏทางฝั่งเอโนะชิม่า)แต่ไม่ได้เกิดการต่อสู้กันเพราะว่ามังกรดุร้ายนั้นกลับตกหลุมรักเทพธิดาเข้า และกลับใจจะไม่ทำร้ายชาวบ้านอีก จากนั้นก็สถิตอยู่ในเขาลูกหนึ่งตรงข้ามกับเกาะเอะโนะ เฝ้ามองท่านเทพธิดา คอยพิทักษ์ปกป้องเกาะและชาวเมือง (ภาพข้างบนไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องนี้แต่อย่างใด ฮ่า)
ช่วงที่เราไปคือเดือนมิถุนายน ซึ่งก็เข้าช่วงหน้าฝนของญี่ปุ่นแล้ว (ฝนคั่นฤดู)
เราออกจากบ้านที่จังหวัดจิบะแต่เช้า เพื่อเดินทางไปยังเอโนะชิม่า โดยขึ้นรถไฟสายโชนันชินจุกุ
(Shonan Shinjuku line) จากสถานีโอมิยะ ที่ไซตามะ การเดินทางไม่ยากเลย
เราเลือกเดินทางสายนี้เพราะว่าอยากจะนั่งรถไฟชมวิวเล่นๆ เป็นครั้งแรกที่ออกมาเที่ยวไกลจากแถวบ้านตั้งแต่มาทำงานญี่ปุ่นก็เลยอยากใช้เวลากับมันซะเยอะๆ
มีพาส Odakyu Kamakura-Enoshima Freepass ของบริษัท Odakyu ราคาสำหรับผู้ใหญ่คนละ 1,430 เยน (เด็ก 720 เยน) ครอบคลุมการเดินทางเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ชินจูกุเลย ถ้าใครไปคามะคุระด้วยคุ้มแน่ๆ แต่เราขอนั่งสายโชนันชินจุกุชิลๆดีกว่า จากชินจูกุเรานั่งมาถึงสถานีฟุจิสะะวะ (Fujisawaa) เพื่อต่อไปยังสายเอโนะเดน (Eno Den) รถไฟขบวนเล็กๆที่วิ่งจาก ฟุจิสะวะ ไปสุดที่คามาคุระ
มีพาส Odakyu Kamakura-Enoshima Freepass ของบริษัท Odakyu ราคาสำหรับผู้ใหญ่คนละ 1,430 เยน (เด็ก 720 เยน) ครอบคลุมการเดินทางเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ชินจูกุเลย ถ้าใครไปคามะคุระด้วยคุ้มแน่ๆ แต่เราขอนั่งสายโชนันชินจุกุชิลๆดีกว่า จากชินจูกุเรานั่งมาถึงสถานีฟุจิสะะวะ (Fujisawaa) เพื่อต่อไปยังสายเอโนะเดน (Eno Den) รถไฟขบวนเล็กๆที่วิ่งจาก ฟุจิสะวะ ไปสุดที่คามาคุระ
เราเช็คสภาพอากาศจาก web Yahoo พยากรณ์อากาศบอกว่า “ฝนตกทั้งวัน”
เราจิตตกมากๆภาวนาว่าให้พยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นผิดพลาดสักครั้งเถิด
แต่พยากรณ์อากาศก็ไม่ผิด จากโอมิยะยังไม่ตก
แต่นั่งรถไฟเรื่อยๆมาก็ตกสลับกันไป จนสุดท้ายที่ฟูจิสะวะอากาศครึ้มมากๆ
ฝนได้ตกไปแล้ว ฟ้ายังหม่นๆอยู่และฝนก็ตกปรอยๆเรื่อยๆ
ออกจากสถานีฟูจิสะวะ ก็ออกมาหน้าสถานีแล้วเดินไปยังตึกตรงข้าม
ซึ่งเป็นตึกของบริษัทโอดะคิว เดินเข้าไปเลยตึกนั้นเป็นห้าง หิวก็หาอะไรกินก่อนได้นะ (เขิลเลยไม่กล้าเข้าไปหาอะไรกิน) ทำการซื้อตั๋วรถไฟสายเอโนะเดนได้ที่หน้าตึกนี้ ชานชลาจะมีแค่ 2 ฝั่งคือ ไปและกลับ (มีแบบวันเดย์พาสด้วยนะ อย่าซื้อแค่ขาไปอย่างเดียว) ให้เราไปฝั่งที่เขียนว่าไปคามาคุระ (หัวรถก็มีป้ายบอก)
เราจะลงกันที่สถานีเอโนะชิม่า (Enoshima 江ノ島)
รถไฟเป็นคันเล็กๆน่ารักมากๆ
วันนี้เจอคนเยอะปกติเราไปไหนมาไหนไม่ค่อยเจอผู้คน
ส่วนใหญ่ที่มาเป็นวัยรุ่นด้วย รู้สึกประหม่านิดหน่อยเพราะเรามาคนเดียว เนื่องจากคนเยอะเราก็เลยไม่มีรูปในรถไฟเลย
ทางรถไฟวิ่งผ่านซอยเล็กๆ พื้นที่แคบๆชนิดแบบติดบ้านคนเลย (ถ้าเลยเอโนะชิม่าไปอีกหน่อยรถไฟจะวิ่งเลียบทะเล) มองเห็นดอกอาจิไซบ้างตามข้างทาง
สถานีรถไฟเล็กๆน่ารักมากๆ คิดว่าใครที่ชอบเดินเที่ยวเมืองเก่าๆ หรือชอบเดินเที่ยวแบบบ้านๆ
ที่นี่ก็น่าสนใจมากๆ เราไม่ค่อยเห็นคนต่างชาติที่นี่เห็นมีต่างชาติหัวทองบ้าง แน่นอนว่าเรารู้แล้วว่า
เราไม่สามารถเห็นฟูจิซังจากที่เอโนะชิม่าวันนี้ได้ ก็ไม่ได้ถือว่าผิดหวังสักเท่าไร
เพราะก็พอจะเดาได้ตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว
มาที่นี่ไปต้องกลัวหลงว่าไปทางไหน เพราะคนที่ลงสถานีนี้ส่วนใหญ่ไปทางเดียวกัน
จุดมุ่งหมายก็คงเป็นเกาะเอโนะชิม่า
ถ้าพูดถึงเอโนะชิม่านอกจากตำนานเรื่องความรักแล้ว
เราก็ยังไม่ได้พูดถึงว่ามันมีอะไรอีก ก่อนเราไปเรารู้ว่าที่นั่นมีที่ทำงานของเคนโดะซัง(ตามในละคร) แต่จริงๆแล้วที่ทำงานของเคนโดะซังอยู่คนละฝั่งกับเกาะเลย อยู่แผ่นดินใหญ่ ฮ่าๆๆ ไปถึงแล้วถึงได้รู้ค่ะ เรานึกว่าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอยู่บนเกาะเสียอีก
มีร้านขายกล้องเก่าด้วย เราพกกล้องฟิล์มไปตัวนึง
และกล้องคอมแพคมือ 2 ที่พึ่งซื้อจากอากิฮาบาระ ถ่ายรูปออกมาภาพเหมือนฟิล์มเลย (ตั้งใจจะซื้อฟิล์มเพิ่ม แต่ไม่เห็นคนขายเลยเดินผ่านไป)ตามทางเดินก็มีร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึก มีเสื้อผ้าจากไทยมาขายด้วยน่าจะมาจากตลาดนัดจตุจักร |
เอโนะชิม่าก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชิลๆเดินเล่น กินไอติม
ชมวิวทั่วๆไปที่สามารถเที่ยวแบบไปกลับได้จากโตเกียวหรือจากบริเวณใกล้ๆ (เหมือนจะมีแค่นั้น
ฮ่า) จริงๆแล้วแถวนั้นมีทั้งที่เล่นกระดานโต้คลื่น ร้านดำน้ำ มีบาร์ริมทะเล แล้วช่วงหน้าร้อนนั้น
ที่นี่เป็นแหล่งเล่นน้ำอาบแดดที่ฮอตฮิตมากด้วย
ก่อนจะเดินทางข้ามสะพานไปที่เกาะ เราแวะกินอาหารกลางวันก่อน (มาถึงก็เกือบเที่ยงแล้ว)
เป็นร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆสะพานเลย ไม่รู้จะเลือกร้านไหนเลยเลือกที่คนไม่เยอะ ยืนอ่านเมนูอาหารหน้าร้าน
มีเขียนว่าเป็น ก๋วยเตี๋ยวต้มยำด้วย มาถึงเอโนะชิม่าแต่มีต้มยำด้วย ก็เลยลองเข้าไปดู … ซึ่งเราก็สั่งเมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำนั่นแหละเพราะเราก็กินอย่างอื่นไม่ค่อยเป็น
เราเคยคิดว่า ตัวเองเป็นพวกเปิดรับ ยังไงดีล่ะ !! คือนิสัยของคนชอบผจญภัยเดินทางก็มักจะชอบกล้าลองอะไรใหม่ๆ
กล้ากินอาหารพื้นเมือง กินของแปลกอย่างเวลาต่างชาติมาไทยก็มาลองกินพวกแมลงทอด
แต่เรากลับไม่ใช่สายที่กล้ากินอะไรใหมๆ เวลาเข้าร้านอาหารก็เลยลำบากมากๆ
ตอนอยู่ญี่ปุ่นเราก็มักทำอาหารกินเอง แม้แต่อาหารกลางวันถึงที่ทำงานจะมีขาย
เราก็ทำอาหารไทยไปกินด้วยเสมอๆ
เรื่องอาหารเวลาออกไปข้างนอกเราจึงมักเลือกอะไรที่พอจะรู้จัก พอจะกินได้
หรือถ้าขี้เกียจมากๆ เราก็เลือกซื้อขนมปังจากในคอนบินิแทน
และก็เป็นเรื่องที่รู้สึกเสียมารยาทมากๆ เพราะเราไม่สามารถกินอาหารได้หมด
(โดยเฉพาะปลา) นี่จึงเป็นสาเหตุที่เรามักไม่เข้าไปกินอาหารญี่ปุ่นในร้านเลย
ไม่แปลกที่น้ำหนักเราลดไป 10 กิโลภายใน 3 เดือน
เราหลีกเลี่ยงที่จะกินเพราะกลัวมันเหลือ กลัวเวลาเขามาเก็บจานแล้วเห็นว่ามันไม่หมด
เขาจะรู้สึกไม่ดี เดินไปจ่ายเงินพร้อมกับความรู้สึกผิด
บริเวณนี้ถ้าเป็นฤดูร้อนคนเต็มชายหาดแน่ๆ ด้านซ้ายของฝั่งนี้
มีคนกำลังเล่นกระดานโต้คลื่นกันอยู่ด้วย
|
ส่วนใหญ่เขามาเป็นคู่ .... คนโสดอย่างเรานี่ไปฆ่าตัวตายชัดๆ
|
ช่วงนี้ฝนตก อากาศอึมครึม แต่ดีที่ได้เห็นดอกอาจิไซค่ะ
|
สองข้างทางก่อนขึ้นไปถึงเสาโทริ (เสาสีแดงๆของศาลเจ้า) มีร้านค้าเต็ม 2 ข้างทางเลย แต่คนเยอะมากๆ อยากกินไอติมก็ขี้เกียจต่อแถว ก็เลยเดินยาวเลย เพราะอยากขึ้นไปที่ประภาคารมากๆ แล้วก็ใจจริงอยากไป Aquarium แล้วด้วยเพราะเราเดินช้าแล้วมันใกล้จะบ่าย 3 แล้ว กลัวไม่มีเวลาเดินเที่ยว แล้วอีกอย่างมาเอโนะชิม่าคนเดียว มันเหงาเกินไป…คือ ไม่เห็นใครมาคนเดียวอะ ฮ่าๆ
ขอพรเรื่องความรักกันอยู่สินะคะ
|
มองจากด้านบนกลับไปตรงที่เราเดินมา นี่เรามาไกลมาก
|
ถ่ายรูปฟิล์มมาด้วย แต่ภาพน่ากลัวมาก ดูดีๆ
|
ใกล้ถึงประภาคารแล้ว แวะมาชมวิวสักนิด บริเวณนี้คนไม่เยอะ
ไม่รู้ไปไหนกันหมด ฝนตกปรอยๆด้วย
|
สวนดอกไม้ ไม่ค่อยได้เดินดูเท่าไหร่
|
แถมภาพจากกล้องฟิล์ม ... |
บริเวณราวจับตรงนี้ มีการเอากุญแจมาผูกกันไว้ด้วย ก็เกาะแห่งความรักนี่คะ !! |
ลงจากประภาคาร เราก็รีบเดินลงมาเพื่อไปยังเอโนะซุย
ไม่อยากกลับบ้านดึกมากเพราะเรามีนัดตีแบตตอน 1 ทุ่ม (เดินทางไปกลับขาละ
อย่างต่ำ 3 ชั่วโมง ถ้าไม่ขึ้นรถผิดนะ ฮ่า)
เราชอบตอนเดินกลับจากเกาะไปยังเอโนะซุยที่สุด ฝนหยุดตกสนิทแล้ว
อากาศเย็นเล็กน้อย
เราชอบเห็นบรรยากาศแบบทะเล ร้านดำน้ำ ชุดดำน้ำ
ร้านขายชุดบิกินีที่มีหุ่นตั้งอยู่ แล้วก็เห็นหนุ่มๆทั้งคนญี่ปุ่นและฝรั่งหัวทองแบกกระดานโต้คลื่นที่ใส่กระเป๋าไว้
ตอนนั้นคิดในใจเลยว่า อยากพาพี่สาวมาเที่ยวแถวนี้ (จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปด้วยกัน)
มีร้านอาหารที่ด้านบนดาดฟ้าคนกำลังปาร์ตี้กันด้วย
ฝนตกอย่าลืมดูแลสุขภาพ ออกจากบ้านก็อย่าลืมเช็คพยากรณ์อากาศ
|
ร้านนั่งดื่มเรียงยาวเลย |
เอโนะซุยนั้นดูภายนอกเล็กมากๆ
แต่ภายในนั้นมีการจัดแสดงสัตว์น้ำหลากหลาย มีทั้งปลาเขตน้ำร้อน เขตน้ำเย็น
โซนแพนกวิน สิงโตทะเล เต่าทะเล แถมมีโชว์ปลาโลมาด้วย และไฮไลท์ของที่เอโนซุยโดยดูจากตาเราก็คงเป็นโซนแสดงแมงกะพรุน (ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักเรา)
ที่เอโนะซุยนั้นคนเยอะมากๆ
เด็กๆเต็มไปหมดเลย นี่เห็นน้องๆเล่นกับปลากระเบนดูน่ารักดี
|
อารมณ์จริงๆคือ โคตรอยากนั่งดูแมงกะพรุนที่ตู้นี้เลย (เหมือนภาพโปรโมทซีรียส์)
แต่แบบคนเยอะมาก ยืนออหน้าตู้หมด แถมโซนนั้นคนก็เต็มห้องเลย
จริงๆมันมีโซฟาให้นั่งหน้าตู้ด้วย แต่คนเยอะนั่งได้แป๊บเดียวก็ออก
เพราะเกรงใจคนอื่น (อาจมีคนอยากมาทำมิวสิคแบบเราก็เป็นได้)
วัยรุ่นญี่ปุ่นที่มาเป็นคู่ ห้องนี้ฟินสุดๆ
chrysaora
pacifica แมงกะพรุนไฟญี่ปุ่น
|
ค่าเข้าชมเอโนะซุยของผู้ใหญ่คือ
2,100 เยน ไม่แพงมาก
ตอนที่กำลังเดินออกไปดูเต่าทะเลที่อยู่ด้านนอก ฝนดันตกลงมาอีกฟ้าหมองหม่นทั้งวันจริงๆ
เราไม่ได้ดูโชว์ปลาโลมา เพราะว่าต้องรีบกลับแล้ว ทริปนี้รูปน้อยมากเพราะฝนตก
อีกทั้งรูปส่วนใหญ่ก็ถ่ายที่ไอพอตซึ่งหายไปแล้วหลังกลับจากญี่ปุ่น
รูปแมงกะพรุนหายไปหมดเลย
ขากลับเราก็กลับทางเดิม มาทางไหนกลับทางนั้น
ก่อนกลับก็แวะหาอะไรกินแถวๆนั้น ตอนนั้นเลือกเป็น Mcdonal แฮมเบอร์เกอร์
เฟรนช์ฟาย แบบง่ายๆ นั่งบ่นกับตัวเองว่า ไปญี่ปุ่นเธอจะกินของแบบนี้นี่นะ จริงๆแล้วเราไปอยู่ญี่ปุ่น 3 เดือนเรากินเคเอฟซีแทบทุกอาทิตย์
เพราะเป็นอาหารที่ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนอาหารไทย (จริงๆเคเอฟซีญี่ปุ่นอร่อยกว่าไทยนะ
เพราะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีกลิ่นน้ำมัน)
ระหว่างเดินทางไปยังสถานีรถไฟ แวะร้านของชำร่วยเพื่อซื้อโปสการ์ด
เป็นร้านแนว marine style กะลาสี
เรือใบ สีฟ้าทะเลๆ ลุงคนขายน่ารักมากยิ้มแย้มทักทาย
คุยกันแกก็ถามว่ามาจากไหน พอบอกว่ามาจากประเทศไทย แกก็บอกว่าชอบประเทศไทยใหญ่เลย
แต่ก็ซื้อโปสเตอร์มาแค่ใบเดียวเอง
ฝนก็ยังตกต่อไป เราก็ยังเดินต่อไป
ครั้งนี้ไม่ได้เจอฟูจิซัง แต่ก็ได้เจอแมงกะพรุน
และครั้งนี้ต่อให้ไม่ได้เจอฟูจิซัง เราก็จะไปหาต่อไป
ความทรงจำเมื่อวันที่ 5/7/2557
ครั้งหนึ่งที่เหงาเปล่าเปลี่ยว ณ เอโนะชิม่า
by Mei
0 ความคิดเห็น