ทะเลสาบบนปล่องภูเขาไฟ วิวที่อยากเห็นแต่ต้องเหนื่อยขึ้นไปดู ณ Rinjani

มีความทรงจำในวัยเด็กช่วงนึง ที่ถึงแม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่เมันก็ชอบลอยเข้ามาในหัวเสมอราวกับว่ามันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อในนาน   ช่วงวั...

มีความทรงจำในวัยเด็กช่วงนึง ที่ถึงแม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่เมันก็ชอบลอยเข้ามาในหัวเสมอราวกับว่ามันพึ่งเกิดขึ้นเมื่อในนาน  ช่วงวัยประถมพวกเรา 3 พีน้องมีจักรยานคนละคัน จักรยานสีแดง และสีชมพู แน่นอนว่า สีแดงเป็นของเราและพี่ สีชมพูจะเป็นของน้องสาวคนเล็ก ช่วงปิดเทอมเวลากลางวันมันก็มีบ้างที่เราไม่ได้เล่นกับเพื่อนๆ เรา 3 คนชอบปั่นจักรยานไป “ผจญภัยกัน

เราจะปั่นจักรยานไปเรื่อยๆตามทางเดินคอนกรีตเรียบคลองแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงจุดที่คิดว่าเริ่มน่ากลัว หรือว่าไกลเกินไปแล้ว เดี๋ยวแม่จะหาไม่เจอเราจะพากันกลับ แล้วเราจะมาใหม่เมื่อเรามีโอกาส

 ถ้าใครถามว่าเราไปไหนกันมา เราจะพูดว่าไป “ผจญภัย” จนติดปาก พวกเรา 3 คนเป็นเด็กที่ชอบเล่นน้ำ ชอบเดินไปเล่นไกลๆ มักจะไปกันตอนกลางวันเพราะว่าพ่อและแม่ไม่อยู่บ้าน พ่อไปทำงานที่กรุงเทพ แม่ขายของในตลาดแถวบ้าน พวกเราต้องแอบแม่ไป จนบางครั้งตอนที่ไปไกลมากๆแล้ว กลับได้ยินเสียงแม่เรียก จนทำให้พวกเรากลัว แล้วกลับบ้านมา บ้างครั้งแม่ก็ยกฝ่ามือเตรียมรอตี “แม่บอกแล้วว่าไม่ให้ไปไกล” พวกเราโดนตีซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ยังไม่เลิกไปผจญภัย ลามไปถึงการไปผจญภัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา หมายถึง เราไปเล่นน้ำที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บ้านของพวกเราอยู่ติดแม่น้ำ มีซอยเล็กๆกลั้นแค่ 1 ซอย

วันหนึ่งมีคนไปบอกแม่ที่ตลาดว่า พวกเราเล่นน้ำอยู่ที่แม่น้ำ พวกเราไม่ได้ยินเสียงของแม่เหมือนปกติ รู้ตัวอีกทีแม่ก็เดินมาถึงจุดที่เราเล่นน้ำแล้ว พวกเราโดนลงบาทาหนักมาก ทั้ง 3พี่น้อง แม่โกรธมาก ในคืนนั้นพอพ่อกลับบ้านมา แม่ฟ้องพ่อเรื่องที่พวกเราเล่นน้ำ แต่พ่อกลับไม่ว่าอะไร แถมบอกว่าพวกเรา “เก่งมาก” แม่บอกว่า มันใจหายมากที่เห็นลูกสาวคนเล็กลอยคออยู่กลางแม่น้ำ เล่ากันจนโตแม่ก็พูดถึงแต่ฉากนี้ ตอนนั้นน้องยังแค่อนุบาล 3 ยังพูดติดอ่างอยู่เลย

จากการที่มีแม่เป็นคนขี้เป็นห่วง ด้วยความที่แกเป็นโรคประสาทอ่อนๆจึงทำให้อาการขี้เป็นห่วงแกกลายเป็นอาการวิตกกังวลขั้นหนักจึงทำให้พวกเราไม่กล้าบอกว่าแม่ว่าพวกเราจะไปเที่ยวไหน มีแต่พอที่ทำใจได้แล้ว … “พ่อบอกว่ามีลูกเป็นนักผจญภัย พ่อทำใจไว้แล้ว

หลังจากกลับจากการปีนเขาที่ รินจานี อินโดนีเซีย มันทำให้มักมีความทรงจำในวัยเด็กทำนองนี้ผุดขึ้นมา เราไม่เคยปีนเขาหรือ trekking มาก่อน นอกจากการเดินทางระยะยาวเดินเขาเดินดอย แบบ hiking แต่เราไปรินจานี ภูเขาไฟที่ขึ้นชื่อว่า สวยแต่อันตราย ด้วยความอยากไปเห็นวิวสวยๆที่อยู่ในรูปที่ใหม่ส่งมาให้ เนื่องจากเธอกำลังหาที่ปีนเขาอยู่
 “ภูเขาไฟรินจานี” (Rinjani) เป็นภูเขาไฟสูง 3,726 เมตร สูงอันดับสองของอินโดนีเซีย (รองจาก Kerinci แห่งเกาะสุมาตรา) และสูงสุดของเกาะลอมบอก (Rombok) เกาะซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะบาหลี รินจานีได้รับฉายาเป็น “ราชีนีแห่งเกาะลอมบอก” (Queen of Rombok) เตี้ยกว่าฟูจิซัง นิ๊ดเดียว จากบาหลีนั่งเรือหรือไม่ก็เครื่องบินต่อไปอีก 
 
 ชนิดของภูเขาไฟนั้นจะมี 3 ประเภท
1.ภูเขาไฟมีพลัง (Active Volcanoes) ก็คือ ชั้นยังปะทะอยู่นะ ยังไม่สงบ (เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาไฟโบรโม่ ภูเขาไฟบายอน)
2.ภูเขาไฟสงบ (Dormant Volcanoes) เมื่อก่อนชั้นเคยประทุแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะประทุอีก
3.ภูเขาไฟที่ดับสนิท (Extint Volcanoes) เป็นภูเขาไฟที่ไม่เคยมีการประทุมาก่อนเลย


ในบรรดาภูเขาไฟทั้งหมดในโลกนี้ (ประมาณ 1,300 ลูก) เกือบครึ่งหนึ่งของภูเขาไฟนั้น อยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย และรินจานีก็เป็น 1 ในภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่  เนื่องจากความสวยทั้งชื่อและหน้าตา คิดดูทะเลสาบบนปากปล่องภูเขาไฟ มันจะอลังการขนาดไหน จะสวยขนาดไหน ด้วยความสวยนั้นจึงทำให้ รินจานีมีนั่งท่องเที่ยวฝ่าดงฝ่าเขา (ปีนป่าย) เข้าไปชมปีละมากๆ 
 เส้นทางการเดินส่วนใหญ่ก็คล้ายๆกัน ตามด้านล่างนี้

วันที่ 1 นอนบนริมปล่องภูเขาไฟ  Plawangan Sembalun Crater Rim ความสูง 2680m

ตื่นและกินข้าวเช้า จากนั้นก็บีฟการเดินทาง ออกจากโรงแรมประมาณ 7 โมงเช้า เดินผ่าน ทุ่งหญ้าสะวันนาไปเรื่อยๆ ช่วงนี้จะเป็นทุ่งที่ไม่มีต้นไม้เลย เดินจนถึงSembalun (1050m),ประมาณ บ่ายโมง ก็รับประทานอาหารที่นั่น แล้วก็เดินต่อทางจากนี้จะเริ่มเป็นการปีนป่าย ไต่ความสูง ไปเรื่อยๆ จนถึง Plawangan Sembalun Crater Rim  (Camp 3: 2680m)แล้วก็ตั้งแคป์นอนบนนั้น


วันที่ 2  ขึ้นยอดรินจานี ลงไปที่ทะเลสาบ Segara Anak (Camp 2: 2000) เพื่อตั้งแคมป์

สำหรับผู้ที่ขึ้นยอดกำหนดการตื่นนอนก็จะประมาณ ตี3 (สำหรับคนที่ช้ามากๆ ก็อาจจะตี 1) สำหรับผู้ไม่ขึ้นยอด ก็มีเวลานอนตื่นสายถึงประมาณ 8 โมง หลังจากตื่นนอนหรือลงจากยอด ก็กินอาหารเช้ากัน จากนั้นก็จะไต่เขาลงไปที่ ทะเลสาบ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ทริปลงจากแคมป์ไปทะเลสาบนั้น จะเป็นการไต่หินซะส่วนมาก ต้องใช้ความระมัดระวังเนื่องจากการลงไปในบางจุดอันตรายและลื่นมาก  ที่บริเวณทะเลสาบมีน้ำพุร้อน สามารถพักผ่อนอาบน้ำเล่นน้ำได้ที่นี่


วันที่ 3 จากทะเลสาบ Segara Anak ไต่ขึ้นไปที่ ริมปากป่องฝั่ง Plawangan Senaru จะไต่ขึ้นไปที่ความสูง 2630 (Camp  2)ใช้เวลาประมาณ 3ชั่วโมง ถ้ากลับถึง  หมู่บ้าน Senaru จะพาไปน้ำตก Sindang Gile และ  Tiu Kelep ถือว่าจบทริปปีนเขา
 สำหรับเราแล้ว สิ่งที่เป็นเป้าหมายของ รินจานี คือการได้เห็นทะเลสาบ นอนที่ทะเลสาบ และเห็นวิวที่เราอยากเห็นตอนรู้จักรินจานีครั้งแรก ได้เล่นนำพุร้อน (hot springs) โดยการเดินทางที่เราเลือกจากทัวร์ที่เราซื้อซึ่งทางเอเจนซี่แนะนำสำหรับมือใหม่ ก็จะเป็นกำหนดการคร่าวๆประมาณนี้ (3 วัน 2 คืน) 
พวกเราเดินทางจากดอนเมือง กรุงเทพ ไปที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยสายการบินแอร์เอเชีย ก่อนที่จะต่อไปลอมบอก โดยขึ้นเครื่องบินลำเล็กของไลออนแอร์ที่ซื้อตั๋วโดยผ่านอินเตอร์เน็ต ในการซื้อตั๋วภายในอินโดนีเซียนั้นสร้างความปวดหัวให้กับพวกเรามาก เพราะไม่ว่าทีไหนก็บอกว่า ไม่สามารถจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตจากประเทศอื่นได้นอกจากประเทศยุโรป ในอินเตอร์เน็ตก็บอกว่าเราสามารถซื้อที่หน้าเคาเตอร์ได้เลย แต่พวกเรากลัวว่าจะไม่มีที่นั่ง หรือตั๋วหมดไม่ได้เที่ยวบินที่ต้องการ จึงต้องทำให้หาวิธีที่จะซื้อได้ และเราก็หาวิธีได้ ทริปนี้นอกจากจองตั๋วเครื่องบินหรือเดินทางไปโอนเงินค่ามัดจำให้เอเจนซี่ที่พาขึ้นรินจานีแล้ว เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย หนูใหม่เป็นคนติดต่อและจัดการให้หมดเรียบร้อย เรามีหน้าที่ติดสอยห้อยตามเท่านั้น
ซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศอินโดนีเซียได้ที่ nusatrip.com
พวกเราออกจากบ้านแบบธรรมดา กางเกงขาสั้นเสื้อแขนสั้น ไม้ปีนเขา รองเท้าปีนเขายี่ห้อโคลัมเบียที่พึ่งสั่งจากอินเตอร์เน็ตมาหมาดๆ ถึงแม้จะเคยใส่รุ่นนี้แล้วก็เถอะ แต่ใส่รองเท้าใหม่ไปปีนเขามันก็ดูท่าจะเสี่ยงมาก พวกเราหนีบรองเท้าแตะไปด้วย เพราะวันสุดท้ายพวกเราจะไปเที่ยวทะเลกัน

ถึงสนามบินบาหลีด้วยความรู้สึกกระปี้กระเป่ามากๆ ที่บาหลีสนามบินดีมาก สวย ห้องน้ำก็สะอาด มีคนต่างชาติเยอะแยะไปหมด และที่ยิ่งทำให้รู้สึกสุดชื่นแอคททีฟขึ้นมามากกว่าเดิมก็ตรงที่ ได้เห็นชาวต่างชาติแบกกระดานโต้คลื่นมาเล่นกันนี่แหละ เรารู้ว่าบาหลีมีชื่อเสียงด้านนี้ แต่พอได้มาเห็นบรรยากาศก็รู้สึกอินมากกว่าเดิม

มีพี่คนไทยเดินมาทักพวกเราที่กำลังเดินออกจาก ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยว่า ไปปีนเขาหรือคะเราก็ไม่คิดว่าจะมีคนมาถามคำถามนี้ตอนเราอยู่บาหลีนะ หรือเพราะแบบลักษณะการแต่งตัวเรากันนะ (ก็ใส่รองเท้าลักษณะเป็นบู๊ท และมีไม้ปีนเขาเสียบไว้ที่กระเป๋า) แต่พี่ๆเขาคิดว่าพวกเราไปปีนที่ โบรโม่ แต่จริงๆเราไปรินจานีต่างหาก

จากบาหลีไป ลอมบอกโดยเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก เป็นอะไรที่เสียวไส้มาก ไม่เคยขึ้นเครื่องบินไซส์เล็กขนาดนี้มาก่อน ได้ยินเสียงเครื่องเสียงดังแล้วไม่มั่นใจในชีวิตตัวเองสุดๆ ว่าจะรอดไปปีนรินจานีมั้ย ถึงจะใช้เวลาแค่ 30 นาที จากสนามบินแดนซาปาร์ บาหลี ไปที่ Lombok International Airport เมืองมาทาราม แต่ก็เป็นเวลาที่ยาวนานมาก นั่งแบบไม่กล้าฟังเพลงด้วยซ้ำ เพราะอยากคอยฟังเสียงเครื่องบินมากกว่าว่ามีปัญหามั้ย ปกติมั้ย
แต่ระหว่างอยู่บนเครื่องบินพวกเราก็มีอารมณ์มาเถียงกันว่า ภูเขาลุกไหนที่เห็นคือ รินจานี  ใหม่บอกว่าเนี่ยแหละลูกที่เห็นนี่แหละใหญ่สุดในนี้แล้ว แต่เราคิดว่าไม่ใช่ เพราะไม่เห็นจะมีทะเลสาบบนนั้นเลย เราถึงลอมบอกกันประมาณ 4 โมงเย็นกว่าๆ ถึงปุ๊บพวกเราก็ออกไปตรงจุดนับพบเลย เพื่อที่จะได้ไปหาคนขับรถที่มารับพวกเราไปพักที่หมู่บ้านตีนเขาที่ทางเอนเจนซี่จัดไว้ให้ คนขับรถมีชื่อว่า มิสเตอร์โตโต้ !! มิสเตอร์โตโต้พยายามชวนพวกเราคุยตลอดทาง มิสเตอร์โตโต้บอกว่า คนลอมบอกส่วนใหญ่แล้วเป็น มุสลิม และคนอินโดนีเซียก็เป็นคนมุสลิมส่วนมาก แต่ที่บาหลีส่วนใหญ่จะนับถือฮินดู ตัวมิสเตอร์โตโต้เองก็เป็นฮินดูเหมือนกัน

พวกเราถามมิสเตอร์โตโต้ถึงรินจานีว่าอยู่ตรงไหน โตโต้บอกว่า ไม่เห็นหรอกต้องขับไปอีก 2 ชั่วโมงจากมาทาราม ไปที่ตีนเขา สองชั่วโมงนี่น่าจะไกลมากๆ แต่พวกเราเพลินกับวิว 2 ข้างทางมากๆ ดูวิวไปหลับไปตลอดทาง ฮ่าๆ !! บ้านเมืองในเมืองมาทารามนั้นส่วนใหญ่ปูด้วยอิฐสีส้ม มีการใช้ม้ามาทำเป็นรถลากแบบสามล้อบ้านเราด้วย
หมู่บ้านตีนเขาที่พวกเราพักนั้น อยู่ที่ตีนเขารินจานี ตอนที่เข้าเขตมาแล้วเรามองไปเห็นชาวบ้านนั่งผิงไฟกัน เราก็ไม่คิดว่าอากาศมันจะเย็น เพราะอินโดนีเซียในจินตนาการเราคือ อากาศคงจะร้อนแบบบ้านเรา ช่วงที่เราไปคือปลายเดือนพฤศจิกายน ประเทศไทยก็ยังร้อนอยู่เลย อินโดนิเซียจะหนาวได้ยังไง แต่ในความจริงคือยิ่งใกล้เขตอุทยานแห่งชาติ ก็ยิ่งหนาว มีจุดที่มิสเตอร์โตโต้จอดพักก่อนเข้าไปที่หมู่บ้าน บริเวณนั้นมืดมาก และเราอยู่ที่สูงมากๆ เดินออกจากรถมองลงไป เห็นไฟตามบ้านเรือนส่องระยิบยับ บริเวณที่เรายืนอยู่ไม่มีไฟเลย แถมยังหนาวอีกต่างหาก ทำไมมิสเตอร์โตโต้มาจอดพักตรงนี้เนี่ย !!
เราไม่รู้เลยว่า ที่พักเราจะสามารถเปิดประตูแล้วเห็น ภูเขาไฟรินจานีได้
พอถึงที่พัก ก็นำของมาเก็บแล้วก็พบกับไกด์ที่จะต้องฝากตัวอีก 2 คืนบนเขา ไกด์มีชื่อว่า ไกด์เทียน เป็นชาวอินโดนีเซียล่างเล็ก ตัวเล็กกว่าเราสองคนด้วยซ้ำ ไกด์ก็ให้ความรู้แล้วก็บอกเส้นทางที่เราจะเดินกันในวันพรุ่งนี้แล้วก็นัดแนะว่า พรุ่งนี้เราจะเจอกันตอน 7 โมงเช้าเพื่อมากินข้าวและเดินเท้าไปยังจุดนัดลงทะเบียน หลังจากจัดแจงกระเป๋า คัดแยกเงินเป็นที่เรียบร้อย พวกเราตั้งใจจะอาบน้ำ เพราะคิดว่าคงไม่ได้อาบอีก 2 วัน  แต่พอเราเข้าไปอาบน้ำเท่านั้นแหละ ก็ต้องถอยเลย เพราะน้ำเย็นมากๆ ไม่มีน้ำอุ่นด้วย
อาหารตอนเข้าที่เราประเดิมก่อนขึ้นรินจานี คือ แพนเค้ก และกาแฟร้อน ไกด์เรียกแพนเค้กว่า “Lucky pancake”  ไกด์บอกว่ากินแล้วจะได้โชคดี อะไรทำนองนี้
มาลงทะเบียนก่อน
ภูเขาไฟรินจานี รูปร่างเป็นกรวยคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิมากๆ
พวกเราออกเดินเท้าประมาณ 30 นาทีเพื่อไปจุดลงทะเบียน และไปจุดนับพบลูกหาบ ระหว่างเดินก็โชคดีที่มีรถกระบะผ่านทางไปจุดนัดพบลูกหาบ จุดที่จะเริ่มเดินทาง จริงๆเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราเข้าเส้นทางเดินเขามาแล้ว อากาศตอนเช้านี้ ยังสบายๆอยู่ แต่แดส่องแสงจ้ามากๆ
จุดแรกที่เราจะต้องเจอคือ ทุ่งหญ้าสะวันนา ก่อนที่เราจะมาเราดูรูปจากหลายๆที่ เราเห็นว่าทุ่งสะวันนาจะเป็นสีเขียวชอุ่มมาก แต่ตอนของเราผิดถนัด ทุกอย่างเป็นสีเหลืองขาวหมดเลย ประกอบกับช่วงที่เรามาอินโดนีเซียนั้น เป็นช่วงวิกฤตไฟป่าของอินโดนีเซีย ถึงทางลอมบอกจะไม่มีผลกระทบด้านควันไฟ เพราะควันไฟลอยขึ้นไปทางสุมาตรามากกว่า แต่บริเวณทุ่งหญ้าสะวันนานั้น ก็ทำให้เราเห็นว่ามีการเผาหญ้ากันในบริเวณนี้เหมือนกัน
เจ้าถิ่นออกมาต้อนรับ
อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นไปอีก เดินไปได้เพียงครู่เดียว เราก็เริ่มมึนหัวแล้ว มีบางจุดที่รู้สึกเหนื่อยมาก ยิ่งเวลาเดินขึ้นเนินจนบางทีก็หน้ามืด แต่เราก็อดทนเดินต่อไป แต่ในใจรู้สึกแบบ อยากพักแล้ว อยากเดินในที่ร่มๆกว่านี้หน่อย และก็ถึงจุดที่ไกด์พักรอลูกหาบ เนื่องจากอากาศร้อนแล้วเราจึงเปลี่ยนจากกางเกงวอร์มขายาวเป็นขาสั้นแทน แล้วก็คุยถึงประสบการณ์การเดินเขาของพวกเรา ไกด์เทียนตกใจมากที่เราไม่มีประสบการณ์เลย ถึงจะบอกว่าเคยเดินนิดๆหน่อยๆก็เหอะที่ญี่ปุ่น แต่ใหม่ก็ยังมีประสบการณ์นะ ไม่ต้องห่วงๆ ไกด์ก็ดูเบาใจไปบ้าง
 ช่วงเดือนพฤศจิกา รินจานีจะเป็นช่วงไฮซีซั่น แต่ระหว่างที่เดินก็แปลกใจ นี่ทำไมมีแต่กลุ่มเราล่ะ”  ตลอดทางที่เดินเกือบ 1 ชั่วโมงไหงมีแต่พวกเราได้ แต่ว่าเดินไปได้สักพัก โผล่นั่นโผล่นี่ เดินลงบ้านเดินไต่ขึ้นบ้าง ก็เดินไปถึงจุดพักจุดใหญ่ที่คนจากหลายๆกลุ่มมาตั้งต้นกัน จริงๆแล้วเรามาตั้งขบวนกันคนละทางกับคนอื่น นี่เราเดินมาชั่วโมงนึง แต่พึ่งเริ่มออกหรอกหรอ ??
น้องคนนี้สูงยาวมาก มากับพ่อ 2 คน เก่งมากๆ
พอเดินมาเจอคนต่างชาติ พูดง่าย พอเดินมาเจอฝรั่ง เราก็เริ่มใจชื้นขึ้น ฮ่าๆ เห็นเขาว่ารินจานีฝรั่งแซบ นอกจากวิวทะเลสาบแล้วก็อยากดูวิวฝรั่งแซบนี่แหละค่ะ มีน้องคนนึง (คิดว่าน้องอะแหละดูเด็ก) สูงยาวเข่าดีมาก เรานึกว่าเป็นผู้หญิงรู้สึกชื่นชมมาก เพราะน้องสตาร์ทจุดเดียวกับเรา แต่น้องเดินไวมาก มากจนเราตามไม่ทันทั้งๆที่คิดว่า ก้าวขาในจังหวะเดียวกันแท้ๆ
พวกเรากินน้ำกันเป็นระยะตลอดทาง ในช่วงแรกจัดกันในปริมาณที่มาก เพราะว่ามันเหนื่อยมาก แต่สุดท้ายก็ทำให้หนูใหม่จุก จนเป็นปัญหาในการเดินช่วงแรก ส่วนเรานั้นไกด์อาจจะมองว่าเราฟิตมาก (ไกด์บอกว่าเราสตรอง หุ่นนักกีฬา) แต่ความจริงเราเหนื่อยจนจะร้องไห้ตั้งแต่ช่วงก่อนจะเข้าไปจุดแคมป์กินข้าวกลางวันเสียอีก ในระหว่างที่เดินก็มีทั้งคนอินโดนีเซีย คนมาเลเซีย และคนเวียดนามเดินมาพร้อมกับเรา แล้วก็มีฝรั่งที่เราไม่เห็นมาก่อนไม่ได้พักพร้อมเรา ไม่รู้มาจากไหนเดินนำหน้าเราไปแบบน่าเจ็บใจ พวกนี้เขาไปเอาแรงมาจากไหนนะ เรามักจะจอดพักพร้อมกับสาวเวียดนามคนนึงที่เจอกันทั้งทริป

เราเดินไป บ่นกับตัวเองไป เราเดินไปก็จิบน้ำไปเรื่อยๆ ถามถึงตัวเองตลอดว่าตัวเองจะเดินได้ขนาดไหน เพราะมีบางช่วงที่เราหน้ามืดจริงๆ  เรารู้สึกกลัวมาก พวกเราสองคนเป็นโลหิตจางมานานแล้ว กลัวว่าเดินๆอยู่ก็ล้มไปเลย แต่ใจเราสู้นะ ถึงจะบ่นมากมายก็เถิด

ตอนอยู่สนามบินที่บาหลี พวกเราลองชั่งน้ำหนักกระเป๋าดู น้ำหนักตกที่คนละ 10 กิโล ตอนแรกเราคิดว่าไหว เราแบกไหว เราก็เลยไม่ได้จ้างลูกหาบแบก พวกเราแบกกันเอง แต่ดูท่าทางแล้ว ไม่น่าจะไหวนะ !! หนูใหม่เริ่มเดินไม่ไหว จนไกด์ต้องช่วยแบกกระเป๋าให้
กินข้าวพร้อมกับมองวิวภูเขาไฟไปด้วย
ถึงพวกเราจะช้า แต่พวกเราก็เดินมาถึงจุดพักที่ 1ความสูงประมาณ 1050 m ในประมาณ 11 โมง ในตอนนั้นน้องหุ่นยาว ก็ได้มาถึงก่อนแล้ว ลูกหาบมาถึงก่อนได้แป๊บเดียวก็กำลังเตรียมกลางเต้นท์ให้เรา

เต้นท์ของพวกเรานี่ ตั้งเด่นมาก คนอื่นเขาตั้งกันบนที่คล้ายๆศาลาปูน ฝรั่งส่วนใหญ่ก็นั่งบริเวณนั้น เรามองเห็นกลุ่มคนที่ไม่คุ้นหน้ามาก่อนเลยเดินตามหลังเรามา ตกใจมากเพราะไม่รู้ว่าพวกเธอเดินมาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมตามเรามาไวจัง ??

พวกเราพักนานมาก เกือบ 2 ชั่วโมงได้ ลมแรงมากจนนอนเอนตัวไม่ได้ พวกเราก็ได้แต่นั่งเหยียดขาพร้อมกับจับเต้นท์ไม่ให้ปลิว นั่งพักจนหายเหนื่อยไม่เท่าไร พักจนง่วง พักจนหมดไฟ ทั้งๆที่สักครู่นี้ เรากำลังไฟติดเลย ระยะทางต่อไปนี้ จะเริ่มมีเนินเยอะ มีเขาลูกเล็กๆที่ต้องปีนขึ้น และปีนลง ประมาณ 5 ลูกได้ เราคิดว่าการที่เราพักนานมากๆ จนเป็นปัญหาในการเดินของเราต่อจากนี้เลย หลังจากที่พักเกือบ 2 ชั่วโมงและเริ่มเดินเลย โดยที่ไม่ได้ยืดกล้ามเนื้อเพิ่มเติม ทำให้ระยะทางช่วงหลังของเราเวลาเดินขึ้นเนิน เราจะเจ็บข้อพับมาก ข้อพับหัวเข่าข้างซ้าย ประกอบกับเอ็นข้อเท้าอักเสบเรื้อรังมาหลายเดือน (ก่อนมารินจานีไปหาหมอมา หมอบอกว่า ห้ามออกกำลังกาย) เวลาเดินลักษณะขึ้นบันได ทุกครั้งที่ลงน้ำหนัก เอ็นเข่าเราจะดังครืดๆ

ทางด้านใหม่เองก็ยังไม่หายปวดท้อง ก็ยังจุกอยู่เลยๆ น่าสงสาร เพราะว่าใหม่กินยาเลื่อนประจำเดือนอยู่ แต่มีอาการปวดท้องเมนส์ บวกกับอาการจุก แต่ไกด์ก็แซวว่า ใหม่อ้วนก็เลยเป็นแบบนี้ และสุดท้ายเราก็จ้างลุกหากแบกของพวกเราเพิ่ม โดยที่เราก็เอาเฉพาะเสื้อหนาวและกระเป๋าไว้เสื้อผ้าอื่นๆเราก็ฝากเขาไว้คนละหน่อย
ถึงจะบ่าย 2 กว่าแล้วแต่แดดก็ยังจ้าเหมือนเดิม โดยที่พวกเรายังเดินผ่านจุดที่ไม่มีต้นไม้ให้หลบแดดเลย เราพยายามเดินด้วยสเต๊ปปกติ จนต้องทำให้ใหม่ถูกทิ้งไว้กับไกด์ตลอด (รู้สึกผิดมาก) ใหม่บอกว่า ต่อให้เราไวขนาดไหนก็ต้องรอทีม เก๊าขอโต๊ดดดดดดดดด ไปคินาบาลูจะไม่ทิ้งแล้ว

พอเราจอดพัก ก็มีฝรั่งที่ไหนไม่รู้อีกที่ไม่เห็นหน้าเลยตรงจุดพักตะกี้ ก็นำเราไปตลอด มีกลุ่มพ่อหนุ่มสเปน (น่าจะสเปนแหละ เดาไปว่างั้น) ยิ้มฟันหยีให้ก่อนที่จะเดินนำหน้าเราไป2 คนแบบสบายๆ (ค่ะ พ่อยอดมนุษย์) หนูเมนี่ยิ้มตอบกลับไม่ออกจริงๆ
นี่ไต่ขึ้นมาเลยนะ ดูสภาพแล้วก็สุดจะทน
สำหรับเราแล้วในการปีนขึ้นไปปากปล่องของภูเขาไฟรินจานีที่ระดับ 2683m นั้นอยากสุดก็ตรง เนินเขา 5 ลูกนี้ ไม่รู้ว่านับยังไงนะ แต่ไกด์บอกว่า 5 ลูก เนื่องจากว่าเราต้องเดินในช่วงที่อากาศร้อนมากและฝุ่นเยอะมากๆ ถ้าไม่ใส่ผ้าปิดจมูกไว้เราจะหายใจกันไม่ออกเลย ช่วงนี้เราก็ยังเดินกับสาวเวียดนาม และกลุ่มคนมาเลเซียที่มีอายุหน่อย พร้อมกับฝรั่งสาวสองคนที่ดูธรรมดามากแต่ก็อึดกันพอตัวเลย สองคนนี้ไม่มีไกด์มีแต่ลูกหาบคนเดียว

แล้วเราก็เจอพ่อหนุ่มคนนึงที่ทำให้รู้สึกเจ็บใจมาก ระหว่างที่กำลังไต่หินขึ้นไป (จุดนี้ต้องปีนป่าย) เราก็ได้ยินเด็กฝรั่งพูดคุยกับกลุ่มปีนเขาชาวเอเชียว่า ผมอายุ 17 ปี แบบไม่รู้ล่ะว่าคุยอะไร แต่ไอ้การพูดไปด้วยแล้วหัวเราะไปด้วยได้นี่ คุณน้องไปเอาแรงมาจากไหนเนี่ย ?? ตอนนั้นเองเราก็ไม่เห็นพ่อหนุ่มสเปนและพ่อหนุ่มเข่ายาวแล้ว แต่พ่อหนุ่มอายุ 17 ที่เราเรียกว่าน้องแซค ก็ไม่รู้โผล่มาจากไหนไม่เห็นมาก่อนเลย อ้อ มีพ่อหนุ่มเสื้อเขียวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ตอนเดินตอนปีนก็ไม่ยอมพูดจากกับใครเลยอีกคน ถึงจะบอกว่าหมันไส้ แต่ความจริงก็คือ ชื่นชมค่ะ  
และส่วนที่เหมือนเราได้ขึ้นสวรรค์ที่สุดของเราคือ การผ่านช่วงเขา 5 ลูกมาได้ แถมได้แสงแดดเริ่มหายไป ในตอนนั้นก็ 4 โมงกว่าๆได้แล้ว แต่ใช่ว่าความโหดของรินจานีจะหมดลงแค่นี้ ไกด์เห็นสภาพของหนูใหม่ ก็เริ่มบอกแล้วว่าพรุ่งนี้จะให้กลับลงเลย ไม่ไปต่อ เพราะอีกทางอันตรายกว่า แต่หนูใหม่บอกว่าไม่เอา จะพยายามแล้วก็กัดฟันเดินต่อไป

เส้นทางช่วงสุดท้ายนี้ เป็นการไต่ขึ้นอย่างเดียวเลย ทางชันมากที่สำคัญเป็นดินทรายร่วนไม่มีอะไรให้เกาะเลย บางครั้งเดินแล้วก็ถไลลง จากการที่เราเจ็บเข่าอยู่แล้ว ทำให้เราไม่สามารถเดินได้แบบปกติ ต้องเดินหันข้างไต่เขา แต่เราก็คิดว่าช่วงนี้สนุกสุดๆแล้ว (เพราะอากาศเย็นด้วยแหละ) ตอนแรกเราก็ยังเดินลำบากมาก เพราะพอไม่มีอะไรให้จับมันก็ต้องใช้แรงเยอะ เราเลยเลือกเดินริมๆเขา ห่างจากไกด์มาก เราเดินพร้อมกับกลุ่มคนมาเลเซียตลอดทาง แล้วก็เป็นไกด์นำให้พวกเขาตลอดทาง ตรงส่วนนี้เลือกเดินไปทางต้นไม้จะดีที่สุด เพราะพื้นจากมีรากเยอะทำให้พื้นแข็ง

พวกเราก็ไต่กันไปเรื่อยๆ ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งสูงก็ยิ่งหายใจไม่ออก ตอนนี้ใหม่มีอาการดีขึ้นแล้ว เริ่มไวหายห่วง (อาจจะเพราะหายร้อนแล้ว) บางทีเรามองเห็นลูกหาบบางคน เดินเหมือนซอมบี้มาก ไม่เหนื่อย ไม่มีแรงแต่ก็เดินไปเรื่อยๆ (แต่ถึงยังงั้น ก็เดินไวกว่าเราอีก)
หนูใหม่กับไกด์เทียน
หนูใหม่กำลังมองหันกลับไป
ความเหนื่อยในครั้งนี้ เหนื่อยแบบสุดใจในครั้งนี้ ก็ไม่รู้จะหาคำพูดยังไงมาปลอบใจตัวเองให้สู้ต่อไป เราเข้าใจดีก่อนมาว่า การปีนเขาเราต้องทำเพื่อตัวเอง ด้วยตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อใครและใครจะมาช่วย มีแต่ต้องอดทน เราพยายามพูดกับตัวเองว่า อย่าหันกลับไปมองข้างหลังไม่ใช่หมายถึงหันไปดูวิวข้างหลังนะ อันนั้นสวย ต้องหันกลับไปดู !! เราคิดแต่ว่า เราจะย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว มองดูสิ นั่นน่ะ ทางที่เราจากมานั้นมันไกลมากแล้ว(ก็มันไกลจริงๆ ให้ย้อนกลับไปก็ไม่ไหว มีแต่ต้องเดินไต่ต่อไป)
มองไปเห็นยอด รินจานี !! ดูเหมือนใกล้มาก พวกเรากำลังถึงจุดตั้งแคมป์แล้วสินะ
และก่อนแสงสุดท้ายของวันจะหมดไป พวกเราก็ไปถึงริมปากปล่องภูเขาไฟที่ระดับ 2683m (อย่างยากลำบาก) ทุกคนก็ถ่ายรูปดีใจกันใหญ่ พวกเราสองคนนั่งเงียบ แทนที่จะพูดอะไรกันสักพัก ก่อนที่ไกด์จะเดินมาแท๊กมือพวกเราทีละคน หนูใหม่บอกว่า ตอนนั้นเขาร้องไห้แหละ เราก็ร้องไห้ อยากเอาไปเล่าให้พ่อแม่ฟังเหลือเกิน แต่เล่าไม่ได้เพราะบอกพ่อแม่ว่าไปดำน้ำตื้นที่บาหลี (บอกว่าดำน้ำลึกไม่ได้ แม่เป็นห่วง)

พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ดีใจมากที่อย่างน้อยก็มาทันดูพระอาทิตย์ตกดิน ไกด์ให้กินน้ำแป๊บซี่ด้วย ดีใจมากเพราะอยากกระดกกินมาตลอดทาง แต่เกรงว่าจะปวดท้องก็เลยไม่ได้กระดก นั่งอยู่ที่เดิมได้ครู่เดียว ไกด์ก็พาไปจุดกางเต้นท์ที่อยู่ริมๆ แยกห่างจากกลุ่มอื่นพอสมควร เห็นพ่อหนุ่มเข่ายาวออกมาจากเตนท์ โอ้โห หน้าตาพึ่งตื่นนอนนี่แบบ ตอนหลับไปหลายตื่นเลยสินะ !!  จริงๆตลอดทริปเราคิดว่าเขาเป็นสาวน้อยเข่ายาว แต่จริงๆมารู้ว่าเป็นผู้ชายก็ตอนถึงบนริมปากปล่องนี่แหละ ผู้หญิงอะไรมีลูกกระเดือก เอิ๊ก
ลูกหาบและไกด์เทียนกำลังเคลียร์พื้นที่ให้
 เดินสำรวจบนปากปล่องภูเขาไฟ ยิ่งใกล้พระอาทิตย์ตกก็ยิ่งหนาว บนปากปล่องนั้นมีขยะเยอะมาก พวกทิชชู่และล่องลอยอารยธรรมของมนุษย์ เรารู้อยู่แล้วว่าต้องมีของแบบนี้เพราะมีคนพูดไว้ในอินเตอร์เน็ตเยอะมากว่า ไม่น่ามามีแต่ขยะ !! เราคิดว่ารินจานี น่าสงสารนะที่มีคนมาพูดแบบนี้ ทั้งๆที่ตัวธรรมชาติเองได้สร้างสรรค์สิ่งสวยงามไว้ขนาดนี้แท้ๆ แต่มนุษย์เองกลับมาทิ้งร่องรอยไว้ให้
พอพระอาทิตย์ลับขอบภูเขาในระดับสายตาเราไปปุ๊บ อากาศก็เย็นว๊าบทันทีจนพวกเราต้องหลบอยู่แต่ในเต้นท์ กินอาหารก็กินในเต้นท์ เรามีอาการรู้สึกปวดท้องเหมือนท้องเสียนิดหน่อย หลังจากที่กินเสร็จก็นอนคุยกันบ้างขำๆ บ่นว่าปวดนั่นปวดนี่ เราไม่อยากไปซัมมิตแล้วเพราะเกรงว่าใหม่จะไม่ไหว แถมเงินก็ไม่มีแล้ว เราเอาค่าขึ้นซัมมิตไปจ่ายค่าลูกหาบแล้ว จึงตัดสินใจไปบอกไกด์ว่าไม่ไปซัมมิต แต่ไกด์ก็ยังคะยั้นคะยอให้ไป แต่สุดท้ายก็บอกไกด์ว่าเราปวดขาแล้วไม่ไปดีกว่า แล้วจุดมุ่งหมายเราก็ไม่ใช่ซัมมิตซักหน่อย เนื่องจากตัวเราเองก็พึ่งปีนเขาครั้งแรก ไม่ได้อยากล่าซัมมิตอะไร แต่ถามว่าเสียดายมั้ย ก็เสียดายเหมือนกัน ฮ่าๆ  นอนตื่นสายคุยกันในเต้นท์ดีกว่า (เราตั้งใจจะไปรินจานีอีกรอบ รอบนี้เป้าหมายคือยอดรินจานี)

ในวันที่เรามาถึงปากปล่องภูเขาไฟ ได้เห็นว่าที่ปากปล่องภูเขาไฟมีทะเลสาบนั้น เป็นวิวที่เราใฝ่ฝันมาก เราไม่คิดว่าจะมีวิวแบบนี้ที่ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย  ความจริงหลังจากที่เริ่มศึกษาเรื่องภูเขา หรือภูเขาไฟ ก็ทำให้รู้ว่ามันมีอีกหลายที่มาก และใหญ่กว่านี้ด้วย (แต่เราชอบที่จะเห็นทั้งปล่องในระดับสายตา)
พรุ่งนี้เราจะลงไปที่ทะเลสาบ ตอนแรกไกด์จะไม่พาลงแล้วจะพากลับ แต่สภาพพวกเราโอเคแล้ว ไปต่อได้จ้า !! พรุ่งนี้ก้จะสู้กับตัวเองต่อไป เราจะไม่ท้อ เราจะไม่ถอย
ความทรงจำเมื่อวันที่  22- 27 ตุลาคม 2558 
ตรากตรำปีนป่ายไปดูวิว ทะเลสาบบนปากปล่องภูเขาไฟที่ รินจานี
by Mei








You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images