ให้ลมพัดพาไปเดินตะลอนที่ เมืองชิโมดะ เมืองแห่งประวัติศาสตร์ ณ ชิสุโอกะ

เคยอ่านเจอประโยคนึงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวว่า “ แพลนดีทริปราบลื่น ” เราอ่านและรับรู้ว่าการวางแผนเที่ยวจะทำให้เราไม่เสียค่าใช้จ่ายยิบย่อยเ...


เคยอ่านเจอประโยคนึงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวว่า แพลนดีทริปราบลื่นเราอ่านและรับรู้ว่าการวางแผนเที่ยวจะทำให้เราไม่เสียค่าใช้จ่ายยิบย่อยเยอะแยะและที่สำคัญคือปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร ซึ่งสำหรับเราแล้วการวางแผนคือเรื่องที่ไม่อยากทำที่สุด

เอาจริงๆก็คิดว่าไม่ค่อยมีคนอยากจะทำกันหรอก ถ้าเป็นไปได้ก็คงอยากแบกกระเป๋าออกจากบ้านเลยแบบอยากไปไหนก็ไปนอนไหนก็นอน (ซึ่งก็มีคนเขาทำกันอยู่) แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนธรรมดามีเวลาจำกัดน้อยนิดในการออกเที่ยวแต่ละครั้ง ทั้งเวลาและเงิน ก็ควรจะต้องเป็นเรื่องที่ควรจะจัดการให้รัดกุมสุดชีวิต ใช่หรือไม่?

แต่สำหรับทริปนี้อย่างที่บอกแต่ต้นเลยคือ ไม่มีแพลนอะไรเป็นพิเศษ (ตั้งใจไว้แบบนั้น) ถามว่าการที่รู้จักญี่ปุ่นแทบจะทั้งชีวิต การมาเที่ยวญี่ปุ่นแบบไม่มีแพลนว่าจะไปไหน (นอกจากจองเกสเฮาส์จากบุ๊คกิ้ง) มันอาจทำให้พี่เมพี่ใหม่เสียเงินยิบย่อยแล้วเจอปัญหามั้ย ?? ตอบเลยว่าไม่ (อ้าว แล้วเธอจะพูดทำไม?) 

จากเมื่อวานนี้ที่เราสองคนเรื่อยเปื่อยอยู่ที่แถวๆ โจกาซากิและอาตากะวะ วันนี้เราตัดสินใจจะไปที่ชิโมดะกัน จากต้นเหตุที่ทำให้เราออกทริปญี่ปุ่นครั้งนี้คือการมาดูคอนเสิร์ตของฟุคุยาม่า มาซาฮารุ และก็ชวดไปเพราะไม่ได้ตั๋วและก็ขี้เกียจเสี่ยงดวงไปซื้อหน้าคอนเสิร์ตก็เลยออกเที่ยวแทนเสียอย่างงั้น จนเมื่อวานนี้เราจึงพากันคิดว่าจะตามหากาลิเลโอ หมายถึงยูคาว่าเซนเซ จากซีรียส์เรื่อง กาลิเลโอ ที่ฟุคุยาม่าของเรานำแสดง แต่เราก็ทำได้แค่ไปเที่ยวดูหินลาวาและแช่ออนเซนเท้า

วันนี้เราตั้งใจจะไปที่เมืองชิโมดะ(Shimoda!! แต่ช้าก่อน ก่อนที่เราจะออกเดินทางไปชิโมดะนั้น เรามีนัดกับทางเกสเฮาส์ที่จะพาเราไปชมฟูจิซังที่ทะเลสาบทานุกิ (ที่เราไปมาเมื่อวาน)  ฟูจิซังของเราก็ยังสวยเหมือนเดิม อยากอวดรูปเฉยๆ
เพื่อนร่วมเดินทางไปหาฟูจิซังของเราวันนี้ เป็นชาวเอเชียหมดเลย มีทั้งสาวชาวจีนที่มาเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น และคู่สามีภรรยาชาวเวียดนาม และสาวชาวไทยก็คือเรา 2 คน บรรยากาศขาไปยังเงียบกริบเหมือนเคยอาจจะเพราะอากาศหนาวหรือพึ่งตื่นหรือยังไงก็ไม่ทราบ (เช้าๆใครจะครึกครื้นได้ล่ะ ฮ่าๆ) ตั้งแต่เมื่อวานนี้ก็ไม่ได้เจอพ่อหนุ่มไมเคิลอีกเลย
วันนี้ก็มีคนมาตกปลาและถ่ายรูปเหมือนเมื่อวาน ทั้งๆที่อากาศหนาวขนาดนี้นะเนี่ย ระหว่างที่ถ่ายรูปเล่นอยู่ในลักษณะที่ดูกากๆหามุมกันไม่ได้ ก็มีคุณลุงชาวญี่ปุ่นคนนึงอาสาถ่ายรูปให้ คุณลุงดูรูปที่ถ่ายออกมาจากกล้องแล้วบอกว่า ไม่ไหวๆ มาทั้งที “ คุณลุงก็จัดการเอากล้องโปรของตัวเองถ่ายให้ อารมณ์แบบเฮ้ย ถ่ายแล้วจะเอารูปยังไงนะ แต่คุณลุงก็ขอที่อยู่ไว้แล้วบอกว่าจะล้างรูปส่งไปให้ คือแบบเกรงใจมากๆ แต่คุณลุงก็จะขอที่อยู่ให้ได้ พวกเราก็เลยเขียนที่อยู่ให้ไปแบบกลัวว่ารหัสไปรษณีย์จะผิดแล้วจะส่งรูปไปไม่ถึงมากๆ (รูปที่คุณลุงถ่ายให้ส่งมาถึงอย่างปลอดภัย ขอบคุณมากๆเลยค่ะ)
สถานีที่ 2 ที่พวกเราไปก็เหมือนเมื่อวานคือ น้ำตกชิไรโตะ วันนี้ท้องฟ้าดูสว่างกว่าเมื่อวานไม่ค่อยอึมครึม จึงทำให้เราเห็นน้ำตกดูสดใสสว่างขึ้น (ยิ่งถ่ายด้วยกล้องของบัดดี้ด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึงเลยสีจัดมากๆ) หลังจากลงจารถตู้พวกเราก็แยกย้ายกันไปถ่ายรูปเล่นกัน วันนี้อากาศเย็นกว่าเมื่อวานมากๆทั้งๆทีแดดจ้ากว่า ยิ่งไปยืนบริเวณหน้าน้ำตกทำให้ละอองน้ำกระเด็นมาโดนหน้ายิ่งรู้สึกหนาวเข้าไปอีก!! ชอบเสียงน้ำตก รู้สึกสงบดีจัง
ฮัลโหลๆ น้ำไม่เย็นหรอจ๊ะ
ด้านหลังห้องพักมองเห็นฟูจิซังด้วยนะคะ
ใช้เวลากันพอหอมปากหอมคอก็ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้ว ขากลับบนรถเริ่มครึกครื้นขึ้น ทุกคนเริ่มตื่นบวกกับไดสุเกะซังพยายามคุยด้วยภาษาอังกฤษกับทุกคน แกถามว่าสนุกมั้ย ชอบฟูจิซังมั้ย ทุกคนก็ตอบว่า ชอบม๊าก ก่อนหน้านี้ไดสุเกะซังถามว่าจะกลับมาที่นี่อีกมั้ย กลับมาดูฟูจิซังอีกมั้ย เราตอบอย่างมั่นใจว่าจะต้องกลับมาหาฟูจิซัง และจะต้องไปปีนฟูจิซังให้ได้ (จากเดือนพฤศจิกา ณ เวลาในเรื่องนี้ เดือนเมษาปีต่อมาเราก็ได้เห็นฟูจิซังอีกครั้ง) ค่าใช้จ่ายเดินทางไปวันนี้ไดสุเกะซังไม่เก็บเรา ทั้งๆที่เราเต็มใจจะไปดูฟูจิซังอีกรอบ ไดสุเกะซังบอกว่า แค่เรายอมไปอีกรอบทั้งๆที่ไปแล้วเขาก็ดีใจมากๆแล้ว เพราะนั่นแสดงว่าเราคงชอบฟูจิซังจริงๆถึงจะยอมเสียเงินไปที่เดิมอีกรอบ ขอบคุณไดสุเกะซังมากๆที่ใจดี
ไม่รู้ว่าบัดดี้กำลังหัวเราะเรื่องไหนอยู่ แต่เธอดูมีความสุข (ได้ไกด์ดีก็งี้แหละค่ะ ไม่มีพาหลงหรอก)
เราชอบฟูจิโนะมิยะ ชอบรถไฟสายมิโนบุ จนถึงตอนนี้ผ่านมาปีกว่าแล้ว เรายังจำความรู้สึกดี๊ด๊าที่มองวิวบ้านช่อง มองวิวฟูจิซังจากข้างหน้าต่างได้ ฟูจิซังก็อยู่ด้านขวาบ้างซ้ายบาง บางทีก็อยู่ด้านหลัง รถไฟญี่ปุ่นมักจะทำกระจกให้ใหญ่ๆเพราะแบบนี้หรือเปล่านะ เรารู้เต็มที่ว่า การเดินทางของเราครั้งนี้ มันอ้อมโลกมากๆ เราคิดว่าถ้าจะไปเที่ยวบริเวณอิโต้หรือชายฝั่งโจกาซากิ หรือไปถึงชิโมดะคงไม่มีใครอุตสาห์ไปพักที่ฟูจิโนะมิยะกันแน่ๆ แต่เพราะเราคิดเสมอว่า การออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ก็ทำแบบที่อยากทำดีกว่า เราอยากนั่งรถไฟเล่น เราก็นั่งรถไฟเล่น เราอยากนอนเฉยๆตื่นมากินข้าวแล้วก็นอน เราก็ควรทำแบบนั้น หลายๆคนอาจจะถามว่า ถ้าทำแบบนั้นก็นอนอยู่บ้านดีกว่ามั้ย สำหรับเราแล้วเวลาเราไปที่ไหนสักแห่งเราคิดว่า เราไม่ได้ไปเที่ยว เรากำลังไปใช้ชีวิตเราถึงยอมเสียเวลานั่งเมาท์อยู่ร้านกาแฟนานแสนนาน เพื่อที่จะนั่งเมาท์กันแทนที่จะรีบออกเดินทางนั่นแหละค่ะ

เราชอบชิสุโอกะ จนถึงตอนนี้ก็ไปมาหลายรอบแล้วแต่ก็ยังไปไม่ทั่ว ถึงบางทีจะแอบมาคิดถึงช่วงเวลาที่ไปบ่อยๆแต่ดันไปที่ซ้ำๆเดิมๆ ก็แอบเสียดายเหมือนกัน ฮ่าๆ เราอยากมีบ้านที่อาตามิ อยากมีบ้านริมทะเล ดังนั้นเราจะหาทางไปอีก

เอาล่ะ !! จุดมุ่งหมายของวันนี้ ที่เราจะพาบัดดี้ไปเที่ยวก็คือ เมืองชิโมดะ (Shimoda 下田 ) ชิโมดะนั้นอยู่ที่ไหน ถ้านับจากสถานีรถไฟแล้ว จากสถานีอาตากะว่าที่เราไปมาเมื่อวาน เดินทางไปอีก 7 สถานี ดังนั้นเราจึงต้องเดินทางกลับไปที่อาตามิด้วยสายมิโนบุก่อน จากอาตามิเราก็ไปที่เส้นอิโต้เลย

รายชื่อสถานีรถไฟของเส้นอิโต้และเส้นอิซุคิวโค (จากอิโต้รถจะต่อเป็นอิซุคิวโค) ชิโมดะไปง่ายมาก นั่งไปสุดเส้นเลยค่ะ ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง
Ito Line (JR伊東線) 
Atami - Kinomiya - Izu-Taga - Ajiro - Usami - Ito  

Izukyuko Line (伊豆急行)
Ito - Minami-Ito - Kawana - Futo - Jogasakikaigan - Izukogen - Izu-Okawa -Izu-Hokkawa - Izu-Atagawa - Katase-Shirata - Izu-Inatori -Imaihamakaigan - Kawazu - Inazusa - Rendaiji - Izukyu Shimoda 
เมืองชิโมดะเกือบอยู่ล่างสุดของแผนที่



เมืองชิโมดะนั้น ถือว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นเมืองหนึ่ง ตั้งอยู่เกือบจะสุดแหลมอิซุหรือคาบสมุทอิซุ รถไฟเส้นอิซุคิวโคก็จะสุดที่นี่ ถ้าจะลงไปใต้อีกต้องนั่งรถบัสหรือไม่ก็แท๊กซี่ต่อเข้าไป ที่ว่าเมืองชิโมดะนั้นเป็นเมืองประวัติศาสตร์นั้นคือยังไง คือว่าเมืองนี้นะคะ
ปี ค.ศ.1853 กองทัพเรือของสหรัฐอเมริกา นำโดยแมทธิว คัลเบรธ เพอร์รี (Matthew Calbraith Perry) นำกองเรือปืน 4 ลำเข้ามาในอ่าวโตเกียว กดดันบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ จากการกดดันเป็นเวลานานจึงทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมเปิดเมืองท่าชิโมะดะและฮะโกะดะเตะ (ทางเหนือ) ในปี ค.ศ.1854  ยอมค้ากับสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกอื่นๆ หลังจากปิดประเทศไปกว่า 200 ปี โดยมีการลงนามสนธิสัญญาคานากะวะ การปิดประเทศนี้ไม่ได้หมายถึงว่าญี่ปุ่นไม่เคยติดต่อกับชาติตะวันตกนะ ที่จริงแล้วที่แถวๆนางาซากิก็ยังทำมาค้าขายกับชาติตะวันตกอย่างฮอลันดาอยู่ (เนเธอร์แลนด์) (ในแง่ประวัติศาสตร์ไม่กล้าเขียนมาก เพราะไม่รู้รายละเอียดเยอะ) แต่หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็มีการลงนามในสนธิสัญญาทำนองเดียวกันกับประเทศรัสเซีย อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นจึงเป็นการเปิดประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง สี่ปีต่อมาสนธิสัญญาเหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสนธิสัญญาทางการค้า และญี่ปุ่นได้ลงนามในสนธิสัญญาทำนองเดียวกันนี้กับประเทศฝรั่งเศสด้วย แล้วเมืองชิโมดะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ !! ความจริงก็คือ สนธิสัญญาคานากะวะ สนธิสัญญาเปิดประเทศ มีการลงนามกันที่เมืองชิโมดะนั่นไง !!

การเดินทางจากอาตามิไปเมืองชิโมดะ ใช้เวลาประมาณ 1.50 นาที รวมๆก็ 2 ชั่วโมง วันนี้พวกเราไม่ได้แวะหาอะไรกินเหมือนเมื่อวาน เพราะว่าชิโมดะอยู่ไกลมากๆ อีกทั้งวันนี้พวกเราต้องกลับไปที่ห้องพักของพี่ใหม่บัดดี้ที่จังหวัดจิบะ ที่สำคัญต้องกลับไปให้ทันปาร์ตี้ที่เจ้านายชาวญี่ปุ่นกับรุ่นพี่ที่ทำงานจัดกันในวันนี้ที่หอพัก พวกเรากินขนมปังที่ซื้อจากอิออนมอล์ลเมื่อคินนี้ที่หน้าสถานีฟูจิโนะมิยะระหว่างรอรถไฟกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บนรถไฟสายนี้ระยะทาง 100 กว่ากิโลไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สึกเบื่อเลย เพราะว่ารถไฟสายนี้วิ่งเลียบทะเลสลับภูเขาลอดอุโมงค์ตลอดทาง ทำให้พวกเราสามารถมองทะเลได้จากที่สูง จนถึงบางจุดที่รถไฟพาเราวิ่งเลียบทะเลแบบชิดๆเลย  จึงขอเตือนว่าถ้านั่งรถไฟสายนี้อย่าคุยกันเพลินค่ะ และยิ่งถ้าได้นั่ง ริมหน้าต่างของ IZUKYU resort 21 (ชื่อรถไฟ) เพราะหน้าต่างของฝั่งติดทะเล (ด้านซ้ายมือ) จะเป็นหน้าต่างบานใหญ่เลย แถมมีการทำที่นั่งให้หันหน้าออกไปทางหน้าต่างด้วยนะ ปกติรถไฟก็กระจกบานใหญ่อยู่แล้วแต่ขบวนนี้พิเศษตรงนี้แหละ (ไม่มีรูปขบวนรถเพราะคนเยอะมากไม่กล้าถ่าย)

หลังจากออกจากอาตามิได้เพียงครู่เดียว เราก็ได้เห็นวิวทะเลสีครามตัดกับสีท้องฟ้าสุดๆ และก็เป็นเช่นนั้นตลอดทาง เพราะวันนี้อากาศดีมากๆแดดแรงสุดๆเลยค่ะ (วันไหนฝนตกก็แอบน่ากลัว เพราะรถไฟส่วนใหญ่วิ่งบนภูเขา)
สถานี Izukitagawa เมาท์เพลินอดเห็นวิวแบบนี้นะ

สถานี Katase shirata รถไฟวิ่งชิดทะเลเลยจ้า
วิวนี้ก็ไม่ไหวนะ มากี่ทีก็ตื่นเต้นตลอด ไม่เคยนั่งรถชิดทะเลขนาดนี้มากก่อน ยิ่งรถไฟด้วยแล้ว
ครั้งนี้ใกล้ชิดสุดๆแล้ว (เคยนั่งรถไฟจากดานัง เวียดนาม ไปเว้ ก็ชิดทะเลแต่ส่วนใหญ่อยู่บนภูเขา) 
สถานี Izu-inatori แปลงผักติดทะเล
สถานนีต่อไป KAWAZU สถานีที่มีจุดชมซากุระที่ฮิตฮอตแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลย (ดูหลังกล้อง มีสะพานแดงๆ นั่นแหละๆ)
แล้วเราสองคนก็ถึงเมืองชิโมดะ ในเวลาเกือบเที่ยง !! ใจจริงเราอยากไปมินามิอิซุมากๆ ไดสุเกะซังบอกว่าทะเลสวยที่สุดแล้ว แต่ว่าต้องนั่งรถบัสต่อไปอีกแถมรถบัสก็มีเวลาออกที่น้อยมากๆ เราจึงตัดสินใจเดินเล่นแถวๆตัวเมืองชิโมดะก็พอ ซึ่งจากการมาที่ชิโมดะครั้งนี้โดยที่ไม่ได้ตั้งไว้เป็นจุดมุ่งหมายเหมือนแค่นั่งรถไฟแวะมา ทำให้เรารู้ว่า เราต้องกลับมาที่นี่อีกแน่นอน (ก็ไดสุเกะบอกว่าทะเลสวย)

สถานที่เราเลือกไปในวันนี้ ที่เป็นที่เที่ยวในตัวเมืองคือ ถนนเพอรี่ (Perry Road) และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ถนนเพอร์รี่ นั้น เป็นที่เดินเที่ยว เงียบสงบ ถ้าเทียบกับที่ไทยก็คงคล้ายๆ โบนันซ่าหัวหินที่มีลักษณะเหมือนเดินเที่ยวอิตาลี ถนนเพอร์รี่นั้นให้บรรยากาศถึงบ้านเรือนสมัยยุคปลายเอโดะ
ชิโมดะเป็นเมืองติดทะเล ชายหาดสวย และมีเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการทูต ที่สำคัญเงียบสงบ เหมาะแก่การเดินเรื่อยเปื่อย สถานที่ท่องเที่ยวก็มีให้เลือกเที่ยวหลากหลายแบบ ปั่นจักรยานดูบ้านเมือง หรือแบบชมวิวดูทะเล หรือเข้าโปรแกรมเล่นกระดานโต้คลื่น ซึ่งหน้าสถานีรถไฟนั้นก็มีแผนที่และแผ่นพับมากมายวางให้เลือกหยิบได้ตามชอบ

ชอบเป็นพิเศษตรงแผ่นพับ เพราะว่าแผ่นพับแต่ละใบจะทำโปรแกรมท่องเที่ยวไว้หลากหลายรูทแบบเหมือนแบ่งเป็นคอนเซปต์ เช่น คอนเซปต์เดินเล่นกับสัตว์เลี้ยง คอนเซปต์เดินชมทะเล และเนื้อหานั้นก็จะเขียนบอกสถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำในคอนเซปต์นั้น พร้อมกับแผนการเดินทางรวมทั้งระยะทางที่ใช้ด้วย เราแอบหยิบมาหลายใบเลย!

เดินพ้นหลังคาสถานีรถไฟได้ไม่ทันไร พวกเราก็หาอะไรกินกันก่อนเลย ที่ชิโมดะเงียบสงบแบบนี้เป็นปกติมั้ยนะ ถ้าเทียบกับจุดอื่นที่ไปเที่ยวมา ถือว่าคนน้อยมากๆ พวกเราเข้าไปกินราเมง หรือ อุด้งที่ร้านข้างทางเล็กๆกันก่อน ต่อให้ไม่ค่อยชอบกินอาหารญี่ปุ่นก็เหอะนะ แต่มาญี่ปุ่นก็ต้องเข้าร้านอาหารบ้าง
ร้านอุด้งหน้าสถานีรถไฟ
เราสั่งอุด้งหน้าเนื้อ
บัดดี้สั่งอุด้งหน้าไก่ชุปแป้งทอด
ถนนเพอร์รี่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่นัก ใช้เวลาเดินสบายๆก็ไม่ถึง 20นาที ตอนแรกตั้งใจจะเช่าจักรยานปั่นเที่ยว แต่ดูจากลมและอากาศแล้วไม่ปั่นจักรยานเที่ยวจะดีกว่า เนื่องจากลมแรงมากๆ  !! พวกเราเดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆ โดยเดินเลียบริมท่าเรือไป ท้องฟ้าสีจ้ามากๆ น้ำทะเลก็เป็นสีครามสุดๆ ได้กลิ่นทะเลตลอดทาง บางทีเราก็ลัดเข้าไปในซอยบ้านเวลาเห็นบ้านที่สวยๆ ส่วนใหญ่แล้วทุกบ้านก็จะมีกระถางต้นไม้เล็กๆเรียงเต็มหน้าบ้าน
เดินมาเรื่อยๆเจอแมวด้วย ตั้งชื่อว่า แมวท่าเรือชิโมดะ


ทำบริษัทประตูหน้าต่าง ก็เลยสนใจจะดูประตูหน้าต่างเป็นพิเศษ บางหลังก็ใช้ของบริษัทเรา อิอิ

จริงๆแล้วเราก็ไม่ได้สนใจพิเศษเกี่ยวกับคุณเพอร์รี่เท่าไร เรารู้สึกสนใจเกี่ยวกับ ซากาโมโต เรียวมะ (Sakamoto Ryoma) มากกว่า เรียวมะ ถือเป็นบุคคลสำคัญของประเทศญี่ปุ่นอย่างมากเลยทีเดียว โดยสิ่งที่ทำให้เรียวมะโดดเด่นก็คือ การเป็นนักคิดผู้มองการณ์ไกลด้วยทัศนะที่ว่าญี่ปุ่นไม่ควรย่ำอยู่กับที่ (คือจะปิดประเทศทำไมล่ะครับ ทำการฑูตค้าขายกันดีกว่า)

หนึ่งในภาระกิจสร้างชื่อของเรียวมะก็คือการเจรจา เรียวมะนั้นได้พยายามเจรจาขอร้องให้เจ้าแคว้นและไดเมียวที่แบ่งพักแบ่งฝ่ายสู้กัน ควรจะจับมือกันขับไล่รัฐบาลโชกุน (โทคุกาว่า)มากกว่า เรียวมะไม่ถือว่าเป็นซามูไรฝั่งชอบใช้กำลังสักเท่าไร ท่านเน้นการเจรจาสร้างความปรองดอง

มีฉากนึงในซีรียส์ที่เราประทับใจเรียวมะมาก เรื่อง จิน หมอทะลุมิติ (หมอยุคปัจจุบันหลงเข้าไปในยุคปลายเอโดะ) มีเรียวมะปรากฏอยู่ในเรื่องด้วย (ทั้งเรื่อง) เป็นฉากที่เรียวมะนั่งมองเรือดำ ของเพอร์รี่ ตอนนั้นเรียวมะยังไม่ได้มีชื่อเสียงมาก แต่เรียวมะสนใจที่จะเรียนภาษาต่างประเทศและอยากให้ประเทศญี่ปุ่นทำการค้าขายกับต่างชาติ ฉากนั้นเรียวมะไม่ได้มองแค่เรือดำเท่านั้น แต่มองไปไกลกว่านั้นอีก ฉากนั้นทำให้เรารู้จัก เรือดำและเพอร์รี่ เราก็เลยมาที่นี่ไง ง่ายดี (แถมฟุคุยามาซัง ก็เคยรับบทเป็นเรียวมะด้วย ในซีรียส์เรื่อง Ryoma Den)

จากต้นถนนจนสุดถนน ถ้าเดินแบบดุ่ยๆก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็สุดถนนแล้ว ที่ท้ายถนนนั้นจะมีวัดที่ชื่อ เรียวเซนจิ (Ryosenji temple) ซึ่งหลังจากเพอร์รี่นำเรือดำเข้ามากดดันประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาประมาณปีกว่า ก็มีการลงนามสนธิสัญญาคาตากาวะกันที่วัดแห่งนี้แหละ ถนนเพอร์รี่นี้เป็นถนนที่เชื่อมระหว่าง ชิโมดะปาร์ค(มีรูปปั้นอนุสรณ์ของเพอร์รี่) และวัดเรียวเซนจิเข้าด้วยกัน 

ตลอดทางก็จะมีร้านอาหาร,คาเฟ่ หรือร้านพวกเครื่องประดับตลอดทาง พวกเราสองคนก็เดินไปเรื่อยๆ ก็คิดๆอยู่นะว่า เที่ยวแบบนี้มันใช่หรือเปล่า? มันใช่พวกเราหรือเปล่า ? พวกเราคุยกันตลอดว่า ถ้าพี่ K มา พี่แกคงชอบแน่เลย มีที่ให้ถ่ายรูปเยอะเลย เรามัวแต่คิดถึงคนอื่นว่าจะต้องชอบที่นี่แน่ๆ แต่ถึงจะยังงั้นก็ไม่ได้หมายถึงว่าพวกเราไม่ชอบ เพราะการเดินไปเรื่อยๆคุยกันไปมาก็เป็นจุดมุ่งหมายของเราในวันนี้นี่นา

พวกเราเดินตามถนนไปเรื่อยๆ ระหว่างริมฝั่งถนนของทั้ง 2 ข้างมีแม่น้ำ Hiranameกั้นอยู่ สถานที่นี้เมื่อปลายเอโดะเป็นแบบนี้แหละ เดินไปจนถึงวัดเรียวเซนจิ นั่นก็หมายถึงว่าเรามาจนสุดทางแล้ว
สนธิสัญญาคานากะวะมีการลงนามที่วัดเรียวเซนจิ 25 พฤษภาคม 1854
เดินถ่ายรูปในวัดกันสักพัก (ไม่ได้เข้าไปข้างใน ถ้าเข้าไปเสีย 500เยน) ก็พากันออกจากวัดเพื่อที่จะเดินเที่ยวต่อที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ระหว่างทางขากลับก็ได้แวะคาเฟ่น่ารักๆเพื่อที่จะดื่มกาแฟกันก่อน มาทั้งทีจะไม่แวะได้ยังไงล่ะ
บรรยากาศภายในร้านดูดีมากๆ เป็นร้านเล็กๆ พื้นเป็นไม้เวลาเดินแอบมีเสียงนิดหน่อย คนในร้านไม่เยอะ พวกเราสั่งกาแฟโอเล่ตามเดิม นั่งจิบกาแฟไป ดูผู้คนที่กำลังเดินเที่ยวไปด้วย อยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้นจริงๆ แถวนี้ส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวจะเป็นมาแบบครอบครัวเสียมากกว่า ไม่ค่อยรู้สึกบาดใจเท่ากับที่อื่นที่ไปที่ส่วนใหญ่มากันเป็นคู่ชายหญิง

พวกเราเดินออกจากถนนเพอร์รี่เพื่อที่จะไปเที่ยวต่อก็มาเจอ รูปปั้นของเพอร์รี่ที่ชิโมดะปาร์ค บริเวณนี้คนมาถ่ายรูปกันเยอะมากๆ กว่าจะหามุมแบบไม่มีคนได้ก็เล่นเอาเหงื่อแตกไปเยอะ ทั้งๆที่ลมแรงสุดๆ
เราสองคนก็เดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ายิ่งเย็นก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำลมก็แรงมากด้วย แต่ก็ยังก้าวเดินกันต่อไป ซึ่งเป็นทางเดินที่เรียบทะเลเลย ได้เห็นน้ำทะเลแล้วก็อยากกระโดดลงไปเล่นน้ำมากๆ
เดินผ่านโค้งไปได้นิ๊ดเดียว ก็เห็นแนวกั้นคลื่นที่มีคนยื่นตกปลาอยู่ ก็รู้สึกดี๊ด๊าตื่นเต้น ไม่เคยเห็นทางเดินแนวกั้นคลื่นมาก่อน ก็เลยพากันเดินไป ตอนนั้นตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปดูปลาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแล้ว ฮ่าๆ จริงๆเพราะหนาวจนเดินไปต่อไม่ไหวมากกว่านะ
มีประภาคารด้วย
หนาวกันขนาดนี้ก็ไม่คิดว่าจะมีคนมานั่งตกปลากันนะคะ มีทั้งวัยรุ่น และคนมีอายุ เห็นสาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักนั่งตกปลาด้วย พวกเราก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ จนถึงสุดปลายทางจะเป็นอุโมงค์เดินเข้าไป พอโผล่พ้นก็เจอประภาคารในนั้น แถมพื้นที่นั่งเล่นส่วนตัวอีกต่างหาก ก็เลยพากันนั่งเล่นนั่งคุยถ่ายรูปกันตรงที่มันหนาวๆนี่แหละ ตั้งกล้องถ่ายกล้องยังล้มค่ะเพราะลมแรงเหลือเกิน

บล๊อกนี้ขอสาดรูปให้กระจาย รูปเยอะมากจริงๆ !! ถึงเวลาแล้วที่เราจะกลับไปที่จิบะ พวกเราเราก็เดินกลับไปทางเดิมเลย แต่พอถึงจุดเริ่มของแนวกลั้นคลื่น ก็เหลือบไปเห็นสะพานแขวนไปยังเกาะเล็กๆอยู่ด้านซ้ายมือ เดินต่อไปอีกนิดนึงก็ถึง ไหนๆก็เห็นแล้วก็เลยพากันเดินฝ่าความหนาวไปกันต่อ
แนวกั้นนคลื่นที่พึ่งจากมา


ที่สะพานแขวนนั้นก็มีคนไปตกปลากัน เดินข้ามสะพานไปจะสามารถเดินเลาะเกาะไปตกปลาได้ 
แอบน่ากลัวเพราะไม่มีอะไรกั้นไว้เลย ตกไปก็หนาวแน่ๆ !! มีพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นพาลูกมานั่งบริเวณนี้ด้วย
และก็ถึงเวลากลับจริงๆ เดินกลับด้วยความรู้สึกแบบ ช๊านนนนต้องมาอีกเรายังมาเที่ยวได้แค่เศษเสี้ยวของชิโมดะเอง เห็นแต่ทะเลยังไม่ได้ไปชายหาดเลย ถ้ามาคราวหน้าต้องมาค้างคืนให้ได้ 
ฝาท่อเป็นลายเรือดำของเพอร์รี่
ลายกระเบื้อง น่าจะพูดถึงเรื่องราวการค้ากับชาติตะวันตก
หูยยยย แมวท่าเรือชิโมดะ เธอยังอยู่อีกหรือ !!
ซื้อของฝากเป็นทีระลึกนิดนึง มีกำไรจากจตุจักรมาขายด้วย 
เดินมาถึงสถานีก็ปาไป 5 โมงเย็นแล้ว พวกเรารีบมากๆเพราะอยากกลับไปให้ถึงจังหวัดจิบะ เมืองคาวามะประมาณ 3 ทุ่ม แล้วรถธรรมดามันจะมาอีกนานมาก ก็เลยเผลอไปซื้อตั๋วรถพิเศษที่กำลังออกจากสถานีคนละหลายบาทอยู่ ช่วงแรกก็แอบช็อคกับราคา แต่ถ้าถึงไวก็ดีค่ะ จะได้ไม่พลาดปาร์ตี้
สถานที่ที่เราจะไป ก็ห่างจากโตเกียวถ้านับระยะทางจากชินจูกูก็ราวๆ เกือบ 2 ชั่วโมง เรานั่งรถไฟไปอาตามิก่อนเนื่องจากเราฝากกระเป๋าไว้ที่นั่น ระหว่างทางบนรถไฟก็พากันหลับท่าเดียวเลย !! จากอาตามิเราก็นั่งรถไฟสายโชนันชินจูกุเพื่อไปยังไซตามะ และต่อรถไฟโลคอลอีก 45 นาทีถึงจะถึงที่หมายเรา และจากนั้นเราก็นั่งแท๊กซี่ต่อไปอีก ประมาณ10 นาที เพื่อสิ่งนี้
ถ้าพี่ๆจะจัดให้หนูซะขนาดนี้ ปลื้มใจมากๆ
เป็นปาร์ตี้เล็กๆที่อบอุ่นมากๆ ทุกคนเคยใช้ชีวิตกับเรา 3 เดือนที่นี่ ที่เมือง คาวามะ เมืองเล็กๆในจังหวัดจิบะ ซึ่งเป็นเมืองที่ใครๆก็บอกว่าไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าอยากมาใช้ชีวิตจริงๆที่ญี่ปุ่น เมืองนี้ก็เป็นเมืองอันดับ 1 ในใจเลย อาตามินั้นเป็นรอง รู้สึกดีใจมากๆที่ได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ซึ่งตอนนี้พี่ๆมีพี่ใหม่ดูแลอยู่เจ้านายก็ใจดีมากๆทำโอเด้งให้กิน ใจดีเสมือนพ่อเลย ตอนเราถึงไซตามะเราโทรศัพท์มาบอกเจ้านายว่า รอก่อนนะ ใกล้ถึงแล้ว หิวข้าวมากๆพอมาถึงก็ได้กินอาหารเลย ทุกคนก็รอจนพวกเรามาถึง ทั้งๆที่ปาร์ตี้กันตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้วแท้ๆ (ไปถึงเกือบ 4 ทุ่ม)

หลังจากปาร์ตี้เสร็จก็รีบเข้านอนกันเลย เพราะว่าพรุ่งนี้บัดดี้จะพาไปเที่ยวแต่เช้าที่ โอคุตามะ บัดดี้บอกว่าจะพาไปปีนเขาใกล้ๆโตเกียวแหละ ทริปนี้ต้องพลัดกันเป็นไกด์ ดีมาก เพราะเราก็ไม่รู้เส้นทางแถบนั้นซักเท่าไรแต่ถ้าแถบชิสุโอกะไม่มีหลงนะคะ

จริงๆถ้าพูดถึงเรื่องที่เราเสียเงินค่ารถพิเศษแพงโข เพราะจะไม่ทันปาร์ตี้ เราก็คิดว่ามันก็พลาดนะคะ แต่เพราะถ้าเราไม่กลัวคนอื่นรอนานก็คงรอขึ้นรถไฟรอบปกติจะดีกว่า ก็เลยยอมขึ้นรถไฟพิเศษที่จะออกก่อน ชิโมดะ หรือ ชิสุโอกะ เป็นจังหวัดที่มีอะไรให้เที่ยวมากมายนอกจากเรื่อง ชาเขียว เก็บผลไม้ และภูเขาไฟฟูจิ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปอีก อยากไปให้ทั่วเลย
!!


ความทรงจำเมื่อวันที่ 22/11/2556
ฤดูใบไม้ร่วง ณ ชิสุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เดินเรื่อยไป ต้านลมหนาว ต้านไม่ไหว...

by Mei

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images