ก็คิดอยู่ว่ามันเหนื่อยยากแต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะยากขนาดนี้ มีขึ้นก็ต้องมีลง ณ Rinjani

บนแคมป์นั้นลมแรงมาก เวลาจะไปเข้าห้องน้ำเต้นท์ไปคนเดียวไม่ได้ต้องให้ใหม่ไปช่วยจับเตนท์ เพราะเตนท์มันไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ระหว่างที่นอน...

บนแคมป์นั้นลมแรงมาก เวลาจะไปเข้าห้องน้ำเต้นท์ไปคนเดียวไม่ได้ต้องให้ใหม่ไปช่วยจับเตนท์ เพราะเตนท์มันไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ระหว่างที่นอนอยู่ได้ยินเสียงลมตลอด เสียงลมตีลงมาที่เต้นท์ จนบางทีก็ฝันไปว่า เต้นท์เราโดนลมพัดจนเขยิบไปอยู่ที่ริมหน้าผาแล้ว แต่จริงๆตื่นมาพวกเราก็ยังอยู่ที่เดิมน่ะแหละ แค่ลมมันพัดแรงมากก็เท่านั้น (สงสัยกลัวจัดก็เลยนอนฝันไปไกลเลย)

ก่อนที่เรา 
คนจะเข้าไปกินอาหารเช้าพวกเราออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วมองไปที่ยอดรินจานี เห็นมนุษย์ตัวเล็กๆเดินเรียงตัวกันเป็นแถว จากในหลายเว็บที่อ่านมาก่อนมาที่นี่ คำล่ำลือที่ว่า ยอดเขารินจานีนั้น ปีนขึ้นยากมากก หนาว ลมแรงและหินกรวดภูเขาไฟที่เหยียบลงไปเท่าไรก็จะผลักเราให้ไถลลงมาเท่านั้น ทำให้การไปถึงยอดนั้นยากเย็นมาก!! อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้ขึ้นไป แต่เราก็คิดว่าวันนั้นก็มีคนที่ตั้งใจจะขึ้นยอดแต่ไม่ถึงยอดก็คงเยอะ เราเห็นพ่อหนุ่มเข่ายาวเดินลงมาจากข้างบนด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจนัก แล้วก็สาวฝรั่งที่นั่งอ่านหนังสือเมื่อวานที่เราถ่ายรูปไว้ก็ไม่ได้ขึ้นไปถึงยอด เธอบอกกับไกด์เทียนว่าไปไม่ถึง ลมแรงมาก”… เราก็พลอยรู้สึกเสียดายไปด้วย
เมื่อคืนนี้พวกเราไม่เห็นดาวสักดวงเลย ทั้งๆที่ตั้งใจจะมาดูทางช้างเผือก แต่พระจันทร์ดันสองแสดงอยู่กลางหัวเลย คืนนั้นจึงเป็นคืนที่สว่างมาก นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายมากๆสำหรับเรา

และก็ไม่รู้ว่าไกด์ได้บอกเราก่อนหน้าหรือไม่ เนื่องด้วยความโง่เขลาภาษาอังกฤษของเรา ที่ไกด์แซะแล้วแซะอีกว่าทำไมไม่เรียนภาษาอังกฤษ เออแปลกดีไกด์ว่าเราไม่เก่งภาษาอังกฤษแต่พูดไรมาเราก็เข้าใจหมดอะนะ  ไกด์บอกว่าวันนี้เราจะไม่ได้นอนที่ทะเลสาบเพราะว่าที่ทะเลสาบชาวบาหลีมาทำพิธีทางศาสนาที่นั่นกัน แล้วอีกอย่างถ้าเราอยากไปเที่ยวน้ำตกหลังจากกลับจากรินจานี ถ้าเรานอนที่ทะเลสาบจะทำให้เราไม่สามารถไปน้ำตกได้ทันเวลา

กลายเป็นว่า วันนี้เราจะลงไปที่ทะเลสาบที่ความสูงจาก 2680m ไปที่ทะเลสาบ2000mและขึ้นไปที่ 2630m ไปพักบนแคมป์ที่ฝั่ง Senaru แทน เพื่อที่ตื่นมาก็ลงเขาไปเที่ยวน้ำตกเลย แทนที่จะตื่นมาที่ทะเลสาบแล้วขึ้น แล้วลงอีกรอบ ดูจากสภาพพวกเราแล้วไกด์บอกว่าคงจะไม่ถึงเป้าหมายที่น้ำตกแน่ๆ พวกเราก็เออออตามนั้นแหละ 
ดูจากความสูงแรกที่เราตัองไต่ลงไป 2680m ถึง 2000m ดูเหมือนเป็นระยะทางที่ใกล้ เราก็คิดไว้แบบนั้นแหละ ไกด์พาเราลงไปก่อนกลุ่มอื่นๆเลย ในขณะที่คนอื่นพึ่งเริ่มกินข้าว เราก็ลงกันไปแล้ว แต่พอไปถึงจุดที่ต้องเริ่มไต่ลงไปเราก็ต้องตกใจ เพราะทางที่เราต้องลงไปมันชันมาก เป็นหน้าผาหินเสียส่วนมาก ไม่ใช่ว่าเราต้องห้อยตัวลงไปอะไรแบบนี้นะ ตัวหินนั้นมันก็มีทางลงไปของมันเรื่อยๆ เราก็ไหลตามมันไป มีเลี้ยวซ้ายมีเลี้ยวขวา แต่ก็มีจุดที่อันตรายสุดๆชนิดที่ถ้าพลาดหน้าทิ่มก็ตรงลงเหวเลย ตรงบริเวณนั้นส่วนใหญ่ไกด์จะมายืนรอไว้

แต่เราก็ดูแลตัวเองมากๆ อันไหนนั่งได้เรานั่งเลย พอมองเห็นว่าถ้ามีโอกาสพลาดแล้วถไลลงไปเราจะนั่งไต่ลงไปจะดีกว่า ไกด์ก็บอกว่าแบบนี้ดีมากๆ คือตัวเราก็ไม่แกร่งเหมือนฝรั่งอะนะ จุดนี้เราเห็นพ่อหนุ่มแซคกับพ่อหนุ่มเสื้อเขียวหัวเกรียน นี่ไม่ใช่แค่เดินคือพวกหนุ่มๆแทบจะกระโดดเวลาเดิน ไม่รู้ไปเอาพลังการทรงตัวมาจากไหน พวกสาวๆที่มาด้วยก็ระวังๆตัวกันมากกว่าอีก
หลังจากไต่หินมาแล้ว ก็เริ่มเป็นทางเนินธรรมดาเดินลัดเลาะริมเขาไปเรื่อย
ใครมาปีนรินจานีแล้วสามารถพกกล้องใหญ่พร้อมเลนส์มาด้วยได้ นี่ต้องนับถือใจ รูปที่ถ่ายที่รินจานีโดยส่วนใหญ่แล้วใช้แต่ไอพอตถ่าย กล้องนิกกอนกันน้ำของเราก็แทบไม่ได้หยิบมาใช้ส่วนใหญ่ห้อยคอไว้เฉยๆ กล้องโอลิมปัสของใหม่ไม่ต้องพูดถึง เธอไม่ได้หยิบมาถ่ายเลย ส่วนใหญ่เราจะถ่ายกันด้วย IPOD touch กัน ด้วยความที่ถ้าเราช้าเราก็เกรงใจไกด์ จึงทำให้เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอะไรสักเท่าไร

เราได้เห็นบางวิว ที่เราไม่รู้เลยว่าที่รินจานีมีแบบนี้ ก็แค่วิวภูเขา จริงๆแล้วมันก็ธรรมดา แต่ตามรีวิวที่อ่านมาก็ไม่เห็นจะมี นั่นมันยิ่งทำให้เรารู้สึกดีมาก ที่เราได้มาที่นี่ ก็เพราะว่า การได้มาเห็นของจริง มันดีกว่านั่งดูในรูปเป็นไหนๆ ถึงจะต้องยากลำบากก็เหอะนะ

วันนี้ใหม่สบายบรื๋อมาก จนไกด์ยังตกใจว่าเธอนั้นไปเอาแรงมาจากไหน วันนี้เราปล่อยให้ใหม่เป็นนางเอกโดยการให้เดินนำหน้า เพราะกลัวไกด์จะเป็นห่วงอีก แต่จริงๆที่ใหม่ไปไวก็คงเพราะอากาศไม่ได้ร้อนแบบเมื่อวาน แล้วการเดินไต่เข่าใช้แขนมากกว่าขาเนี่ย เป็นงานถนัดของใหม่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ระหว่างทางเดินก็โดนนำไปบ้าง แต่ก็มีบ้างที่เรานำฝรั่งบางกลุ่ม แต่ที่เจ็บใจสุดก็คงเป็นตอนที่โดนกลุ่มพ่อหนุ่มสเปนนำ เพราะไม่รู้ว่าพวกเขามากันตั้งแต่เมื่อไร โผล่มาอีกทีก็เดินมาอยู่ข้างหลังเราเสียแล้ว แถมยังเดินพูดคุยกันปกติมากๆ เราก็เหนื่อยพอตัวนิดนึงเพราะร้อน แถมใส่กางเกงขายาว แค่จะพูดกับตัวเองยังเหนื่อย แถมต้องมาเก๊กให้เขาเห็นว่าสาวเอเชียอย่างเรานั้นถึกมาก โดยการปีนหินที่ข้างๆมีเหวแต่มีรั้วเก่าๆกั้นไว้ด้วยมือเดียว พอขึ้นครบสเต๊บเท่านั้นแหละ ต้องยอมแพ้ปล่อยให้เขานำหน้าเราไป

อยากมาอีกทีแบบขอเห็นวิวเขียวชอุ่มนะ 
ชอบวิวภูเขา ชอบเห็นอะไรกว้างๆ ถ่ายยังไงก็ถ่ายได้ไม่หมดตามสิ่งที่เห็น
อ๊ะ นั่นใช่ที่เราพึ่งปีนลงมาหรือเปล่านะ ??
เอ๊ะ นั่นควันอะไร ควันป่าอีกแล้วสินะ
ใกล้ถึงทะเลสาบแล้ว พวกเราก็เดินอย่างขมักขเม้น เราว่าเราชอบเส้นนี้ที่สุด เพราะได้ดื่มด่ำกับมันมากกว่าวันแรก วิวด้านข้างเป็นภูเขามีธารน้ำไหลมองเห็นไกลลิบลับ นึกถึงคำพูดจากเพลง เล่าสู่กันฟังของพี่เบิร์ด ธงชัย ไม่ใช่ท่อนที่ร้องว่า ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้แต่เป็น ฉันยังจำคำนี้ ที่เธอเคยบอกกับฉัน นึกแล้วยังตื้นตันเกินอธิบาย” ตลอดระยะทางที่ผ่านเส้นทางเรียบภูเขาเพื่อจะเดินลงไปยังทะเลสาบนั้น มันเงียบจนคิดถึงเรื่องตัวเองได้มากมาย ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องชีวิตต่อจากนี้ สาระพัดสาระเพที่มันผ่านเข้ามาในหัว แม้กระทั่งเพลงเก่าที่เคยลืมเนื้อร้องไปแล้ว ก็สามารถนึกขึ้นมาได้
แม่จะรู้หรือยังนะว่าเรามีลำบากอยู่ที่นี่ แม่จะรู้มั้ยนะว่าพวกเราโกหกอีกแล้ว ก่อนมาเราบอกแม่ไว้ว่า เราจะเที่ยวอีกแค่ 2 ปี แล้วจะมีช่วงที่เราต้องไปนานกว่า 3 เดือนด้วย แม่กังวลใจเป็นอย่างมาก แต่พ่อทำใจไว้แล้ว พ่อบอกว่า ก็พวกเราเป็นนักผจญภัย แม่มักจะบอกว่าไม่รู้พวกเราเอานิสัยชอบไปไหนมาไหน ชอบผจญภัยมาจากไหน เพราะที่บ้านก็ไม่มีใครชอบอะไรแบบนี้ เราคิดว่านี่มันไม่ถูกต้อง พ่อแม่ไม่รู้หรอกว่าตัวเขาทั้ง 2 คน เป็นตัวอย่างให้เราขนาดไหน

เรามักจะจินตนาการถึงพ่อเราตอนสมัยเด็กช่วง ป.5 เสมอๆ สมัยก่อนพ่อแม่จะเล่าให้ฟังถึงชีวิตในวัยเด็กของพ่อแม่ที่ต้องจากบ้านนอกมาทำงานในกรุงเทพตั้งแต่ยังเด็ก ในส่วนของพ่อนั้น พ่อถูกป้าชวนขึ้นมาจากนาทิ้งวัว ทิ้งควายเก็บเสื้อผ้าเข้ากรุงเทพแบบแทบจะไม่ได้ล่ำลาใครเลย จากโคราชมาอยู่กรุงเทพ เราไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงตัดสินใจถึงบ้านมาเด็กขนาดนั้น พ่อรู้หรอว่ากรุงเทพเป็นยังไง ?

ในส่วนของแม่ก็เหมือนกัน แม่ก็จากปราจีน บ้านยายมาตอน ป.4 แม่รู้มั้ยว่ากรุงเทพเป็นยังไง ? เราคิดว่าเรื่องของพ่อแม่ที่เล่าให้เราฟังนั่นแหละ ที่ทำให้พวกเราเป็นคนแบบนี้ ก็ไม่รู้จะเป็นห่วงอะไรกันนักหนา
เราเดินไปที่บ่อน้ำพุร้อนทันทีหลังจากลงมาถึงทะเลสาบ ปล่อยให้ลูกหาบหาที่และทำอาหารรอไว้ อากาศเริ่มร้อนแล้วแบบมากๆ แต่ก็มีลมหนาวๆตลอด ตรงส่วนทะเลสาบนั้น คนเยอะมาก อย่างที่กล่าวไว้ว่า วันนี้ชาวบาหลีมาทำพิธีกรรมของเขา จากจุดกางเตนท์เดินไปไม่ไกลเท่าไร ก็ถึงบ่อน้ำพุร้อน ไกด์ให้พวกเราลงน้ำกันให้สบายใจ แต่พวกเราก็เขิลๆ เจอน้องแซค และพ่อหนุ่มสเปนเล่นน้ำอยู่ ไม่เจอพ่อหนุ่มเข่ายาวแล้วจนจบทริป ทางนี้น่าจะกลับลงเขาทางเดิม
ถ่ายติดน้องแซคมาด้วย 
รู้สึกเขิลๆเพราะพวกเราเป็นสาวเอเชียกลุ่มเดียวในที่นี้ และยังเขิลๆอายๆกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าเอามากๆ พวกเราไปเปลี่ยนกันที่โขดหินข้างหลังที่พบร่องรอยอารยธรรมของมนุษย์เต็มไปหมด บางทีก็คิดว่า จะอายไปทำไมก็ทำแบบที่ฝรั่งทำ แต่ก็แบบรู้สึกอายพุงตัวเอง ได้แช่นำพุร้อน รู้สึกดีมาก ปล่อยให้น้ำพุร้อนได้ช่วยคลายความเมื่อยล้าของเมื่อวานแล้วก็วันนี้ ถึงแม้ข้างบนจะอากาศเย็นเพราะลม แต่ความจริงรู้สึกอยากอาบน้ำตกเย็นๆมากกว่านะ 

พวกเราขึ้นจากน้ำพร้อมกับหนุ่มแซค ถึงได้เห็นว่าพ่อหนุ่มนั้นมีแผลฉีกที่นิ้วก้อย ไม่รู้ไปโดนอะไรมา ทีแรกจะถามแต่ก็ไม่กล้าถาม พ่อหนุ่มก็เดินกระเผกตลอดทาง อาจจะเพราะบ้าพลังมากเกินไปจนเล็บฉีกหรือเปล่านะ ระหว่างทางกลับไปเต้นท์มีฝรั่งสาวมานั่งขวางทางไว้ ดูท่าจะเหนื่อยมากทำให้จารจรติดขัดไปช่วงนึงเลย.... กินอาหารกลางวันเสร็จพวกเราก็ไปต่ออย่างเร็ว ทางที่เราจะไปจากนี้ ไกด์เทียนบอกว่า อันตรายเป็นหน้าผาเสียส่วนมาก คือก็คิดเลย นี่เราลงแล้วขึ้นต่อมันจะไหวมั้ยเนี่ย !!



ระหว่างทางเดินไปเส้นที่ต้องขึ้นเขา เราเดินเรียบริมทะเลสาบ ใหม่บอกว่า ใหม่ไปมาหลายที่นะที่เป็นทะเลสาบในภูเขา แต่ที่นี้สวยสุด จริงๆเราคิดว่าแบบนั้นนะ ตอนนี้วิวนี้สวยที่สุด สวยจนไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ว่ามันสวยขนาดไหน ควันไฟที่เราเห็นก่อนเดินเข้ามาที่ทะเลสาบก็ปกคลุมยอดเขารินจานี และบารุน้อย จนนึกว่านั่นเป็นยอดเขาที่มีหิมะปกคลุม เป็นวิวที่แตกต่างจากที่เราเห็นในอินเตอร์เน็ตเสียอีก

แต่โชคร้ายของหนูใหม่ ระหว่างที่เดินอยู่บนทางเรียบแท้ๆ ก็ล้มขาพลิกไปเสียซะงั้น นำความเจ็บปวดมาให้ตัวเองและเราเป็นอย่างมาก ไกด์ก็เดินนำไปไกลแล้ว จนต้องไปเรียกมาดู หนทางจากนี้โหดมากนะ แล้วดันมาขาพลิก โอวววน่าสงสารมาก
พักรอให้ใหม่หายเจ็บ วิวด้านหน้าสวยมาก เธอเจ็บร้องโอยไป แต่ไม่วายสั่งให้ถ่ายรูปด้วย
ทางขึ้นไปที่ 2630m นี้ ก็ต่างจากวันแรก ไม่ใช่การเดินเรื่อยๆแล้วไต่เนินเขา แต่ทางนี้จะเน้นการเดินไต่หินและรากไม้ ซึ่งจะเป็นหินก้อนใหญ่กว่าตอนลงมาแถมยังสูง จึงทำให้เวลาขึ้นต้องยกขาสูงมากๆ ทางก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร เนื่องจากทางไหนก็เป็นสีดำไปหมด เป็นร่องรอยของไฟป่า ไกด์ให้รีบเดินอย่างมาก เพราะว่ากลัวต้นไม้จะล้มใส่ พวกเราจึงต้องเร่งสปีดกันสุดๆ พอเดินขึ้นเขามาแล้ว พวกเราก็มองไม่เห็นวิวอะไรข้างหลังอีกเลย เนื่องจากบริเวณนี้เป็นต้นสนสูง
สู้ๆครับ เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว
มีปลายทางหนึ่งที่เราเห็นอยู่รำไรมากๆ เรารู้สึกว่าใช่แล้วล่ะ ตรงนี้แน่ๆเลย แต่มันขึ้นยากมากเลยนะ มันชันสุดๆ ตรงนี้ถ้าไม่มีไกด์นำก็อาจหลงได้เหมือนกัน เพราะเราก็เดินนำไปผิดทางเพราะเราไม่เห็นทางขึ้น แต่ที่ไหนได้จริงๆเราต้องปีนขึ้นแบบสุดตัวเลย ทำให้นึกถึงภาพคนที่ขึ้นเขาจากฝั่งนี้ ถ้ามาถึงจุดนี้จะไต่ลงเขายังไง แต่เราก็คิดว่า ไม่เป็นไรยอมทุ่มสุดตัวใกล้ถึงความจริงแล้ว เราจะได้พักแล้ว (ปีนยากถึงขนาดไกด์ต้องดันขึ้น)
ตรงซอกหินใหญ่ๆนี่แหละที่ไต่ขึ้นมา
ปรากฏว่า เสียใจด้วยค่ะ เราต้องไปต่อ
ยังเห็นวิวได้ไม่เต็มตาเลย ต้นไม้ยังบังอยู่
พักก่อน
สุดท้ายพอขึ้นมาได้ เราก็ยังต้องไปต่อ !! เรามาเจอสาวเวียดนามตรงจุดพัก และพักอยู่ด้วยกันสักครู่ นี่ถือว่ากลายเป็นเพื่อนร่วมทริปไปแล้วเนี่ย ทางนี้เราก็ต้องไต่สูงขึ้นไปอีกเหมือนเดิม แต่รู้สึกไม่เมื่อยล้าแล้ว อาจจะเพราะว่าเริ่มติดไฟ ใหม่เองก็เริ่มปกติแล้ว ความเร็วกำลังดี (แต่จริงๆเราเหนื่อยมาก มันหอบตลอดเวลา แต่ใช้การหายใจแบบช้าๆช่วยก็เลยไปได้ดี)
 ที่หันหลังอยู่นี่ หนูใหม่กำลังน้ำตาซึมแน่ๆ
เหมือนมีหิมะปกคลุมยอดรินจานีเลย นี่แหละ รินจานีในความทรงจำของพวกเรา
การเดินทางของเราก็ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ความสวยและความยากของรันจานีนั้นเลืองชื่อนัก เราต้องไปต่อ หนทางจากนี้ก็ยังต้องไต่ ต้องปีนเหมือนเดิม แต่ก็จะเพลาลงเป็นการเดินเลียบเขาแทน (ทางข้างๆเป็นเหว) วิวข้างทางก็สวยมากๆ เพราะได้เห็นยอดรินจานีตลอดทาง แต่น่าเสียดายพวกเราแทบไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปเลย เพราะพวกเราต้องเร่งฝีเท้ากันสุดๆ เนื่องจากลมแรงมาก และไกด์เทียนกลัวหินตกลงมา เราคิดว่าไกด์หลอกเรา แต่พอพิจารณาจากราวกันตกที่มีบ้างประปรายแล้ว ส่วนใหญ่สภาพใช้การได้ไม่ดีเลย พังเสียหายหมด คิดว่าน่าจะมีส่วนจากเศษหินตกลงมา


ทางเดินแคบมาก เดินได้คนเดียว ถ้าล้มก็ตกลงเหวไปเลยมีจุดนึงที่น่ากลัวมากๆ ก่อนเราจะมีพี่เจ้าของร้านอุปกรณ์ปีนเขาก็เตือนๆไว้ว่า รินจานีอันตรายให้ระวังนะ เพื่อนเขาพึ่งตาย ตกเหวตาย ตอนเราออกจากร้านมาเราจิตตกกันมากๆ เรารู้ว่าพี่เขาพูดเตือนเอาไว้ให้ระวัง  ระหว่างทางก็เห็นคำไว้อาลัยที่นักปีนเขาเขียนให้เพื่อนตลอดทาง

แต่พอมาถึงจุดนั้น จุดที่เราเดินเลียบเหวแบบความกว้างแค่คนเดียวเดิน แต่ต้องหันหลังให้เหวแล้วปีนขึ้นไปแล้วไกด์พูดขึ้นมาว่า จุดนี้ คุณรู้มั้ยมีผู้ชายไทยตาย หงายตกลงไปใจเรานั้นหล่นไปที่ตาตุ่ม ขาสั่นเลย พอหันหลังมองไปก็ยิ่งกลัว ทำให้ต้องยิ่งระวังตัวหนักกว่าเดิมมาก !! โอยยยยย หนูกลัวแล้วแม่จ๋า (อยากถ่ายรูปไว้ แต่ไม่กล้าถ่ายเยอะ ต้องระวังหิน)


แล้วเราก็ขึ้นมาถึงจุดตั้งเตนท์ที่ความสูง 2630m เกือบเทียบเท่ากับเมื่อวานนี้ พร้อมกับ “last view” วิวที่เราอยากเห็นมากที่สุดจนต้องลำบากลำบนมาดูขนาดนี้ ถ้าใครมาจากฝั่ง Senarun (ฝั่งที่เราพึ่งมาถึง) ตรงนี้จะเรียกว่า “First view” ที่คุณจะได้เห็นรินจานี แต่เราถือเป็นวิวสุดท้ายแล้ว จากนี้เราต้องหันหลังให้รินจานีแล้ว ขึ้นมาพร้อมกับสาวเวียดนาม

กลุ่มพ่อหนุ่มสเปนนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า “Last view” พ่อมาถึงกันตั้งแต่กี่โมงคะเนี่ย ?? สองสาวฝรั่งที่มากับลูกหาบก็ตั้งเต้นท์นอนรอแล้ว พวกเราได้แป๊บซี่เป็นรางวัล ฮ่าๆ ตอนนั้นอยากกินน้ำแป๊บซี่ที่สุดแล้ว พวกเราก็ถ่ายรูปและดื่มด่ำกับ “last view” ของพวกเรากันสักพัก

แต่รู้มั้ย เราต้องไปต่อ ไกด์บอกว่า ข้างบนนี้ลมแรงมาก นอนไม่ได้หรอกจะพาพวกเราลงไปนอนในป่า (สาวเวียดนามก็ไปนอนในป่า) น่าจะลงไปที่ความสูง 1000m กว่าๆ !! โอ๊ยยยยยยยย มันสาหัสนะ
พวกเรามาถึง “last view” ประมาณ โมงเย็นโดยประมาณ พวกเรามีเวลาน้อยมากสำหรับลงไปที่พัก ทำให้ต้องเร่งฝีก้าวสุดๆ ช่วงแรกก็ยังค่อยๆไต่ดีๆอยู่เพราะเป็นการไต่ลงเขา แต่พอเริ่มเข้าทางเรียบที่ลงไปเรื่อยๆต้องเร่งฝีเท้า เป็นการเร่งฝีเท้าที่ทรมานกว่าตอนหนีหินตกมากๆ เพราะการเร่งเท้าตอนเดินลงมันทำให้พวกเราบังคับตัวเองไม่ได้ พร้อมกับลมแรงมากๆ จึงทำให้โซซัดโซเซสุดๆ แต่ไกด์ก็ยังหยุดให้ดู อากุง ภูเขาไฟอีกลูกที่สูงพอๆกับรินจานี ที่อยู่ที่เกาะบาหลี
พอหมดทางที่เป็นหิน ก็เป็นดินทราย มาคิดๆก็ยังขำตัวเอง พื้นดินทำให้ฝุ่นฟุ้งมาก แล้วดินทรายก็หนามาก มีบ้างครั้งที่ต้องไต่ลงแล้วเราก็ลื่นไถลแบบทั้งตัวเลย พวกเราอยากเดินช้าๆ แต่ไกด์ไปไกลแล้ว แต่ถึงจะอยากเดินช้าๆ พวกเราก็ไม่สามารถหยุดได้เลย ไม่ใช่ว่ากลัวตามไกด์ไม่ทัน แต่มันหยุดไม่ได้ เราไม่สามารถหยุดขาตัวเองได้ ต่อให้จิกนิ้วเท้าเดินลงเพราะกลัวไถลตลอดทางจนเจ็บนิ้วเท้า พวกเราก็หยุดไม่ได้ เหมือนกับร่างกันมันไม่ฟังสมองแล้ว ตรงนี้เราไม่ซีเรียสนะ เราขำมากว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
แล้วคืนนี้เราก็นอนคุยกันในเตนท์กันอีก 1 คืน รู้สึกอยากอาบน้ำมากๆ สภาพเลอะเทอะสุดๆ ลมแรงมากด้วยนะขนาดอยู่ด้านล่างแล้ว ตื่นเข้ามาระหว่างเดินลงเขา ไกด์บอกว่าข้างบนเขาไม่ได้นอนกันเลย ลมแรงมากๆ รู้สึกโชคดีมากที่พวกเราลงมาข้างล่าง … 

จากการที่เรานอนกันเต็มอิ่มหรือเปล่าก็ไม่รู้ นอนกันตั้งแต่ 2 ทุ่ม วันนี้ทั้งเราและใหม่ฟิตจัดมาก  ช่วงแรกก็ยังไม่ฟิต ใส่กางเกงวอร์มเดินลงเขาเพราะอากาศหนาวอยู่ พอเริ่มร้อนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเสื้อกล้าม (เปลี่ยนในดงไม้แถวๆนั้นแหละ ตัวเบาหวิวเลย)

ทางเดินขากลับวันนี้ เป็นป่า มีต้นไม้ปกคลุมตลอดทาง  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเส้นลงวันนี้ คงป็นรากไม้ เพราะถ้าเดินไม่ดีก็สะดุดได้เลย แต่โดยรวมแล้วทางเดินถือว่าไม่ลำบากเลย หลังจากที่เราเรียนรู้การปีนเขาแบบภาคปฎิบัติที่ต้องขึ้นและลงและขึ้น มา 2 วันเต็มๆ ทำให้เราเรียนรู้ว่า เราควรวิ่งแบบไม่ยั้งเลย ห้ามยั้งข้อเท้า ห้ามใช้เท้าจิกพื้นเด็ดขาด ให้วิ่งชูวับชูแวบไปเลย มองให้ไกลว่าตรงไหนควรวิ่ง ตรงไหนควรหลบ เราสองคนทำให้ไกด์ตกใจมากๆ ทีแรกไกด์คิดว่าคงจะไม่ได้พาไปน้ำตกแน่ๆถ้าไม่ออกแต่เช้า ก็เลยพาเราออกก่อนกลุ่มอื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า

เราเริ่มนำกลุ่มคนเวียดนามไป นำกลุ่มสองสาวฝรั่งที่มากับลูกหาบที่ตอนแรกก็นำพวกเรา แต่สุดท้ายพวกเราก็ทัน วิ่งอย่างเมามันก็หันไปเจอพ่อหนุ่มเสื้อเขียวที่ไม่ยอมยิ้ม (ยิ้มให้ตลอดทางที่เจอ แต่น้องไม่ยิ้มตอบเลย) ตามมาติดๆ แต่เราก็ต้องปล่อยให้เขานำ (แพ้แรงเด็ก) แต่แป๊บเดียวก็มาเจอกันเพราะเขาหยุดพัก
 
ในขณะที่กำลังมันส์อย่างมาก มันส์จริงๆ ก็ต้องหยุดกึก เพราะต้องกินข้าวกลางวันกันทั้งๆที่ยังไม่เที่ยงเลย ไกด์บอกว่ามันใกล้จะถึงทางออกแล้วให้กินข้าวก่อน อารมณ์พวกเราค้างมากๆ อยากไปต่อกำลังสนุก ไม่หิวเลย กินข้าวไม่หมดไกด์ก็บังคับให้กิน ก็เข้าใจว่ามันไม่ควร (สงสารลูกหาบเลยต้องกินหมดเลย) 

ระหว่างที่กินข้าวกันก็มีเรื่องน่าขำเกิดขึ้น ตรงที่เรากำลังนั่งกินอยู่แล้วหันหน้าไปทางเดิน ซึ่งพ่อหนุ่มเสื้อเขียวที่ไม่ยอมยิ้มของเรา เดินผ่านมาพอดีหันมาเจอเราที่กินข้าวอยู่ จู่ๆพ่อหนุ่มที่หน้าบึ้งๆก็ยิ้มหยีให้เราซะงั้น ไกด์เทียนก็แซวหนักว่า ฉันคิดว่าเขาชอบยูนะ สนใจมั้ย เนี่ยอยู่น่าจะได้แฟนเลยนะ เดี๋ยวไอไปติดต่อให้คือเราก็แบบเขิลมาก แบบไม่ต้องค่า พอดีไอไม่ชอบเด็ก ไม่เป็นๆไรๆ แต่พอเราต้องเดินไปต่อแล้วไปผ่านจุดที่พ่อหนุ่มนักพัก ไกด์ก็เดินเข้าไปพูดอะไรไม่รู้ เรานี่ต้องรีบเดินไปเลย พ่อหนุ่มหน้าบึ้งของเราก็ยิ้มให้เราเสียที อุตสาห์ยิ้มให้ตั้ง 2 วัน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นสินะ !!
แล้วเราก็มาถึงทางออก แบบงงๆ เพราะยังมันส์อยู่ อารมณ์ค้างมาก ไกด์ชมใหญ่ว่าพวกเราทำได้ดีมากๆ ก็เลยได้ไปน้ำตกกันนี่แหละ ถ้าช้าก็อด นี่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะมีแรงไปน้ำตกต่อแต่อารมณ์ตอนนี้ไม่ต้องการอะไรเท่าน้ำเย็นๆอีกแล้ว โคตรคิดถึงบึงเวคบอร์ด พอคิดถึงก็โคตรอยากโดดลงน้ำเลย
เรากำลังจะไปที่น้ำตก Sindang gile กัน ตอนแรกเราต้องเดินไปนิดหน่อยเข้าไปในหมู่บ้าน ก่อนที่จะนั่งรถต่อออกไป ระหว่างทางก็มีนักปีนเขาเดินสวนกันมา ทักทายกันตามธรรมเนียม ได้แต่บอกเขาว่า มันกู๊ด มันกู๊ด ตอนขึ้นรถต่อไปน้ำตก พวกเราขึ้นไปพร้อมลูกหาบของใครก็ไม่รู้ เขาไปน้ำตกกับพวกเราตลอดทริป มีคนนึงพูดภาษาอังกฤษกับพวกเรา เก่งมากๆ แต่เราฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อพวกเขารู้ว่าพวกเรามาจากประเทศไทยเขาก็บอกกันใหญ่ว่าเขาชอบ องบ๊อก องบ๊อก เราก็ไม่เข้าใจ แล้วเขาก็ถามว่าพวกเราเรียนภาษาอังกฤษจากไหนกัน คือถามแบบนี้ก็อายนะ พวกเราเรียนจากโรงเรียน แต่เราพูดกันไม่ได้แบบเขาเลย จริงๆแล้ว  องบ๊อก องบ๊อก ก็คือภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก เรามาเข้าใจก็อีกวันนึงมาแล้วตอนไปเที่ยวทะเลแล้วพนักงานเสิรฟ์มาคุยด้วย ที่เราเข้าใจไม่ใช่ตรงคำพูดหรอก แต่เขาทำท่า ช้างกูอยู่ไหนให้ดูต่างหากถึงเข้าใจ ลืมไปว่าที่อินโดภาพยนตร์เรื่องนี้ดังมาก ฮ่าๆ

 

 น้ำตก Sindang gile คนเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ ไม่มีนักท่องเที่ยวสักเท่าไร น้ำเย็นมาก ทุกคนเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานเลย ไปยืนกันตรงกลางน้ำตกให้น้ำมันหล่นมาใส่ 
พวกเราจากลากับไกด์เทียบและกลุ่มลูกหาบอย่างเศร้าใจ เพราะเราไม่มีทริปให้ลูกหาบเลย พวกเราเอาเงินส่วนนั้นจ่ายค่าเอ๊กตร้าแบกของแล้ว ด้วยคามรู้สึกผิด ทำให้เราไม่กล้ามองหน้าพวกเขาเลย ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปอีกแล้วขอเป็นลุกหาบ 2 คนนี้

พวกเราจบทริปปีนเขาด้วยการจากลาทุกคนหน้าน้ำตก และขึ้นรถของเอเจนซีกลับไปที่พักที่จองไว้ พวกเราหลับกันเกือบตลอดเวลาเนื่องจากง่วงมาก แต่ก็ตื่นมาถ่ายรูปวิวสองข้างทางตลอด เพราะวิวข้างทางเป็นทะเลสีสวยมากๆ พรุ่งนี้พวกเราจะได้ไปดำน้ำที่เกาะกิลิ กัน เป็นการดำน้ำตื้น (อยากดำน้ำลึกมากๆ) ไปถึงที่พักกันอยากสะบักสะบอมเสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยน ขึ้นมาจากน้ำตกก็ขึ้นรถมาทั้งๆแบบนั้นเลย 
เป็นการท่องเที่ยวที่เหนื่อยมาก จนถูกถามบ่อยๆว่าพวกเราจะลำบากไปทำไม เราก็ตอบให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ เราไม่สามารถบอกให้คนที่ไม่ได้ชอบ ไม่ได้แอดเวนเจอร์ คนที่ชอบอยู่บ้านเฉยๆเข้าใจได้ว่า ทำไมต่อให้เรามีคำตอบ แต่คนอื่นจะเข้าใจมั้ย ?? ก็แค่นั้นเอง

ผ่านมา 3 เดือนแล้ว เราก็ยังคิดถึงความทรงจะที่รินจานีตลอด ไม่ว่าจะขึ้นเขา ลงเขา ความยากลำบาก ความกลัวที่ผ่านพ้นมา เรารู้สึกว่ามันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น มันทำให้เราคิดว่าเราจะกลัวอะไรได้อีก เพราะเราสู้กับตัวเองมาขนาดนี้แล้ว เราสู้กับใจที่อยากถอยกลับ สู้กับใจที่อยากร้องไห้งอแง คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ตัวเองนั่นแหละ เราชนะมันมาแล้วนะ !!

ความทรงจำเมื่อวันที่  22- 27 ตุลาคม 2558 
ตรากตรำปีนป่ายไปดูวิว ทะเลสาบบนปากปล่องภูเขาไฟที่ รินจานี

by Mei

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images