วันที่ฉันออกเดินทางไปสงบจิตสงบใจ ณ ชิสุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น

Reverse Culture Shock  หรืออาการไม่คุ้นกับวัฒนธรรมของตัวเอง มีใครเคยเป็นบ้างนะ ตัวเราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันไม่คิดว่าตัวเองจะมีอาการอ...



Reverse Culture Shock หรืออาการไม่คุ้นกับวัฒนธรรมของตัวเอง มีใครเคยเป็นบ้างนะ ตัวเราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันไม่คิดว่าตัวเองจะมีอาการอะไรแบบนี้หลังจากไปทำงานที่ญี่ปุ่นแค่ 3 เดือน พอกลับมาที่ไทยเรารู้ตัวเองเลยว่า มันรู้สึกหงุดหงิดต่อทุกสิ่งที่ไทย เก็บตัว เลิกงานก็กลับบ้านขึ้นห้องไม่คุยกับใครเลย 

หนักไปถึงนั่งทำงานแล้วน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
 ทั้งๆที่ไม่ได้เกลียดประเทศไทย อาหารไทย วัฒนธรรมไทย ทำไมนะ ??  จริงๆแล้วรู้สึกว่าชีวิตที่ญี่ปุ่นนั้นสะดวกสบายแน่นอนว่ามีเงินกินเงินใช้แบบไม่ขาดสน ถ้าเทียบกับตอนอยู่ไทยแล้วคนละเรื่องเลย มีความปลอดภัยในชีวิต เราไม่เคยรู้สึกว่ากลัวตายเวลาเดินข้ามถนน หรือเวลานั่งรถบัส ดังนั้นพอกลับมาปุ๊บก็หาเรื่องไปญี่ปุ่นอีกรอบเลย

ที่จะเล่าต่อไปนี้ ตัดสินใจตั้งแพลนหลังจากกลับมาที่ไทยได้เพียง 2 อาทิตย์ ล่วงหน้า 3 เดือน การเดินทางครั้งนี้มันก็ไม่ได้ดี้ด้าหรือตื่นเต้นอะไร ก็แค่ยังอยากไปใช้ชีวิตเหมือนที่เคยทำและอีกทั้งเฮีย ฟุคุยาม่า มาซาฮารุ นักร้องญี่ปุ่นคนโปรดก็จัดคอนเสิร์ตปลายปีที่ ไอโนะ ( Aino 愛野)ในจังหวัดชิสุโอกะ (Shizuoka 静岡) หลังจากที่เราจองทุกอย่างหมดแล้ว ช่วงวันใกล้ๆออกเดินทาง เรากลับเริ่มไม่รู้สึกอยากกลับไปที่ญี่ปุ่นแล้วด้วยซ้ำ(ความรู้สึกมันผ่านมา 3 เดือนแล้วนี่นา)

ช่วงเวลาเดินทางตามแพลนเลยคือ 20-25 พฤศจิกายน ... ตอนที่ไปทำงานเคยบอกกับเจ้านายที่ญี่ปุ่นว่า กลับไทยไปแล้วจะมาญี่ปุ่นอีก เดี๋ยวเดือน11 ชั้นจะไปจังหวัดนากาโนะนะ อยากเห็นหิมะ ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่นากาโนะ เสียซะดื้อๆ... แล้วมันก็เป็นอีกทริปที่หนีพ่อแม่ไป (ตามกาลิเลโอ) อีกทริปจนได้ (ทริปแรกก็หนีไปญี่ปุ่นแต่บอกพ่อแม่ว่าไปเขาใหญ่แทน)

และสุดท้ายเก็ไม่ได้ตั๋วคอนเสิร์ต ... และไม่มีแพลนอะไรเลย จากตอนแรกตั้งใจว่าจะไปดำน้ำที่ Kawana และไปเล่นเวคบอร์ดที่ทะเลสาบ Yamanaka ในจังหวัดชิสุโอกะ และวันสุดท้ายเข้าโตเกียวไปปีนเขาเดินป่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่ตั้งใจจะทำก็ไม่ได้ทำเพราะพี่สาวที่ทำงานญี่ปุ่นบอกว่า

"มันหนาวอะ" โอเค !!!!! คือทะเลาะกันแทบแย่ ตอนบอกว่าจะไม่ได้เล่นเวคเพราะไม่มีเงินแล้ว เราอยากเล่นม๊ากกกกกกก ติดใจประทับใจมากๆตอนไปครั้งที่แล้ว อยากดูฟูจิซังไปด้วยเล่นเวคไปด้วย และคุณพี่ใหม่พี่สาวบัดดี้ตลอดกาลก็บอกว่า "เธอก็ซื้อหนังสือท่องเที่ยวชิสุโอกะที่สนามบินและกันนะ" ???   คือแพลนที่คิดคร่าวๆไว้ล่มตั้งแต่ไม่ได้บัตรคอนเสิร์ต ไม่เล่นเวค ไม่ดำน้ำ ?? ตายแล้ว แล้วเราไปทำไรที่ชิสุโอกะล่ะเนี่ย

จากการที่คุณบัดดี้ซึ่งเป็นหัวหน้าในที่ทำงานไม่อยู่เมืองไทย จึงทำให้เราที่น้องสาว ยุ่งมากเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน ซึ่งไม่อะไรหรอกนะแค่วันเดินทางยังต้องนั่งทำโอที ขึ้นเครื่อง 5 ทุ่มครึ่งที่ดอนเมือง แต่เรายังนั่งทำงานอยู่ถึงทุ่มกว่า กระเป๋าก็ไม่ได้เก็บ ก่อนออกจากที่ทำงานยังถูกหนูใหม่ถามทางสไกป์ว่า "ยังจะเล่นเวคอยู่มั้ย" โอเค ไม่เล่น จบมั้ย ??????

หลังจากจัดแจงปริ๊นใบเช็คอินออนไลน์ของสายการบิน แอร์เอเชีย และรายการจองห้องพักจาก booking.com ที่จองไว้ที่ชิสุโอกะ 2 คืน โตเกียวอีก 2 คืน เสร็จเรียบร้อย ก็ดิ่งแท๊กซี่กลับบ้าน พร้อมยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า สะพายเป้ใส่กางเกงขาสั้นออกจากบ้าน เตรียมตัวออก business trip ไปทำงานที่ญี่ปุ่น (เก๊าบอกพ่อกับแม่ไว้แบบเน้)

และการเดินทางก็ได้เริ่มขึ้น (พร้อมพกปัญหาหนักอกหนักใจไปด้วย)  !! หลังจากเช็คอินเสร็จ ผ่าน ตม ไทย stamp ตาออกนอกประเทศ เจ้าหน้าที่สาวสวย ส่งยิ้มหวานให้ พร้อมกับถามว่า "เคยไปทำงานที่ญี่ปุ่นด้วยหรอ คราวนี้ไปเที่ยวหรอ ดูไม่ออกเลยว่าทำงานแล้ว" หูยยยยปลื้ม (พอดีก่อนหน้ามีวีซ่า สามเดือนมั้ง เขาเลยคิดว่าเคยไปทำงาน)

จากนั้นก็พบกับพี่บิน รุ่นพี่ที่เคารพรักที่บังเอิญเดินทางเที่ยวบินเดียวกัน นั่งพูดคุยกันจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง คลายเหงาไปได้มากมาย

เอาล่ะขึ้นเครื่อง พร้อมสวดมนต์เตรียมนอน !!
ไม่ใช่แล้ว!! ในหัวคิดถึงแพลนในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ว่าจะเอายังไง ... โอเค เราลงนาริตะถึง 8 โมงเช้ากว่าๆ เราจะนั่ง Keisei skyliner ออกจากสนามบินเข้าเมืองไปชินจูกุ เราจะไปขึ้น Shonanshinjuku line เพื่อไป ชิสุโอกะ เราจะไปเช็คอินพักที่ Tokiwa guest house ที่เขต Fujinomiya (富士宮) จริงๆก่อนจะถึงที่พักเราอาจจะแวะนิดหน่อย จะแวะที่ไหนเดี๋ยวคิดอีกที วันรุ่งขึ้นอีกวัน นัดเจอบัดดี้ที่สถานีอาตามิ ตอน 10 โมง เจอกันแล้วจากนั้นทำไรเราค่อยคิด ... คิดไปคิดมาจนนอนหลับ 

หลังจากเครื่องลงเราก็ผ่านมาได้อย่างง่ายดาย !! โอ้ววววมายก๊อต มาญี่ปุ่นแบบไม่ใช้วีซ่าครั้งแรกตื่นเต้นเสิคะ 

ただいま
JAPAN ฉันกลับมาแล้วนะ ญี่ปุ่น !!
お帰りメイちゃんกลับมาแล้วหรอ เมจัง !!

จินตนาการคำนี้โดยใส่เสียงที่คิดถึงลงไป ฟินสุดๆ !! จะกลับมาใช้ชีวิตที่นี่อีก 5 วัน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ
หลังจากจากออกมาได้แล้ว เราก็เดินลงไปตรงที่ขึ้นรถเข้าเมืองเพื่อไปดูเที่ยวรถไฟและซื้อบัตร PASMO ก่อนเลย(คล้ายบัตรโดยสารรถไฟ BTS,MRT ใช้บริการรถสาธารณะได้แล้วก็ซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ด้วย เคยมีเป็นของตัวเองแต่ยกให้บัดดี้ไปแล้ว) ซึ่งตอนแรกก็กะจะนั่งรถไฟเข้าเมือง คิดว่าจะไปหาซื้อเสื้อผ้าหนาๆแถวๆชินจูกุใส่ แต่เห็นว่ามันเป็นเที่ยวเช้าคนต้องเยอะแน่ก็เลยเดินกลับไปซื้อเสื้อกันหนาวที่ ยูนิโคล่ ซึ่งพอดี๊พอดี ที่เสื้อหนาวลดราคาจาก 2,990 เยน เหลือ 1,990 เยน อูยยยยย น้ำตาจะไหลที่กำลังลดราคาพอดีหลังจากเดินซื้อเสื้อเสร็จ พร้อมเล็คกิ้งที่บัดดี้บอกให้ซื้อมาด้วยเพราะมันบรรเทาความหนาวได้ดี จากนั้นเราก็เดินไปหาร้านหนังสือเที่ยว ชิสุโอกะ และ อิซุ


เราเลือกซื้อมา
2 เล่ม น่ารักกรุบกริป เล่มสีเขียวเป็นแบบ เที่ยวชิสุโอกะ แบบชิลๆกินไอติมกินชาเขียวอะไรแบบนี้ ส่วนเล่มสีส้มๆ เป็นเดินเที่ยว IZU  แถบคาบสมุทรอิซุ ที่สถานที่ท่องเที่ยวในหนังสือเล่มนี้จะเน้น ทะเล ทะเล แล้วก็ทะเล

ตั้งใจว่าจะออกจากสนามบินประมาณสักสิบโมงเช้า จึงไปหาที่นั่งพักกินข้าวปั้น นั่งรอเวลาก่อน จึงลงไปที่ชั้นล่างของสนามบิน นั่งรอไปพลางดื่มกาแฟกินข้าวปั้นไปดูข่าวไปด้วย ระหว่างนั่งอยู่ แว๊บไปเห็นหนุ่มหล่อสูงยาว ตัวล่ำๆ เดินผ่านไปกับคนสองคนที่ถือกล้องตามไปด้วย พลันนึกได้ว่า ชายหนุ่มหล่อๆล่ำๆผู้นี้ คือ เอนามิซัง นักข่าวสุดหล่อจากสถานีฟูจิทีวี ที่เคยเป็นข่าวที่ไทยช่วงนึง "สาวไทยคลั่ง นักข่าวญี่ปุ่นขวัญใจชาวเน็ต" เห็นแล้วก็ เงียบๆกินข้าวต่อไป ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ เขิลสิคะหล่อจุง !!


พอได้เวลาปุ๊บเราก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำใส่เลคกิ้งที่ซื้อมาตะกี้ ใส่เสื้อฮีทเทค พร้อมออกเดินทางไป ฟูจิโนะมิยะ !! แล้วเจอกันนะฟูจิซัง


เราไม่ได้นั่ง Keisei skyliner เข้าเมืองแบบที่คิด เรานั่งรถไฟธรรมดาเข้าเมืองไป ความรู้สึกเอ่อล้นมาก เราเคยนั่งรถไฟสายเข้าเมืองแบบนี้มาแล้วรอบนี้เป็นรอบที่ 3 ยังจำตอนที่เจ้านายถามว่า เราจะถ่ายรูปอะไร (ด้วยกล้องฟิล์ม) รวมไปถึงความทรงจำของแสงจ้าที่สาดส่องเข้าตามาตอนมองออกไปที่หน้าต่าง จำถึงความตื่นเต้นที่พกมาตอนที่ต้องมาทำงานที่ญี่ปุ่นได้

พอถึงสถานี อุเอโนะ (上野Ueno) ที่มีสวนสัตว์อุเอโนะตั้งอยู่ คิดว่าจะไปดูหมีแพนดี้ เอ๊ย หมีแพนด้าสักหน่อย (ไม่ใช่และ) พอถึงอุเอโนะ ก็ตั้งใจจะเข้ารูทรถไฟสาย โนชันชินจูกุไลน์ จึงเดินออกจาก ใต้ดินอุเอโนะ ไปสถานีรถไฟเจอาร์ เพื่อต่อสายยามาโนะเตะไลน์ (Yamanote line) ต่อรถไฟไป อิเคบุคุโร แล้วจะต่อสายโชนันที่นั่น


แต่บังเอิญว่าระหว่างเดินไปสถานีรถไฟเจอาร์ ดันเหลือบไปเห็น ย่าน AMEYOKO (アメ横) ที่เราพลาดโอกาสมาตอนอยู่ญี่ปุ่นก็เลยแวะเข้าไป ไหนๆก็ไหนๆแล้ว แวะกินข้าวหน่อยและกัน ก็ยังมีเวลาอีกเยอะ เราเดินหาร้านอาหารเพื่อเข้าไปกินข้าว คนที่เดินถนนอาเมโยโกะเยอะมาก จนรู้สึกประหม่า (ไม่ค่อยไปไหนที่คนเยอะๆเลย) เราเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆเพื่อกินอาหารกลางวัน(ร้านเล็กมากจริงๆ) เลือกที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ครัวเลย อาหารมื้อแรกที่มาถึงญี่ปุ่นรอบนี้ก็เป็นข้าวกับหมูทอดคาราอาเกะและซุปมิโสะ

คุณป้าที่เคาน์เตอร์น่ารัก พยายามคุยกับเราด้วย พยายามอธิบายว่าซุปมิโสะนั้นข้างในใส่อะไรบ้าง ใส่ผักอะไรบ้าง เราไม่ชอบกินซุปมิโสะ ไม่ชอบกลิ่นของซุปเลย แต่มื้อนี้เรากินซุปจนหมด (เพราะรู้สึกเกรงใจด้วย) มีคนเข้าออกร้านตลอดเวลา รู้สึกเขิลนิดหน่อยที่นั่งคนเดียวที่เคาน์เตอร์ครัว


ช่วงเวลานั้นเรารู้สึกว่าเก่งขึ้นมากเลย มันผ่านไปได้ดีมากๆ เดินชูวับชูแวบแบบชำนาญมาก จนคิดถึงเพลงบางท่อนออกเพลงที่มีชื่อว่า “rouge” ของ นาคาจิม่า มิยูกิ ที่เรามักจะเปิดฟังตอนใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นชอบท่อนที่ร้องโดยแปลเป็นภาษาอังกฤษได้อารมณประมาณว่า

“I've become very good at talking
No matter how drunk the listener
I've become very good at talking
When I put on my rouge, I know”  

มานั่งคิดๆ เด็กสาวที่ชอบประเทศญี่ปุ่นมาตลอด เด็กตาดำๆลูกตาสีตาสาไม่คิดเลยว่าจะมาเดินชูวับที่ญี่ปุ่นได้

ตอนเดินอยู่ อาเมโยะโกะ อยู่อุเอโนะ มันใกล้นะ ใกล้กับคาวามะเอคิ(ที่พักตอนมาทำงานที่ญี่ปุ่น)มากๆ รู้สึกอยากนั่งรถไฟ สายโชนันชินจุกุ แทนที่จะตรงไปชิสุโอกะอยากนั่งไปโอมิยะ แล้วไปคาวามะ มันรู้สึกใกล้มากๆ อยากกลับไปนอนบนฟุตงอุ่นๆ อยากไปเจอหน้าคนบางคน !! แต่มันไม่ใช่ทิศทางของเรา ... มุ่งหน้าต่อไป

แปลกอยู่อย่าง... ฤดูกาลนี้มันเหงา หรือความรู้สึกอื่นๆที่มันยิ่งผลักดันให้มันเหงา เราเคยนั่งรถสายนี้เป็นประจำตลอด
3 เดือนเพื่อออกไปเที่ยวในวันหยุดคนเดียว (ซึ่งบางทีก็เรียกร้องในใจว่า ใครก็ได้ออกมาเที่ยวเป็นเพื่อนชั้นทีเหอะ) มารอบนี้ เหงากว่าก่อนเย๊อะ !! วิวไม่ได้เปลี่ยน แต่ความเหงามันเปลี่ยนวิว ??

จะไปฟูจิโนมิยะต้องนั่งไปอาตามิก่อน เพื่อไปต่อรถไฟที่นั่น จำไม่ได้ว่าเราลงสถานีไหนเพื่อต่อรถไฟสายโลคอลไปอาตามิ ทุกครั้งที่จะไปอาตามิ มักจะโดดลงรถไฟเพื่อเปลี่ยนสายแบบไม่ซ้ำกันตรงจุดที่ รถไฟสายโทไคโด (東海道本線) เริ่มผ่านจริงๆก็น่านั่งชินคันเซนไปอาตามิ แต่แบบว่าชอบสายโชนันมากๆ นั่งชิลๆกับเส้นที่คุ้นเคยดีกว่า !! พอถึงอาตามิ นรกก็เกือบจะมาเยือน ...

จาก อาตามิ ดูคร่าวๆมา คิดว่าก็คงไปขึ้นที่ฝั่งที่ไปมิชิม่า ชานชลา 2 (เพราะ 1 ไปฝั่งอิโต้) แต่ขึ้นไปที่ชานชลาสองยืนไล่ดูสถานีดันไม่มีฟูจิโนมิยะ หยิบที่เอกสารการจองห้องพักขึ้นมาเพื่อดูว่าเกสเฮาส์ที่จะไปพักนั้นไปยังไง ในป้ายนั้นดันไม่มีรายละเอียดอะไรเลย ??? ตายและ ไปไงต่อละเนี่ย ?? พยายามตั้งสติและเหลือบไปเห็นว่าในแผนที่กูเกิ้ล map แบบหยาบๆที่ติดมากับใบจองในบุ๊คกิ้งมันวาดเส้น มิโนบุ (身延線) พาดยาวไปถึงสถานี Fujinomiya ไว้ แล้วเหลือบไปที่ป้ายลิสต์สถานีที่ยืนจ้องอยู่ว่าสายมิโนบุนั่นขึ้นจากสถานีฟูจิ ก็นั่งไปสถานีฟูจิที่ชานชลา 2 นี่แหละ
เฮ้ยยยย จากสถานี Fuji (富士) มีเส้นแยก อ๊าก!! รถไฟมากระโดดขึ้นไม่รอช้า ตอนนั้นประมาณบ่ายสามแล้ว (มั้ง) !!
ระหว่างนั่งครึ่งหลับครึ่งตื่น ทั้งที่ไม่ได้ง่วงเท่าไรเลยตอนแรก แค่เจออากาศเย็น(ตอนมาจากไทยนี่จับแขนกุดขาสั้นออกจากบ้านมาเลยเชียว ร้อนตายชัก) แล้วมาเจอไออุ่นๆจากเครื่องทำความร้อนในขบวนรถไฟ เท่านั้นแหละครับ ง่วงเลยครับ แต่เราหลับๆตื่นๆไปได้สักพักเท่านั้นแหละ เห็นวิวนี้แล้วหลับไม่ลงเลย ...ฟูจิซังจ้าาาาาาาาาาาาาา โอ๊ย ตื่นตื่นจ้า ไม่เคยเห็นชัดขนาดนี้มาก่อน สามเดือนที่อยู่ไปไหนก็ไม่เจอ(ชัดแบบนี้)ได้เจอแล้วจ้า แค่ออกจากอาตามิมาแป๊บเดียวเองงงงงงง

จะไปเส้นมิโนบุต้องลงที่สถานีฟูจิก่อน จากนั้นเส้นนี้ก็สุดที่ โคฟุ (甲府駅) จังหวัดยามานาชิเลยจ้า สายนี้เห็นฟูจิตลอดเลย มันวนรอบเลยค่ะ !! ก่อนจะขึ้นสายมิโนบุ ตอนเดินๆอยู่เหลือบไปเห็น ฝรั่งนายหนึ่งยิ้มหวานๆให้ ก็เลยยิ้มกลับไปจนขึ้นรถแล้วแยกกันไป ... ชื่นชมกับฟูจิตลอดทางแถมด้วยวิวหนุ่มมัธยมญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ขึ้นรถไฟมาขบวนเดียวกัน

เราได้เห็นฟูจิในหลากหลายมุม ... โรงงานบัง บ้านบัง โรงเรียนบัง ซุปเปอร์มาร์เก็ตบัง เสาไฟย้วยเยี้ยบัง !! มันใช่อะ อารมณ์มันใช่เลย นี่แหละการใช้ชีวิต มันไม่ใช่ฟูจิซังแบบที่เราวิ่งตามหามาสามเดือนในวิวที่คนมักแห่ไปแต่มันเป็นฟูจิ ในวิวที่คนท้องถิ่นสามารถมองเห็นได้ประจำ

และแล้วหนูเมก็ถึงสถานีฟูจิโนะมิยะ ... 
พร้อมกับหนุ่มฝรั่ง และหนุ่มนักเรียน อิอิ !! 
ว่าแต่เกสเฮาส์ไปทางไหนล่ะคะ...

เดินออกจากขบวนรถไฟได้สักพัก หนุ่มฝรั่งนายนั้นก็ยิ้มให้อีกที ยึกยักยือๆได้สักพัก แล้วเดินมาถามว่า 
"คุณพักที่ไหน ใช่ Tokiwa guest house มั้ย??"
อ้าวตายละ ต้องพูดภาษาอังกฤษหรอ โอ๊ยยไม่ได้ไม่ไหว เราต้องสปี๊คอิงลิชที่ญี่ปุ่น !!

เราก็ "อาโหน่... ไอพักที่ Tokiwa guest houe เด้ล่ะ ยูก็พักเหมือนไอใช่มั้ย ??"
สรุปเรา 2 คนพักที่เดียวกัน ก็เลยเดินไปด้วยกันเลยค่ะ มีเพือนนำทางไปที่พักแล้ว เพราะในใบที่ปริ๊นมาก็ไม่ได้บอกอะไรเลย ในระหว่างที่กำลังดีใจ หนุ่มฝรั่งนายนั้นก็ถามว่า

"เกสเฮาส์อยู่ตรงไหน ยูรู้มั้ย??" อ้าว ตายและไม่รู้ซะงั้น !!!
"อาโน่เนะ...ไอด้อนโนววววว" หันไปยิ้มให้ทีนึง แล้วบอกหนุ่มฝรั่งนั่นว่า
"โอเค ด้อนวอรี่ ไววิวอ๊ากซัมวัน" และซัมวันนายนั้นก็ไม่ใช่ใครเพราะเล็งไว้แล้ว


จากนั้นเราก็วิ่งปรี่ไปหาหนุ่มมัธยมเสื้อคอตั้งคนนั้น แล้วคุยด้วยภาษาญี่ปุ่นถามทาง พ่อหนุ่มน้อยก็ใจดีเปิดจีพีเอสช่วยหาพิกัดให้ด้วยมือถือ ซึ่งหนุ่มไม่ใช่แค่บอกทางพาเดินไปส่งเลย ระหว่างทางก็ขอโทษหนุ่มน้อยเป็นการใหญ่ เดินไปได้นิ๊ดเดียวจากสถานีก็เห็นเกสเฮาส์ที่คิดว่าใช่ แต่หนุ่มน้อยพาเดินเลยไปซะงั้น ... แต่ก็พาวนกลับมาส่งที่ปากทางได้ หลังจากขอโทษและขอบคุณเสร็จก็เดินเข้าเกสเฮาส์ไปพร้อมหนุ่มฝรั่ง ฮีขอบคุณแล้วถามว่า "ตะกี้ ยูสปีคเจแปนนิชหรอ??" "โอ้วเยส ไอสปีคเจแปนนิช"

และแล้วเราก็ถึงที่พัก !!Tokiwa guest houe เป็นเกสเฮาส์ที่บัดดี้แนะนำให้ไปนอน เพราะเพื่อนเธอไปนอนแล้วบอกว่าเห็นฟูจิซังด้วย พอถึงเกสเฮาส์โอนเนอร์ก็ออกมาต้อนรับแล้วพวกก็ทำการเช็คอินกัน ในระหว่างจัดแจงธุระเช็คอิน เราสามคนก็คุยนั่นนี่กันนิดหน่อย เราก็คุยภาษาญี่ปุ่นไป โอนเนอร์ก็คุยภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นผสมกันไป

ซึ่งโอนเนอร์ไดสุเกะซัง เข้าใจไปว่า หนูเมและหนุ่มฝรั่ง(ชาวเยอรมัน นามว่าไมเคิ้ล) เป็นคัปปุระกับเรา (แฟน) ซึ่งไดสุเกะซังพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า
 "ทำไมไม่นอนห้องเดียวกันล่ะ เป็นคัปปุรุกัน" ซึ่งเราก็งงสิคะ รีบบอกไดสุกะซังว่า 
"คือพึ่งเจอกันค่ะ !!" 

พร้อมกับหันหน้าไปหาไมเคิ้ล เขาทำหน้ายิ้มเหมือนแบบสองคนนี้มันคุยไรกันเนี่ย แต่พอถามว่า รู้มั้ยว่าคุยอะไรอยู่ เขาดันพอเข้าใจค่า เขาบอกว่าได้ยินคำว่า "Couple" ++" แล้วไดสุเกะซังก็ชวนเข้าร่วมทริปดูฟูจิซังตอนพระอาทิตย์ขึ้น เราสองคนก็ตกลงไปดู

แล้วเราก็คุยกันว่าใครจะไปไหนบ้าง โดยที่เราก็คอยเป็นล่ามให้โอนเนอร์นิดหน่อย แกบอกว่าเจอเพื่อนใหม่ก็ไปเที่ยวด้วยกันก็ได้ !! ซึ่งก็ยิ้มกรุ่มกริ่มกันทั้งคู่ พอพ่อหนุ่มไมเคิ่ลไล่สถานที่ที่ตัวเองจะไปออกมา ...

อะไรนะ ไร่ชาเขียว ดูชงชา โรงงานชาเขียว บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โอเค แยกกันดีกว่า ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เราจะไปทะเลล่ะ ไปดูทำไมชาเขียว ฮ่า ...ก่อนจะแยกกันขึ้นห้อง ก็สอนฝรั่งนับเลข และบอกเวลาเป็นภาษาญี่ปุ่น เรานัดกันตี 5.45 ฮีก็ท่อง "โยจิ โยงจูโกะฮุ่น" จนได้เวลาแยกย้าย ก็ล่ำลา "ซียูทูมอโร่เนะ"

แล้วเราก็จะไปกินข้าว (มีอิออนอยู่ใกล้ๆ) และจะไปโทรศัพท์รายงานบัดดี้ว่าถึงฟูจิโนมิยะแล้ว !! ตอนเดินออกจากซอย หนุ่มฝรั่งยืนสูบบุหรี่อยู่ก็ตะโกนเรียกแล้วก็พูดไรไม่รู้ไม่ได้ยิน เลยตะโกนกลับไปว่า "ซียูทูมอโร้วววววววววว" คือ เราก็ได้เท่านี้แหละค่ะภาษาอังกฤษ ... จบหนึ่งวัน ที่ไม่ยาวนานเท่าไร


ความทรงจำเมื่อวันที่ 20/11/2556 
ฤดูใบไม้ร่วง ณ ชิสุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น หนาว มึน ง่วง
by Mei

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images