จิบกาแฟอุ่นๆต่อหน้าภูเขาไฟฟูจิ พร้อมเที่ยวทะเล ณ ชิสุโอกะ

ต่อจากตอนที่แล้วหลังจากถึงญี่ปุ่น และพบกับความงงๆเวิ่นเว้อ เรื่อยไป ...   เช้าวันที่ 2 ของทริปเที่ยวสุดแสนจะสบาย ? ( ทำไมต้องเขียนสบ...

ต่อจากตอนที่แล้วหลังจากถึงญี่ปุ่น และพบกับความงงๆเวิ่นเว้อ เรื่อยไป ... เช้าวันที่ 2 ของทริปเที่ยวสุดแสนจะสบาย? (ทำไมต้องเขียนสบายด้วยเนี่ย โอ๊ยพี่เม) ก็มาถึงซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นออกเที่ยวกันแบบจริงๆจังๆเต็มวันเสียที หลังจากวันแรกที่เราเสียเวลาเดินทางอ้อมโลกไปไกลแถมลงรูปพร้อมทั้งเนื้อหาที่ไม่มีสาระอะไรเลย

วันที่ 2 เราจะเริ่มกันที่ออกไปดูฟูเขาไฟฟูจิกัน ซึ่งไดสุเกะซังได้บอกว่า ที่นั่นเป็นสถานที่ที่สวยมากๆ อยากให้ไปสัมผัส เรามีนัดรวมตัวกันตอน "โกะจิ โยงจูโกะฮุน" หรือ "ตีห้า สี่สิบห้า" แต่ให้ตายสิ เราดันตื่น "ตีห้าครึ่ง" พอดี

มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เรามักจะชอบทำมากๆเลย (มนุษย์พี่เมก็ด้วย) คือการเปิดแอร์หนาวๆและนอนซุกกับผ้าห่มหนาๆ บางทีเราก็มาคิดว่า ถ้าจะห่มขนาดนั้น หนาวขนาดนี้ ก็ปิดแอร์หรือเบามันซะก็สิ้นเรื่องเปล่าคะเนี่ย

ซึ่งมนุษย์เมืองร้อนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ แต่มันก็มีอากาศที่ฝนตก เย็นสบาย นอนเอาตัวม้วนในผ้าห่ม ซึ่งเชื่อเลยว่ามนุษย์หลายๆคนชอบอะไรแบบนี้ แล้วก็เชื่อว่า มนุษย์เมืองหนาวอย่างญี่ปุ่น ก็คงชอบการนอนห่มโปงใต้ผ้าห่มหนาๆในฤดูหนาว ซึ่งบางทีก็เห็นบ่นหนาวๆกัน แต่ก็ชอบกันไม่เบา !!

เช้าวันที่ 2 ในญี่ปุ่น ได้สัมผัสอารมณ์นั้นแล้วค่ะ !! ก่อนเข้านอนได้ตั้งนาฬากาปลุกไว้ให้ปลุกตอน ตีห้าเป๊ะ แต่ด้วยอารมณ์นั้น ... อากาศหนาว ฟุตงนุ่มๆ ผ้าห่มหนาๆ คือ มันสุดย๊อดค่ะ บอกกับตัวเองว่า ขออีกห้านาที อ๊ะ ขออีกห้านาที ตั้งนาฬิกาให้ปลุกไปเรื่อยๆ จนคิดว่าจะตื่นแล้วล่ะ สุดท้ายสะดุ้งโหยงมาอีกที ก็ตีห้าครึ่งเลยจ้า รีบแต่งตัวอย่างไวที่สุดแล้วลงไปล้างหน้าล้างตา ทำเวลาสุดยอด ไม่อยากจะบอกว่า ใส่เสืื้อตัวนอกกลับด้านอีกต่างหาก เป็นเสื้อแขนยาวลายสก๊อต โชคดีที่มีเสื้อหนาวอีกตัวทับไว้

หลังจากลงไปที่หน้าเกสเฮาส์ในเวลาไม่ผิดนัด ไดสุเกะซังก็ชี้ให้ไปรอที่รถ พอขึ้นรถไปก็เห็นสาวญี่ปุ่นและฝรั่งผู้ชายอีก 3 คน แน่นอนว่าไมเคิลก็เป็นหนึ่งในฝรั่งสามคน อากาศหนาวมากๆ ตอนนั้นคิดว่า หนาวที่สุดเท่าที่เจอแล้ว สองปีที่แล้วที่โอซาก้า หน้าคอนเสิร์ตมิสชิลระหว่างรอบัดดี้ดูคอนเสริ์ตว่าหนาวแล้ว อันนี้หนาวกว่า ... คุณไมเคิลก็ถามไถ่ว่าหนาวหรือเปล่า คือเราหนาวมากๆ เขาก็ใจดี ยื่นผ้าพันคอให้ !! เขิลเหอะ

พวกเรานั่งรถฝ่าความหนาวเพื่อไปดูฟูจิซังในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีจากที่พัก สถานีแรกที่ไปชื่อว่า ทะเลสาบทานุกิ  (田貫湖) ไม่อยากจะบอกว่า จริงๆตั้งใจจะไปเองอยู่แล้วเมื่อวาน แต่บังเอิญมาถึงฟูจิโนะมิยะเย็นไปหน่อยก็เลยไม่ได้ไป ถือว่าโชคดีมากๆ ทะเลสาบทานุกินั้น ตอนที่หาข้อมูลไว้ว่าจะไปเที่ยวไหนในชิสุโอกะดี อยากดูใบไม้แดงสวยๆ ซึ่งทะเลสาบนี้ก็มีอันดับกับเขาด้วย
ตลอดที่อยู่บนรถ เราก็เงียบซะส่วนใหญ่ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับใคร นอกจากสาวญี่ปุ่น โนโซมิจัง เพื่อนของไดสุเกะที่พูดภาษาอังกฤษได้น้ำไหลไฟดับเลยจริงๆ คือเราได้คุยกับไมเคิลนิ๊ดดดดดดดหน่อยเองตามมารยาท...ทราบแค่เขาเป็นนักเขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เคยไปเที่ยวที่เมืองไทยด้วย ที่กรุงเทพและเชียงใหม่ พอถึงทะเลาสาบทุกคนก็แยกย้ายกันไปถ่ายรูป หรือนั่งมองวิวกันแล้วแต่จะโปรดปราน แต่สิ่งที่เราทำอย่างแรกเลยก็คือ ... เดินไปกดกาแฟ
ใครจะรู้ว่าการที่นั่งมองฟูจิพร้อมดื่มกาแฟร้อนๆไปด้วย มันจะสุขใจได้เพียงนี้ รอบๆทะเลสาบตรงจุดชมวิวหลัก มีคนญี่ปุ่นหลายคนที่มาตกปลา !! ถ่ายรูป !! ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคุณลุงชาวญี่ปุ่น ที่มาตั้งกล้องกัน สังเกตุมาตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นแล้วว่า คนญี่ปุ่นนี่ ชอบถ่ายรูปเนอะ ชอบเล่นกล้องกัน เห็นเด็กวัยกระเตาะเยอะมากที่พกกล้องโปร เลนส์จัดเต็มกัน ทั้งๆที่แบบ หูย อายุยังน้อยอยู่เลย
มันเงียบสงบๆมากๆเลยนะตอนนั้น ... ทะเลสาบนี้มองเห็นฟูจิซังได้เต็มตา ... และเงียบสงบมากๆ ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายแล้วว่า ช่วงเวลาตรงนั้นมันเป็นยังไง ไม่ได้รู้สึกดี้ด้า หรือตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยว มันเป็นความรู้สึกประมาณว่า "ดีจังเลย" รู้สึกสงบ
เมื่อคืนก่อนมา เรายังร้องไห้อยู่เลย ยังเครียดกับชีวิตอยู่เลย แอบหมดอาลัยตายอยากไปจริงๆก่อนมาญี่ปุ่น ทั้งๆที่ปกติก็ไม่ได้อยากคิดมากอะไรกับปัญหาในที่ทำงาน แค่อยากใช้ชีวิตแบบที่ตั้งใจทำงาน เก็บเงิน ออกเที่ยว ใช้ชีวิตตามประสาตัวเอง แต่บางที ... มันก็แย่ !!  แต่แค่ช่วงเวลานี้ในชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากความสงบแบบนี้

หลังจากยืนดื่มด่ำกับวิวที่อยู่ตรงหน้าได้สักพัก โนโซมิจังก็ปรี่เข้ามาชมกระเป๋าถักสะพายข้างใบจิ๋วที่เราซื้อมาจากหน้าโรงหนังแถวบ้าน (ผู้หญิงล่ะนะ) คุยไปคุยมา โนโซมิจังบอกว่า เราเหมือนคนญี่ปุ่น ตอนแรกนึกว่าเป็นคนญี่ปุ่น ??? (มองยังไงเนี่ยจ๊ะ) สักพักไดสุเกะซังก็มาสมทบบอกว่า เราก่งภาษาญี่ปุ่นม๊าก haha โอ๊ยยยยยยย ปลื้มค่ะปลื้ม คือถ้าเทียบกับคนที่ทำงานที่เจอ อาชีพอย่างหนูเม แล้วพูดได้แบบด๊อกแด๊ก คือตัวเองก็คิดตลอดอะว่า พูดได้ไม่สมกับที่ทำงานเป็นล่าม แต่พอมีคนชอบมันก็รู้สึกดีสิคะ !!

เราอยู่กันที่นั่นสักเกือบชั่วโมงเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้วแต่กลับมีเมฆบังเสียซะอย่างงั้น จึงทำให้เรามองไม่เห็นพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากขอบฟ้า ... แต่ก็ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ปลื้มจะแย่แล้ว
น้ำตกชิระอิโตะเป็นมรดกโลกพร้อมกันกับภูเขาไฟฟูจิ เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮะโกะเนะ-อิซุ พร้อมกับทะเลสาบฟูจิทั้งห้า (ทะเลสาบทานุกิก็อยู่ในส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาตินี้) 
สถานีที่ ของพวกเราก็คือ น้ำตกชิไรโตะ (白糸滝 Shiraito) ซึ่งไม่อยากจะบอกอีกเหมือนกันว่า จริงๆก็ตั้งใจจะมาเองตั้งแต่มะวานและ ก๊ากกกกกกกกกก โชคดีจริงๆเลยเลยที่มาพักที่นี่

พวกเรานั่งรถไปเรื่อยๆ จำไม่ได้ว่ากี่นาที ต่างคนต่างเงียบ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทั้งฝรั่งจากออสเตรเลีย (นามว่าอังเดร กับอีกคนที่มาด้วยกันไม่ได้ถามชื่อ) และไมเคิล และโนโซมิจัง ต่างก็ไม่ได้พูดคุยกันเท่าไร รู้สึกว่า ทุกอย่างมันหยุดนิ่งไปหมด แค่มองไปที่หน้าต่างเอง ...

เราก็ไม่ถนัดเขียนเรื่องเล่าบรรยายสักเท่าไร จริงๆแล้วคำพูดพวกนี้ ต่อให้บรรยายได้ดีขนาดไหน มันก็เล่าไม่ได้หรอก มันไม่มีทางถึงแก่นความรู้สึกนั้นแน่ๆ ต่างคนต่างความรู้สึก ต่างคนต่างอารมณ์
น้ำตกชิราอิโตะเป็นน้ำตกริมถนน ฮ่าๆ จริงๆก่อนถึงทะเลสาบทานูกิ พวกเราได้ขับรถผ่านมันมาแล้ว เป็นน้ำตกที่เรียบง่ายมากๆ ขับรถมาจอด และเดินลงมาก็เห็นน้ำตกเลย ดีเวอร์ !!

พอมาถึงน้ำตกระหว่างที่ทุกคนยืนถ่ายรูปกันหน้าน้ำตก ซึ่งในตอนนั้นก็มีแค่พวกเรา 6 คนเท่านั้น เราก็วิ่งมาที่สะพานที่จะมองเห็นน้ำตกได้ไกลๆ สักพักทุกคนก็ตามมาถ่ายรูป เพื่อนของอังเดรเดินมาถามเราว่า "คุณเอนจอยมั้ย" ซึ่งได้แต่ยิ้มกว้างๆแล้วตอบสั้นๆว่า "ชั้นเอนจอยมากๆจ้า"
หลังจากที่ถ่ายรูปแลกรูปกันดูเสร็จเรียบร้อย ก็เจ็ดโมงกว่าๆ ก็ถึงเวลากลับที่พัก ซึ่งระหว่างเดินออกจากน้ำตก พระอาทิตย์ส่องผ่านน้ำพอดี เราที่เดินนำหน้าเห็นรุ้งกินน้ำ ก็ตะโกนเรียกทุกคนให้มองตอนนั้นพากันตื่นเต้นกันใหญ่ มันสวยนะ สวยจริงจังมาก สดชื่นสุดๆ

พอเดินไต่บันไดขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นคนละทางกับขาลงมา พอเดินขึ้นไปได้จนเกือบสุดทางกำลังถึงที่จอดรถ เราก็หันไปมองด้านขวาซึ่งทำให้เจอวิวที่ ปลื้มปลิ่มน้ำตาไหลเลย เป็นวิวฟูจิซังเต็มตาเลย
ไม่ใช่แค่ชาวต่างชาติ 4 คน ที่มาจาก ไทย เยอรมัน ออสเตรเลียเท่านั้น ที่ตะลึงกับวิวนี้ ไดสุเกะซังที่ปีนฟูจิซังทุกปีและชอบฟูจิซังมากๆ และโนโซมิจังก็ตะลึงไม่แพ้กัน ... ในระหว่างที่หนุ่มฝรั่งสามคนกำลังถ่ายรูปกันอยู่ หนูเมก็ไปยืนคุยกับไดสุเกะซังและโนโซมิจังที่กำลังชื่นชมกับฟูจิ พวกเราสามคนลงความเห็นถึงวิวนี้ว่า "ไม่มีกล้องไหนสามารถถ่ายฟูจิซังได้สวยหรอก" ใช่พวกเราคุยกันว่าแบบนี้ เพราะว่า "เราต้องมาดูด้วยตาตัวเอง" จบมั้ย ??  "ดีจังเลยที่มาที่นี่" เป็นคำพูดเดียวที่บรรยายความรู้สึกนี้ได้
ตอนนี้อยากจะสาดรูปฟูจิซังซะให้เครื่องค้าง รู้สึกอยากอวดวิวที่ตัวเองได้ไปเห็นมามากๆ แต่เชื่อเหอะ มันไม่สวยเท่าของจริงหรอก จริงๆนะ !!
ขากลับทุกคนเริ่มพูดคุยกันอีก แต่เราก็นั่งเงียบเหมือนเดิม โอ๊ย ชั้นอยากเรียนภาษาอังกฤษจริงจังก็คราวนี้แหละ
หลังจากกลับถึงที่พัก ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามแพลนของตัวเอง เราก็คุยกับไดสุเกะซังว่าจะไปไหนอะไรยังไง แพลนวันนี้ของเราคือ ไปเจอบัดดี้ที่อาตามิ 10 โมงเช้า และเราจะไปตามรอยยูคาว่าเซนเซกัน ที่ไหน อะไรยังไง ไม่ทราบแน่ชัด !! แน่นอนว่า ยังไงชั้นก็จะไปทะเลอะนะ ฮ่าๆ ไดสุเกะซังตกใจมากๆที่ ต่างชาติคนนี้ที่มาพักถึงใจกลางฟูจิซัง แต่จะไปทะเล  แต่อากาศดี ฟ้าแจ่มใสแบบนี้ ไม่มีอะไรดีเท่ากับ ท้องฟ้า และทะเลสีครามอีกแล้ว จริงมั้ย ?? (พี่เมไม่ได้กล่าว ไดสุเกะซังกล่าวเอาไว้) 

นัดกับบัดดี้ไว้ 10 โมงเช้าซึ่งตัวเองก็มาสาย น่าจะเกิน 15 นาที แต่เธอที่มาจากจิบะ มาถึงก่อนซะงั้น ก่อนที่จะไปเที่ยวต่อเราสองคนออกมาที่หน้าสถานี บริเวณสถานีอาตามิมีโชเตงไก (商店街 Shotengai) หรือย่านร้านค้าเล็กๆอยู่ เลยตัดสินใจกันว่าจะกินข้าวกันก่อน ซึ่งร้านค้าแถวนั้นก็ยังไม่ค่อยเปิดค่ะ (ปกติจะเปิดทำการกัน 11 โมง) แต่ก็มีร้านกาแฟที่เปิดอยู่ ก็เลยได้นั่งคุยกันก่อนว่าจะไปที่ไหนกันดี ...

คำว่าคาบสมุทอิซุก็เป็นอะไรที่กว้างไปเพราะอาตามิเองก็อยู่ในคาบสมุทอิซุ สถานที่ที่เราเลือกๆปในวันนี้ไม่ได้ไกลจากอาตามิมากสามารถนั่งรถไฟไปเพียงแค่ไม่กี่สถานี สถานที่นั้นก็คือ ชายฝั่งโจกาซากิ (JOKASAGI城ヶ崎海岸駅)  และไปออนเซนเท้าที่อาตากะวะ (ATAGAWA熱川 ) ซึ่งเรากำหนดเป้าหมายกันที่ร้านอาหารที่อุตสาห์รอจนเปิดในตอนช่วง 11 โมงเช้าเข้าไปแล้ว (กาแฟ 2 แก้วที่หมดไป ไม่ได้ช่วยให้พวกเรากำหนดสถานที่ได้ซะงั้น)
จากตามแผนที่เราคิดไว้ตั้งแต่ก่อนมาคือพวกเราตั้งใจจะไปเล่นเวคบอร์ดที่ยามานากะโกะ แต่เนื่องจากอากาศที่นั่นหนาวมาก วันก่อนก็มีหิมะตกที่ทะเลสาบจึงทำให้เราต้องยกเลิกแผนนั้นไป สุดท้ายด้วยความที่ยังไงก็คงเป็นทะเลน่ะแหละที่อยากไป เราสองคนจึงตัดสินใจไปคาบสมุทอิซุ

เราสองคนนั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆน่ารักเพื่อนั่งกำหนดเป้าหมายของเราในวันนี้กัน โดยสั่งกาแฟลาเต้กันคนละแก้ว ในช่วงที่นั่งอยู่ในร้านแทนที่จะกำหนดเป้าหมาย พวกเรากลับคุยกันไม่หยุด ก็เราไม่เจอกันมาจะครบ 3 เดือนแล้ว ฮ่าๆ ในชีวิตมันก็มีช่วงที่พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันบ้าง แต่ก็ส่วนใหญ่ที่พวกเราอยู่ด้วยกัน เราคุยกันสัพเพเหระเรื่องเมาท์นายเมาท์ที่ทำงาน จนต้องสั่งกาแฟแก้วที่ 2 เพราะแอบรู้สึกเกรงใจเจ้าของร้านกาแฟที่พวกเรานั่งนานกันเกินไป
อาตามิเนี่ย ไม่น่าแวะออกมาเลย บ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่มันเรียกว่าโคตรจะเสียเวลาเลยค่ะ แต่พอคิดอีกทีมันก็ดีแล้ว เพราะเราก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรมาก (นี่กำลังปลอบใจตัวเองหรือเปล่า)
อาหารเช้าคือ ข้าวไก่ย่าง
เส้นรถไฟที่เราจะนั่งไปวันนนี้ เส้นอิโต้ ที่เริ่มขึ้นจากอาตามิ ซึ่งเส้นนี้วิ่งบนสายหลักโทไกโด (TOKAIDO main line) ทางรถไฟสายหลักที่เชื่อมระหว่าง  โตเกียวและคันไซเข้าด้วยกัน โดยเริ่มที่โตเกียว จนถึงโกเบ เป็นระยะทางกว่า 589 กิโลเมตร โดยที่จะมีรถไฟของ JR West, JR East, JR central วิ่ง  ในเส้นหลักนั้นก็จะมีสายย่อยออกไปอีกเช่น


เส้นอิโต้ (ITOU 伊東線) : เริ่มจากสถานีอาตามิ (ATAMI 熱海) สุดที่ สถานีอิโต้ จากอิโต้รถไฟจะเปลี่ยนไปเป็น สาย IZUKYU ไปจนถึงชิโมดะ
เส้นมิโนบุ(MINOBU身延線  ) : เริ่มจากสถานีฟูจิ (FUJI 富士) สุดที่ โคฟุ (KOFU 甲府)
เส้นโออิกาวะ ฮอนเซน (OIGAWA HONSEN大井川本線  ) : รถไฟสาย Oigawa-tetsudo (大井川鐵道) รถไฟหัวจักรอน้ำที่วิ่งเลียบหุบเขาของแม่น้ำโออิกาวะ ในจังหวัดชิสุโอกะ เป็นรถไฟพิเศษที่มีเฉพาะช่วงเท่านั้น  เริ่มจากสถานี คานายะ(KANAYA金谷) สุดที่ เซนสุ (SENZU千頭

เอาง่ายๆว่า ถ้าเราแบ่งที่เที่ยวในชิสุโอกะ ใครอยากไปเดินเล่นชิลๆริมทะเล ให้ไปเส้นอิโต้
ใครอยากเข้าถึงฟูจิแบบใกล้ชิดเที่ยวทะเลสาบแวะชมน้ำตกไปเส้นมิโนบุ
ใครอยากเข้าป่าเดินเขาที่หุบเขาลึกลับให้ดิ่งไปเส้นโออิกาวะ
ใครอยากไปชมไร่ชาเขียว เก็บผลไม้ไปชมฟูจิไปให้ตรงดิ่งไปเส้นหลักเลย
นี่พึ่งออกจากอาตามิเอง อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใสมาก
อย่ามองวิวเพลิน ถึงสถานีอิโต้ก็เตรียมลง
ชายฝั่งโจกาซากิ เป็นที่นิยมสำหรับผู้คนที่ชอบเดิน และ นักดำน้ำ !! บางคนอาจจะรู้จักชื่อแล้วนึกไม่ออกว่าเป็นสถานที่แบบไหน หรือบางคนอาจไม่รู้จักเลย ฮ่าๆ จากสถานีอาตามิ เราจะไปเส้นอิโต้ โดยเราเลือกลงที่สถานี Jogasaki Kaigan ห่างจากอาตามิ เพียงแค่ 4 สถานี ถึงไวมากๆ หรือว่าอาจไม่ไวแต่ดูวิวเพลินก็ไม่รู้เหมือนกัน  พอพวกเรามาถึงสถานีก็ลงไม่รอช้าเพราะมันจะเย็นแล้วที่ญี่ปุ่นช่วงนี้แค่ 4 โมงเย็นก็มืดแล้วค่ะ (สามารถลงที่สถานี Izu Kogen Station ที่อยู่ถัดไปอีกสถานีได้เหมือนกัน แต่ทางเดินจะงงกว่ามาก)
ชายฝั่งโจกาซากิ เป็นแนวภูเขาหินลาวาริมชายฝั่งทะเล ซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟโอมุระยามะเมื่อ4,000ปีที่แล้ว ทรายและหินจึงเป็นสีดำ จากภาพด้านบน (ค้นมาจากอินเตอร์เน็ต) ภูเขาที่เห็นด้านหลังคือภูเขาไปโอมุระยามะ การมาชายฝั่งโจกาซากินั้นสิ่งที่ต้องทำคือการเที่ยวชมที่หอประภาคารและสะพานคาโดวากิ (สะพานแขวน)

หลังจากที่ลงจากรถไฟ แอบตื่นเต้นกับสถานีโจกาซากิ เพราะมันเล็กน่ารักมากๆ ตัวสถานีเป็นไม้ มองดูแล้วไม่เหมือนสถานีรถไฟสักนิ๊ดเดียว
 … พวกเราเดินออกจากสถานีก็ดิ่งตรงไปที่ชายฝั่งเลย ในตอนแรกพวกเราก็จ้ำอ้าวไปอย่างเร็วก็เนื่องจากต้องไปที่อื่นต่อ แต่เดินไปได้พักเดียว เราก็กลายเป็นเดินดื่มด่ำกับถนนหนทางบ้านช่อง การจัดสวน ดอกไม้ริมทางซะงั้น ถนนที่เราเดินไปนั้นปลูกต้นซากุระไว้ตลอดทาง โดยมีชื่อถนนว่า SAKURA NAMIKI DORI (桜並木通り) คิดว่าช่วงซากุระบานจะสวยมาก แอบไปดูรูปมาแล้ว


ทางเดินนอกจากจะเป็นทางเดินที่ต้นซากุระขึ้นเรียงรายแล้ว (SAKURA NAMIKI แปลว่า ซากุระขึ้นเรียงรายกัน) บ้านช่องแถวนั้นก็สวยงามมาก ส่วนใหญ่บ้านจะหลังใหญ่และจะตั้งขึ้นบนเนินแล้วก็ปลูกดอกไม้กันเต็มหน้าบ้านเลย เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะไม่ค่อยกล้าถ่ายเข้าไปที่บ้านคนสักเท่าไร

ครั้งก่อนที่มาที่ชายฝั่งโจกาซากิ เมื่อช่วงเดือน 7  ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ฝนตกหนักมากๆ แต่เนื่องจากว่าอยากออกมาเที่ยว (ภาวนาตลอดให้ฝนไม่ตก) ก็เลยมาที่นี่แต่ลงที่สถานี Izu Kogen ตอนนั้นเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากๆ ร่มก็ไม่ได้พกออกมาด้วยแถมฝนก็ตกหนักมากๆ จริงเดินเล่นไปมาที่สถานีก่อนกะรอให้ฝนหยุดตก ซึ่งตอนนั้นก็เลยไปเดินดูเสื้อผ้าแนวอินเดียที่เปิดขายอยู่ที่นั่น เจ้าของร้านที่เป็นชาวอินเดียผู้ชาย (จำชื่อไม่ได้) ชวนคุยชวนซื้อของสนุกมากๆ มีการอยากให้เราขายผ้าพันคอที่เราพกไปให้ด้วย แถมให้ร่มเราไปใช้ซึ่งใจจริงเขาก็พยายามห้ามไม่ให้ไป เพราะทางมันน่ากลัวมากๆ แต่เราก็ไป (น่ากลัวมากจริงๆเพราะมีแต่ต้นไม้และฟ้าร้องตลอดเวลาเลย) ซึ่งเราก็เดินไปจนถึงทะเล แต่ก็เดินต่อไปไม่ถึงสะพานเพราะหนทางเป็นป่าทำให้มันลื่นมากๆ เราจึงเดินกลับ ซึ่งทำให้ครั้งนี้เราจึงกลับมาอีก !!
ใกล้ถึงแล้วประภาคารและสะพานแขวนคาโดวากิ
ฟ้าจ้าแสบตาสุดๆ

วันนี้คนเยอะมากๆพวกเราเลยไม่ได้ขึ้นประภาคารกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมากๆเพราะว่าเข้าฟรีด้วย พวกเราก็เลยเดินข้ามสะพานแขวนคาโดวากิเพื่อไปที่หน้าผาลาวาเลย อากาศตอนนั้นรู้สึกเย็นมากๆเพราะว่ามันก็เริ่มเย็นแล้วแถมลมแรงมากๆ ยิ่งตอนเดินบนสะพานแขวนยิ่งเพิ่มความหนาวเย็นเข้าไปอีก เพราะว่าสะพานนั้นสูงมากๆ (ยาว 48m, สูง 23m) มองไปข้างล่างยิ่งหนาวเลย

หน้าผาลาวาแอบน่ากลัวนิดหน่อยเพราะว่า มันไม่มีที่กั้นด้วยแล้วหินก็ขรุขระแล้วก็คมด้วย แต่ก็เห็นพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นพาลูกปีนป่ายกันดูน่าสนุก
เราสองคนคนใช้เวลาถ่ายรูปเล่นเดินเมาท์กันได้สักพักเดียว ก็พากันเดินออกเพราะอากาศเย็นมากๆแล้ว รู้สึกอย่างกินข้าวแล้วก็ดื่มกาแฟ เราก็เลยพากันเดินกลับทางเดิม หาร้านอาหารกินกัน ซึ่งก็เดินวนไปมานานมากๆ มีที่เดินเข้าไปในร้านแต่ก็ไม่สามารถนั่งดื่มกาแฟได้เพราะว่าร้านนั้นเฉพาะผู้ที่มากับสัตว์เลี้ยง !! แหมถ้าพาพี่จิ๋วไปด้วยก็คงได้เข้าแล้ว...


ใกล้ๆกับสถานีรถไฟโจกาซากิ เราเห็นร้านอาหารร้านนึงที่ดูน่ากินมาก จึงพากันเข้าไปตอนแรกตั้งใจไปกินที่สถานีอื่นแล้วเชียว เป็นร้านอาหารเล็กๆน่ารักแนวๆกิจการครอบครัว ซึ่งเมนูอาหารส่วนใหญ่ก็เป็นคล้ายๆอาหารจีนผสมญี่ปุ่น โดยมีคุณลุงคุณป้าเป็นผู้ดำเนินกิจการ ซึ่งโดยส่วนมากร้านอาหารญี่ปุ่นแนวกิจการบ้านก็จะเป็นร้านคุณลุงคุณป้า หรือไม่ก็คุณปู่คุณย่า (คุณตาคุณยาย) 
 
 
จำชื่อไม่ได้ อร่อยมากๆ อิ่มสุดๆ
คุณลุงคุณป้าบริการดีมากๆ พยายามจะชวนไปนั่งข้างในเพราะว่าอากาศเย็น ซึ่งตอนแรกมันเย็นๆ จนเราเดินมาเรื่อยๆมันกลับร้อนซะงั้น เราสองคนจึงเลือกนั่งข้างนอกแทน (เอาบรรยากาศด้วย) หลังจากกินเสร็จก็เดินทางต่อ ทั้งๆที่เย็นมากแล้วแต่เราก็ยังจะไปแช่ออนเซนที่สถานีอาตะกาวะ (ห่างจากที่นี่ไม่กี่สถานีเอง)
สถานีรถไฟโจกาซากิ ไคกัง จากด้านหลัง คือ มันน่ารักม๊าก
ระหว่างที่กำลังที่จะเดินไปที่ชานชลา เราดันเหลือบไปเห็นว่ามี ออนเซนอยู่ในสถานีรถไฟด้วยแถมใชบริการฟรีอีกต่างหาก หลังจากที่ดูตารางรถไฟแล้ว เรายังมีเวลาอีกระหว่างรอ จึงพากันเข้าไปแช่ออนเซนซึ่งเป็นออนเซนเท้าจริงๆแล้วจะซื้อตั๋วผ่านประตูหรือยังไม่ซื้อ หรือเข้าไปในชานชลาแล้วก็ยังเข้ามาใช้บริการได้ เพราะว่ามันไม่ได้ทำทางกั้นไว้




รถไฟวิ่งผ่าน


สนุกสนานดี๊ด๊ากับสาวญี่ปุ่นที่เข้ามาพร้อมกันได้สักพัก ก็พากันไปรอรถไฟที่ชานชลา ถึงแม้เราจะได้แข่ออนเซนเท้าไปแล้ว เราก็ไม่ล้มเลิกที่จะไปอาตากาวะ ซึ่งเป็นการไปแบบแวะไป ฮ่าๆ เพราะมันมืดแล้ว (แต่ประมาณ
5 โมงเย็นเองนะ) นั่งมา 4 สถานีจากโจกาซากิ
อาตากะวะ ขึ้นชื่อเรื่องน้ำพุร้อนออนเซน ซึ่งมีทั้งโรงแรมหรือรีสอร์ทแบบแฟมิลี่ สถานีรถไฟอาตากะว่า เล็กมากๆ แต่ก็มีร้านเสื้อผ้าอินเดียแบบที่เราชอบด้วยนะ พอถึงสถานีเราก็ตรงดิ่งเช่นเคย ตั้งใจแค่ไปนั่งแช่ออนเซนเท้าพร้อมมองทะเลไปด้วย (แต่มันมืดแล้วอะ ไม่ค่อยเห็นหรอก ก๊ากกกกก)

จะไปแช่ออนเซนเท้าง่ายมากๆ เดินตรงไปหาทะเลเลย

เดินไปเดินมาถ่ายรูปเล่นกันสักพัก ก็ไปแช่ออนเซน (รูปหายไปไหนหมดก็ไม่รู้) ก่อนเข้าก็ทำการล้างเท้าก่อนเข้าไป ที่นี่ต้องเอารองเท้าติดตัวไปด้วยค่ะ ก่อนฟ้าจะมือแบบสนิท เรารู้สึกว่าวิวที่นี่ถ้ามาตอนกลางวันกว่านี้จะอลังการมากๆ แต่ขอบอกว่า มานั่งดูดาวไปด้วย แช่ออนเซนเท้าไปด้วยมันก็ได้วิวอลังการไปอีกแบบนะคะ แต่ถ้าให้ดีมากับคนรักค่ะ พี่เมมากับพี่ใหม่ค่ะ ไม่ฟินค่ะ !! ที่ว่าไม่ฟินเพราะคนอื่นเขามากับแฟน มากันเป็นคู่ค่ะ ฮ่าๆ
อาตากะวะเป็น เป็นสถานีที่น่าแวะมาเที่ยว เป็นเมืองเล็กๆบรรยากาศดี รู้สึกเข้าถึงญี่ปุ่นมากๆ
ดูดาวแช่ออนเซนเท้าสักพัก เราก็พากันกลับและสัญญากับตัวเองว่า ต้องมาใหม่ให้ได้แล้วก็จะไม่มากับพี่ใหม่แล้วด้วย อาตากะวะกับฟูจิโนมิยะอยู่ห่างกันมาก นี่พวกเรามาไกลและกลับดึกเกินไปมั้ย ?? เราไม่ได้คิดเช่นนั้น ถึงฟ้าจะมืดแต่เวลาก็ไม่ได้มืดตาม หลังจากกลับถึงฟูจิโนะมิยะ ใหม่ก็เช็คอินเข้าพัก คนดูแลคืนนี้ไม่ใช่ไดสุเกะซัง แต่เป็นทาคาฮาชิ หนุ่มญี่ปุ่นลูกครึ่ง(ครึ่งอะไรไม่รู้ แต่หน้าตาจิ้มลิ้มมากๆ) ได้จัดให้เรานอนห้องเดียวกัน เนื่องจากไม่มีคนมาขอพักในช่วงกลางวัน และใหม่ก็ตกลงจะไปดูฟูจิซังกับทางเกสเฮาสต์ด้วย ซึ่งเราก็ตกลงไปด้วยอีกเหมือนกัน

เดินชมเฟอร์นิเจอร์แปร๊บ
 
ของบัดดี้ เมื่อวานเราลองกินไปแล้ว (จำชื่อเมนูไม่ได้ สีจัดจ้านมากเผ็ดที่สุดในร้านแล้ว พนักงานย้ำแล้วย้ำอีกว่าเผ็ดมากนะ !! คนไทยที่ไหนจะกลัว )
ของเราวันนี้ (ชุดชาฮั่ง ) เกี๊ยวซ่านั้นสั่งมากินด้วยกัน
กว่าจะได้ออกจากห้างกลับห้องไปนอน พวกเราเสียเวลาอีกเยอะมากๆ  เดินช๊อปปิ้งเจอเสื้อผ้าสวยๆ เดินดูของกินของใช้ ทำตัวเหมือนมาใช้ชีวิตที่นี่ยังไงก็ไม่รู้ มีการซื้อน้ำจิ้มสุกี้ไทยด้วย ที่จริงเราต้องซื้อไปฝากให้นายคนญี่น แต่ไปซื้อไม่ทันต้องรีบขึ้นเครื่องบินโชคดีมากที่ชิสุโอกะมีขาย เพราะมีร้านขายพวกเครื่องเทศนำเข้า (ซื้อไกลไปมั้ยคะ)

ถึงห้องก็อาบน้ำนอนทันที !! อยู่ใกล้ฟูจิซังทำไมมันหนาวแบบนี้นะ อาบน้ำก็หนาวมากจะนอนก็หนาวมากๆ แต่เปิดฮีสเตอร์แล้วห่มผ้านอนมันก็รู้สึกดีมากๆ พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะหลับฝันดี
             ความทรงจำเมื่อวันที่ 21/11/2556
ฤดูใบไม้ร่วง ณ ชิสุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น อะไรคือมัวแต่นั่งเมาท์

by Mei

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images