นั่งรถชมวิวไปถ้ำพระยานคร ตั้งแคมป์สบายๆริมทะเล จบหนักๆที่เขาล้อมหมวก

ช่วงกลางวันในวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี นอนตะแคงเหงื่อไหลไคลย้อยอ่านหนังสือของมุราคามิ ฮารุกิ ของบัดดี้ที่ไม่เคยคิดจะหยิบมาอ่าน ได้ยินเสีย...




ช่วงกลางวันในวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี นอนตะแคงเหงื่อไหลไคลย้อยอ่านหนังสือของมุราคามิ ฮารุกิ ของบัดดี้ที่ไม่เคยคิดจะหยิบมาอ่าน ได้ยินเสียงแม่พูดกระซิบกับน้องสาวเบาๆว่า ทำอะไรก็อย่าประมาท เนี่ยดู พี่เมยังหางานไม่ได้เลยเรากรอกตาขึ้นบนแล้วสวนกลับไปว่า พูดไรก็ไม่ต้องให้คนอื่นเขาช้ำใจก็ได้นะ แล้วนี่พึ่งหางานได้แป๊บเดียว แถมวันหยุดก็เยอะสัมภาษณ์งานก็ลำบาก ทั้งๆที่มัวแต่หัวหมุนวิ่งหางาน ไปที่ไหนเขาก็ไม่รับจนหมดความมั่นใจในตัวเอง

ตัวเราก็ยังไม่สามารถยอมรับตัวเองได้ว่า เราประมาทลาออกจากงานโดยไม่หางานก่อน ด้วยเหตุผลหักล้างว่าเพราะเราตัดสินใจดีแล้วว่าเราจะออกเที่ยว 1 เดือนแล้วค่อยมาหางานทำ นอกจากไม่มีเงินให้ถลุงใช้แล้ว การนอนอยู่บ้านเฉยๆมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรมากมายนี่นา … 

นอกเหนือจากความประมาทที่เราไม่ยอมรับแล้ว แต่ความรู้สึกไม่มั่นคง จะทำอะไรก็รู้สึกไม่สะดวกที่จะทำอึดอัด หรือความรู้สึกที่เรารู้สึกว่าเราควบคุมชีวิตตัวเองไม่ได้นั่นเรายอมรับว่าเรามีอยู่จริงๆ เราหยิบหนังสือที่ไม่เคยได้หยิบมาอ่านก็ในวันที่ไม่มีซีรียส์ให้นอนแช่ดู เพราะคิดว่ามันอาจทำให้เราลืมๆความรู้สึกพวกนี้ลงไปบ้างก็เท่านั้น

มีคำเชิญมาจากบัดดี้ชวนเราไปเที่ยวเขาล้อมหมวกกับพี่กรุ๊ปเดินเขาโดยทริปนี้บัดดี้เป็นป๋าใจบุญออกค่าเดินทางค่าขนมให้ ด้วยความที่รู้สึกคั่งๆค้างๆไม่มั่นคงในชีวิตอย่างที่กล่าวไว้ เราไม่ได้ตอบรับทันที แถมไม่ได้สนใจบทสนทนาที่บัดดี้ชวนสักเท่าไร จนพี่หัวหน้ากรุ๊ปเข้ามาถามยืนยันด้วยตัวเองว่าเราจะไปด้วยหรือไม่ ซึ่งเราก็ยังลังเลว่าจะไปดีมั้ย ทั้งๆที่ มีคนจ่ายให้เนี่ยนะ ? ทำไมถึงลังเล?

พูดเรื่องงานอีกที จะว่าไปไม่ใช่ว่ายังไม่ได้งานซะทีเดียว ช่วงหลังสงกรานต์ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทหนึ่งที่ได้รับการแนะนำจากเพื่อนชาวญี่ปุ่นกลุ่มขี้เมา มีชื่อเสียงเรียงนามว่าพี่ฮิโระ (กลุ่มขี้เมาคือกลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องที่เป็นเพื่อนของเพื่อน เพื่อนของรุ่นพี่ที่มักจะไปกินข้าวร้องเพลงด้วยกันบ่อยๆ) หลังจากจิตตกจากการสัมภาษณ์งานในหลายๆบริษัทที่ตัวเองก็รู้ตัวว่าทำได้ไม่ดีเหมือนกัน ก่อนที่จะไปสัมภาษณ์กับบริษัทจริงๆ เราไปกินข้าวกับพี่ฮิโระและผู้ใหญ่ชาวญี่ปุ่นที่เป็นคนติดต่อไปที่พี่ฮิโระว่าอยากได้คนไปทำงานให้บริษัทนึง ซึ่งพี่ฮิโระก็เลยติดต่อเรา เป็นการซ้อมสัมภาษณ์ก่อนไปบริษัทจริงวันนั้นเป็นวันที่กินหนักมาก ทั้งเหล้าบ๊วยและอาหารญี่ปุ่น ตอนแรกไม่มั่นใจผู้ใหญ่ท่านนี้(คุณลุง)จะส่งเราไปสัมภาษณ์กับบริษัทมั้ย ซึ่งสุดท้ายเขาก็ส่งเราไป ด้วยเหตุผลไม่เยอะ ไม่มากมาย เพราะว่าเรากินเก่ง กินได้ตลอดถึงจะบ่นว่าอิ่ม งานที่เราจะไปสัมภาษณ์เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอาหาร (คุณลุงชาวญี่ปุ่นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร อยู่เมืองไทยมานานมากๆ) และจะต้องทำงานกับผู้ชายซะมากกว่าเลยอยากได้คนประเภทกินเหล้าได้และไม่เรื่องมาก

หลังจบจากด่านแรก ในวันสัมภาษณ์จริง เราใส่สูทเต็มยศเพื่อไปสัมภาษณ์ที่แถวๆสีลม ไม่มีความตื่นเต้นใดๆ มีแต่ความร้อนจากควันรถและความร้อนแรงของอากาศช่วงกลางเดือนเมษายน เวลานัดคือ 6โมงเย็น ซึ่งเย็นมากๆ เราไปถึงเวลาก่อนราวๆชั่วโมงตามแบบที่ควรจะทำ ยืนแต่งตัวเอาชายเสื้อยัดลงกระโปรงทรงเอสีเทาอยู่บริเวณทางลงของรถไฟฟ้าบีทีเอส พยายามทำทุกอย่างให้ช้าเพราะไม่รู้ว่ากว่าจะถึงเวลาจะไปไหนดี ไปนั่งรอที่ป้ายรถเมล์ ไปเซเว่น? ก็ทำมันหมดนั่นแหละ วันสัมภาษณ์จริงก็เป็นอีกวันที่กินหนักมากๆ ในตอนแรกคิดว่าจะคุยอย่างเป็นทางการนัดเจอที่ล็อบบี้โรงแรม (คนสัมภาษณ์มาจากญี่ปุ่น) แต่พอเจอหน้ากันปุ๊บก็พาออกไปนั่งกินอาหารอิตาลี แบบเอาท์ดอซะงั้น แถมผู้สัมภาษณ์ก็แบบแต่งตัวธรรมดา กางเกงขาสั้น แล้วเราจะใส่สูทมาเพื่ออะไร ? แล้วก็ไม่ได้พูดคุยสัมภาษณ์งานอะไรเท่าไรเลยคุยเรื่องทั่วไปเสียมากกว่า เป็นการจบการสัมภาษณ์แบบที่เรามึนมาก เราพยายามกินอะไรแบบที่ไม่เคยกิน ปลาแซลมอน (ต้องกินสิ บริษัทเขาทำเกี่ยวกับปลา) กินสปาเก็ตตี้ พิซซ่าแบบที่ไม่เคยกิน (ก็ต้องกินสิคุณลุงบอกไว้ว่าเขาชอบคนไม่เรื่องมาก) ซึ่งเราก็ได้เข้ามาทำงานกับบริษัทนี้เรียบร้อยแล้ว (กว่าจะตกลงวันทำงานได้เป็นเดือน เล่นเอานอนเครียดเลยว่าจะได้ทำจริงๆมั้ย แต่ถึงจะไม่ได้ตอนนั้นก็คิดแล้วว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ) จบเรื่องงานเข้าเรื่องแคปปิ้งก่อน
เราไม่เคยรู้จักเขาล้วมหมวกมาก่อนเลย อย่างว่าแหละเราแทบไม่รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวไม่ว่าจะที่ในประเทศหรือนอกประเทศ มักจะมีรุ่นน้องเข้ามาถาม เข้ามาให้ช่วยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว คำถามประเภท ไปทะเลที่ไหนดีมันน่าแปลกใจที่คนที่มีลุคชอบเที่ยวทะเลอย่างเรากลับไปสามารถตอบแบบเป็นรูปธรรมได้ว่าไปไหน ถ้ามีคนถามว่า ถ้าไปญี่ปุ่นไปเที่ยวไหนดี สำหรับเราที่รู้จักญี่ปุ่นมาทั้งชีวิต จนตอนนี้ก็ไปเยือนมาแล้ว 5 ครั้งก็ไม่สามารถพูดได้ว่า ไปเที่ยวไหนดีญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่น จริงๆอาจเพราะไม่กล้าฟันธงมากกว่า เพราะแต่ละคนลักษณะการเที่ยวก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

เขาล้อมหมวก อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อยู่ภายในเขตพื้นที่ของกองบิน 5 ซึ่งดูแลโดยกองทัพอากาศมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 902 ฟุต  หรือราว 300 เมตร   ตั้งอยู่ริมชายหาด  คั่นระหว่างอ่าวประจวบฯ และ อ่าวมะนาว  เป็นเขาหินปูนรูปทรงคล้ายปิรามิด ตอนแรกที่พูดถึงเขาล้อมหมวกเรานึกไม่ออกว่ามันอยู่ที่ไหน แต่พอพูดถึงอ่าวมะนาวก็พอจะนึกออก เราเคยแวะไปเที่ยวอ่าวมะนาวเมื่อช่วงประมาณ ม.ปลายตอนไปเข้าค่ายภาษาอังกฤษกับทิชเชอร์ชาวฟิลิปินส์ แวะไปเพราะว่าคนขับรถพาไปผิดทางเลยมีโอกาสได้นั่งกินอาหารกลางวันริมอ่าวมะนาว จำได้ว่าตอนเด็กๆตอนพูดถึงอ่าวมะนาว จะนึกถึงวิญญาณวีรชนไทยที่อ่าวมะนาว ในเหตุการณ์ยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนเขาล้อมหมวกเป็นชื่อที่พึ่งเข้ามาอยู่ในหัวเราหลังมีการชวน นั่นทำให้ชื่อนี้อยู่ในหัวเราแล้วนึกขึ้นได้ว่า อ้อ เราเคยเห็นภาพของเขาล้อมหมวกบนหน้าฟีดเฟสบุคตามเพจท่องเที่ยวต่างๆมาก่อนแล้ว

ถึงจะเอ่ยชื่อเขาล้อมหมวกมาก่อน แต่พวกเราที่โดยสารรถส่วนตัวไปตั้งใจว่า จะไปเที่ยวถ้ำพระยานครก่อน แล้วไปตั้งแคมป์ริมทะเลที่หาวดวนกร จากนั้นวันต่อมาถึงจะไปปีนเขาล้อมหมวกต่างหาก

พูดถึงถ้ำพระยานคร เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เราอยากไปมาตั้งแต่เด็กๆจากการที่ดูหนังสือท่องเที่ยวแล้วเห็นภาพถ้ำที่มีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา "ถ้ำพระยานคร" เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์อีกนั่นแหละ วิวที่โดดเด่นเลยก็คือ เราจะเห็นพลับพลาที่ประทับต้องกับแสงตะวันที่ลอดมาจากรูบนเพดานถ้ำ มองดูแล้วเหมือนหลุดเข้าไปอยู่เมืองในนิทานจักรๆวงค์ๆ
ถ้ำพระยานคร ในสมัยรัชกาลที่ 1 เจ้าพระยานคร ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชได้แล่นเรือผ่านทางเขาสามร้อยยอด และเกิดพายุใหญ่ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ จึงจอดพักเรือหลบพายุที่ชายหาดแห่งนี้เป็นเวลาหลายวัน และได้สร้างบ่อน้ำเพื่อใช้ดื่ม เรียกว่า "บ่อพระยานคร" "ถ้ำพระยานคร" เป็นถ้ำขนาดใหญ่ บนเพดานถ้ำมีปล่องให้แสงสว่างลอดเข้ามาได้ จุดเด่นของถ้ำแห่งนี้ คือ " พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์" เป็นพลับพลา แบบจตุรมุข สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2433 เป็นฝีพระหัตถ์ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ ทรงสร้างขึ้นในกรุงเทพฯ แล้วส่งมาประกอบทีหลังโดยให้พระยาชลยุทธโยธินเป็นนายงานก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมายกช่อฟ้าด้วยพระองค์เอง พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์นับเป็น จุดเด่นของถ้ำพระยานคร และเป็นตราประจำ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน


พวกเรานัดกับพี่ขวัญและพี่ตุ๊กพ่อแม่งานนี้ที่แถวๆหน้าหมู่บ้าน เนื่องจากบ้านพวกเราอยู่ใกล้กันโดยบังเอิญ เราสองคนออกจากบ้านพร้อมข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ซื้อจากแม่ที่หน้าบ้าน ไม่ได้บอกแม่สักนิดว่าจะไปขึ้นเขาปีนเขา บอกแต่ว่าไปกินปิ้งย้างตั้งแคมป์ริมทะเล รู้สึกว่าการโกหกแม่ว่าไปไหน ไปทำอะไรจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วและคิดว่าแม่ก็จับไต๋ได้แล้วเหมือนกันจนบางทีก็คิดอยากออกไปใช้ชีวิตแบบสมัยทำงานในกรุงเทพเช่าคอนโดอยู่กับเพื่อน จะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องบอกใคร ถ้าไม่มีใครรู้ก็ไม่มีใครเป็นห่วง
ทำ MP3 พังตั้งแต่กลับจากพม่า เพราะลืมทิ้งไว้ในเสื้อกันลมสีฟ้าแล้วเสื้อก็ถูกเอาไปซัก  น่าเสียดายพึ่งซื้อมาใช้แท้ๆ ก็เลยต้องใช้ไอพอตทัชฟังเพลงแทน ทั้งๆที่หน้าที่หลักของไอพอตทัชคือมีไว้ถ่ายรูป และเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต พอเอามาใช้เกินหน้าที่เยอะก็ทำให้แบตหมดเร็ว ถึงยังงั้นเราก็แทบไม่ได้ใช้ไอพอตทัชฟังเพลง เพราะว่าระหว่างเดินทางก็แทบจะหลับตลอดทาง รู้สึกเกรงใจคนชับรถนิดๆที่ต้องขับรถคนเดียว แต่พอมองไปที่พี่ตุ๊กภรรยาของพี่ขวัญที่นั่งคู่กันอยู่ด้านหน้าก็หลับเหมือนกัน  ก็เลยหลับด้วยเลย
จากกรุงเทพมุ่งไปเส้นถนนพระราม 2 ถึงมหาชัยรถติดมากๆ อีกไม่กี่วันเราก็ต้องมาใช้ชีวิตที่มหาชัย จังหวัดสมุทสาครแล้ว พอมองดูถนนหนทางแล้วก็ใจหาย เราพึ่งบ่นเรื่องอยากออกไปอยู่ข้างนอกเพราะจะได้เที่ยวได้สบาย แต่การออกจากบ้านคราวนี้ไม่เหมือนที่เคยอยู่กรุงเทพ เพราะสมัยนั้นเราอาศัยอยู่กับเพื่อน แต่ครั้งนี้เราต้องอยู่คนเดียว นึกแล้วก็ใจหายแว๊บ ทีแรกพวกเราตั้งใจจะหาซื้ออาหารทะเลที่มหาชัยเพื่อเก็บไว้กินกันคืนนี้ที่แคมป์ แต่ก็ขับรถเลยไปตั้งใจใหม่ว่าเดี๋ยวไปหาซื้อที่ประจวบก็ได้ แต่พอถึงประจวบพวกเราก็ไม่สามารถซื้ออาหารทะเลสดได้ เพราะตลาดนั้นปิดหมดแล้ว

วนไปวนมาหาซื้อของสดและอุปกรณ์ทำอาหาร กว่าจะถึงก็กินเวลาเข้าไปถึงช่วงบ่ายโมงกว่าๆแล้ว ซึ่งทำให้พวกเราพลาดช่วงไฮไลท์ของถ้ำพระยานครก็คือ ช่วงลำแสงยามเที่ยงลอดช่องเพดานลงสู่พระที่นั่งฯ ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือ 10.30-11.30 น. นั่นเอง ความจริงพวกเราก็ไม่รู้เวลาที่แน่นอนด้วย หากันในอินเตอร์เน็ตตอนออกเดินทางนั่นแหละ
เราไม่มีข้อมูลการเที่ยวถ้ำพระยานครในหัวเลย เราตามคนอื่นมา การที่จะไปถ้ำพระยานครได้มี 2 ทางคือ ทางบก และทางน้ำ ทางบกก็เดินข้ามเขาเทียน (ระยะทาง 530เมตร) ทางน้ำก็นั่งเรือไป  โดยเช่าเรือจากหมู่บ้านบางปูราคาประมาณ 300 บาทต่อลำ นั่งได้ประมาณ 7 – 8 คน แล้วแต่จะเลือกว่าไปทางไหนเดินไปก็ประหยัดดี แต่แน่ๆทุกคนต้องเสียค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท กลุ่มพวกเราเลือกเดินไปแทนการนั่งเรือ ทางเดินนั้นเป็นทางเดินริมเขาที่มีการทำทางเดินเป็นขั้นบันไดไว้ ถือว่าไม่ลำบาก ตลอดทางมีต้นกระบองเพชรเยอะมาก และเราสามารถเห็นวิวทะเลได้ตลอดทาง และได้ยินเสียงเครื่องยนตร์เรือยาวของกลุ่มที่เดินทางโดยเรือ ได้ยินเสียงเครื่องยนตร์ร้องแตกๆๆๆ แตกๆๆๆ พลันคิดอัปมงคลว่ามันร้องว่า เรือแตกๆๆ
เมื่อถึงจุดสิ้นสุดทางเดินมีป้ายบอกว่า สุขภาพของท่านยังแข็งแรงดีอยู่ เบื้องหน้าเป็นชายหาดและต้นสนที่ตั้งเรียงราย ทีแรกเราคิดว่าจบจากตรงนี้ก็คงถึงถ้ำเลย ความจริงคือพวกเราต้องเดินไปต่อ เหมือนกับผู้ที่มาทางเรือนั่นแหละ ทางที่พวกเรามามันแค่ทางสู่ทางเดินไปถ้ำก็เท่านั้นเอง จากนี้จะต้องเดินขึ้นเขาหินปูนไปอีก 430เมตร ลักษณะการเดินจะลำบากกว่าตอนแรกเพราะไต่ความสูงไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ถือว่าหนักหนาเท่าไรทางนั้นก็เป็นหินที่เรียงตัวเป็นขึ้นบันได แต่ลักษณะของเขาหินปูนหินมันจะไม่เรียบ จะแหลมๆ เวลาเดินต้องใช้ความระมัดระวังนิดนึง
ยินดีด้วย คุณได้ไปต่อครับ
บริเวณหน้าหาดก่อนทางขึ้นสู่ภูเขาหินปูน มีร้านขายอาหารขายน้ำ และห้องน้ำด้วยนะ
ก่อนจะขึ้นไปสู่ทางไปถ้ำพระยานคร พวกเราซื้อน้ำแข็งมาไว้คนละถุงเนื่องจากอากาศร้อนมากและอยากดื่มน้ำเย็น  กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวถ้ำพระยานครมีทั้ง วัยรุ่นๆมากันแบบกลุ่มเพื่อน มาแบบครอบครัวมีพ่อแม่ลูก มีชาวต่างชาติ หน้าทางขึ้นเขากลุ่มที่ลงมาแล้วต่างก็พูดให้กำลังใจ หรือแซวเล่นๆว่าไม่ไกล นิดเดียวเอง เราเห็นแม่ลูกคู่หนึ่ง ซึ่งทางด้านคุณแม่อายุเยอะมากแล้ว ไม่รู้จะไหวมั้ยแต่ช่วงแรกก็ขึ้นไปพร้อมเราก่อน เรากับใหม่ตอนแรกก็อยู่กับกลุ่ม แต่พอเดินเข้าสเต๊ปตัวเองก็ทิ้งห่างพี่ขวัญและพี่ตุ๊กไปเลย ขึ้นมาได้สักพักก็คุยกับใหม่ว่า  2แม่ลูกนั้นคนแม่ไม่น่าจะมาได้นะ เพราะว่าแม้แต่หนุ่มๆสาวๆที่ดูฟิตปั๋งก็ยังนั่งหายใจหอบกันเลย ซึ่งก็ทราบมาจากพี่ขวัญว่า คุณแม่ท่านนั้นเดินขึ้นมาได้นิดหน่อย ก็เดินกลับเลยให้ลูกสาวไปคนเดียว
อากาศร้อนมากโชคดีที่ใส่ขาสั้นมา คุณบัดดี้ดันใส่ขายาว แล้วก็มาบ่นว่าร้อน ว่าอึดอัด เราว่าความร้อนนี่เป็นตัวบ่นทอนแรงได้ดีจริงๆ เราเห็นวัยรุ่นบางคนใส่กางเกงยีนส์มานั่งหอบอยู่ข้างทางเห็นแล้วก็ร้อนแทน

รู้สึกภูมิใจกับตัวเองว่ะ คือถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเราหอบแหกๆแล้วนะ
นั่นสิ นี่แรงโยยู(แปลว่าเหลือเฟือ)มากเลย
ถึงใครจะบอกว่าพวกเราเป็นประเภทอ่อนต่อโลก ก็ไม่สนใจอะ คนเรามีทางเลือกชีวิตต่างกัน ใครล่ะที่อายุจะ 30แล้วแต่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เงินหมดไปกับการเข้าผับกินเหล้า

เอาจริงนะ ถ้าอยากกินเหล้าให้ลืมชีวิต ให้ลืมอะไรสักอย่าง ทำไมมันไม่ใช้ชีวิตให้ไม่อยากลืมวะ ใช้ชีวิตให้ทุกวันมันน่าจดจำ

บทสนทนาหลักๆที่คุยกับบัดดี้ระหว่างทาง คงหนีไม่พ้นการพร่ำถึงความรู้สึกภูมิใจตัวเองในหลายเรื่อง อย่างเรื่องที่เดินแล้วไม่เหนื่อย เดินแล้วไม่ปวดขา ทั้งๆที่เมื่อก่อนจะต้องปวดขาปวดหลังและเหนื่อยมากๆ เหมือนตอนไปเที่ยวภูเขามาร์เบิล (Marble Mountains) ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ภูเขามาร์เบิล เป็นภูเขาหินอ่อนที่ในอดีตเคยใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวจาม  เดินขึ้นบันได 100 ขั้นแล้วค่อยๆเดินเข้าไปในภูเขาที่ได้เห็นวัด เจดีย์ 7ชั้น รูปปั้นพระโพธิสัตย์ เจ้าแม่กวนอิม แลดูคล้ายหลุดเข้ามาในนิยายเรื่องวีรบุรุษแหงเขาเหลียงซาน(ไม่เคยไปหรอก แต่ตอนนั้นบ่นๆไว้แบบนี้)ตื่นเต้นสุดๆ เหมือนได้รับพลังอะไรบางอย่างจากที่นั่น

เป็นการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกๆของพวกเรา พวกเราแวะไปที่ภูเขามาร์เบิลเพื่อฆ่าเวลารอขึ้นเครื่องเนื่องจากเรื่องบินดีเลย์ ตอนนั้นเหนื่อย เมื่อย ปวดขามากๆ มันก็ผ่านมาราวๆ 3 ปีแล้ว เราเริ่มออกกำลังกาย เล่นกล้ามเนื้อ และเลิกปาร์ตี้แบบจริงๆจังๆ จากเมื่อก่อนที่ไม่ออกกำลังกาย เอาแต่ปาร์ตี้ กินเหล้า แถมด้วยทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ กลายมาเป็นคนไม่(ค่อย)นอนดึก ออกกำลังกาย และที่สำคัญแทบไม่ปาร์ตี้เลย มีรุ่นน้องในที่ทำงานหลายคนมักจะบอกว่าเราอ่อน(ต่อโลก) ซึ่งเราก็ไม่อยากจะบอกว่าเราผ่านสิ่งนั้นมาแล้ว มันคุ้มมั้ย ตอบเลยว่ามันคุ้มมากกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่
เราใช้เวลาราวๆ 25 นาทีก็มาถึงหน้ำทางเข้าถ้ำ อาจจะเพราะเหงื่อที่แตกตลอดทางพอมาเจอกับความเย็นแค่วูบเดียวยังไม่ต้องเข้าถ้ำเราก็ขนลุกแล้ว อากาศเย็นมากๆ รอพี่ขวัญและพีตุ๊กสักพัก ไม่เห็นวี่แววว่าจะมาถึงก็เลยเดินเข้าไปเที่ยวกันก่อน
ถ้ำพระยานครนั้นภายในถ้ำมีหลายคูหา มีหินงอกหินย้อยที่หยดย้อยลงมาเป็นรูปร่างต่างๆ เดินลงเข้าไปเจอน้ำตกแห้ง เป็นหินงอกหินย้อย ที่ถูกกัดเซาะผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน แลดูเหมือนม่านน้ำตก ดูแล้วก็คิดว่าสมัยก่อนตรงนี้อาจจะเป็นน้ำตกจริงๆก็เป็นได้
หลังจากลงเข้าไปในถ้ำจะยังไม่เห็นตัวพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์เลย ต้องเดินเข้าไปอีกคูหา แต่ก่อนจะเข้าไปเราจะเจอ สะพานมรณะ” ก่อน สะพานมรณะนี่ถ้าเอาไปกูเกิ้ลดูแล้ว อาจจะเห็นเป็นรูปรถไฟสายมรณะที่จังหวัดกาญจนบุรีแทน ซึ่งสะพานมรณะ (ชื่อน่ากลัว) นั้นก็คือโพรงเพดานถ้ำ 2รูที่มีหินพาดเชื่อมอยู่นั่นเอง ลองเงยหน้ามองดูสิ
หลังจากถ่ายรูปเก๋ไก๋หอมปากหอมคอแล้ว ก็เดินต่อเข้าไปข้างในเพื่อไปชมพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ต่อ ทางเดินเข้าไปมืดมากๆต้องใช้ไฟฉายช่วยส่องนำ อากาศข้างในถ้ำผิดกับอากาศด้านนอก เย็นยะเยือกสุดๆ (บ่นๆ) ตอนค่อยๆเดินเข้าไป ก็จินตนาการถึงสิ่งที่น่าจะเป็น น่าจะได้เห็นภายในถ้ำนั้น บรรยากาศของภูเขามาร์เบิลที่ดานังลอยผ่านเข้าหัวมาซ้อนกับวิวที่อยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งที่เท่าไรที่เราเคยเข้าถ้ำกันเนี่ย กลิ่นขี้ค้างคาวเหม็นฟุ้ง ในที่สุดก็มองเห็นพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์แล้ว….
นอกจากรัชกาลที่ 5 แล้ว ก็ยังมีพระมหากษัตริย์อีกสองพระองค์ที่ได้เสด็จประพาสถ้ำพระยานคร ด้วยเช่นกัน นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยย่อ ป.ป.ร. เมื่อครั้งเสด็จประพาสถ้ำนี้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2469 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จประพาสถ้ำพระยานครสองครั้ง เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2501 และวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2524
ในช่วงบ่าย 2 กว่านี้ แน่นอนว่าพวกเราอดเห็นพระอาทิตย์ลอดเข้ามาส่องตัวพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์แต่ก็ไม่เป็นไร พวกเราก็ยังได้นึกคิดซึมซับความเป็นมาของพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์กันอยู่ดี นึกๆแล้วสมัยก่อนก็มีงานแบบน็อคดาวน์ด้วยเหมือนกันหรือนี่

เดินเล่นไปมาในถ้ำ สังเกตุเห็นจุดดำๆเต็มถ้ำ ก็นึกแปลกใจพอเข้าไปดูใกล้ๆถึงได้รู้ว่า เป็นน้ำหยดลงมา ในน้ำนั้นมีส่วนประกอบของหินปูน ซึ่งก็คือกระบวนการก่อเกิดหินงอกนั้นเอง ต้องใช้เวลานานมากๆกว่าจะงอกยาวเป็นรูปร่างเพราะในปีนึงยาวขึ้นไม่ถึงมิลลิเมตรเลย 
อย่าเดินเข้าไปเหยียบเชียวนะ
พวกเราเดินเที่ยวภายในถ้ำกันราวๆชั่วโมงนึงก่อนพากันออกจากถ้ำ จริงๆไม่ได้กะเกณฑ์ไว้ว่าจะต้องออกจากถ้ำเมื่อไร ต้องถึงที่นั่นที่นี่เมื่อไร แต่ถ้าไม่ออกไปจะไม่ได้ซื้ออาหารทะเล (ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหน) บริเวณหน้าหาดมีห้องอาบน้ำห้องน้ำให้ล้างตัวกันด้วยนะ 
มุ่งหน้าสู่หาดนวกร ไม่รู้ไปยังไงทางเป็นยังไง รู้แค่หลับแทบจะตลอดทาง ง่วงมาก ไม่เหนื่อยแต่ก็เสียแรงเสียเหงื่อเยอะจริงๆ บนรถหลับกันสนิทเว้นพี่ขวัญที่ขับรถ มีบ้างเวลาตื่นขึ้นมามองดูข้างทางที่แทบจะไม่มีภูเขาให้เห็น มีหลายช่วงที่ผ่านภูเขาหินปูนที่มีฝูงลิงออกันอยู่เต็มข้างทาง
นี่กางเตนท์เองครั้งแรกจ้า !! ทางอุทยานมีค่าเข้ามานอนกางเตนท์คนละ 30บาท
ถึงหาดนวกรเกือบหกโมงเย็น พวกเรารีบจัดการกางเตนท์และเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร จุดเตาปิ้งย่าง โดยเตาถ่านนั้นเราเช่าจากร้านค้าสวัสดิการ และอาหารทะเลที่เราจะปิ้งย่างกัน มีกุ้งและปลาหมึกที่ซื้อมาจากบริเวณหน้าทางเข้าหาดตอนเดินทางออกจากถ้ำพระยานครนั่นแหละ(แต่เสียดายกุ้งตัวใหญ่พึ่งหมดได้มาแต่ตัวเล็กๆ) นอกจากกุ้งและปลาหมึกที่เราจะย่างกินกันเองแล้วพวกเราก็สั่งอาหารจากร้านค้าสวัสดิการเพิ่มด้วย ต้มยำไก่ ยำวุ้นเส้น ผัดผัก จัดเต็มมากๆ
กางเตนท์เตรียมอุปกรณ์ สั่งอาหารเสร็จพวกเราก็ได้ปิ้งย่างกันในความมืดเลย ในขณะที่เตนท์อื่นๆเตรียมตัวชิลนอนชมดาวแล้ว พวกเรากำลังทำความสะอาดปลาหมึกกันอยู่เลย มีเสียงตุ๊กแกร้องทักเป็นระยะๆ

นอกจากเตาถ่านที่เช่ามาแล้ว เราก็มีเตาแก๊สพกพามาใช้กันเอง เราใช้เตานั้นมาช่วยทุ่นเวลาในการย่างกุ้งย่างปลาหมึกโดยการเอาปลาหมึกและกุ้งมาลวกก่อนที่จะปิ้ง (กลัวไม่สุกด้วยเพราะมองไม่ค่อยเห็น)“ ทำไม ไม่ลวกไปเล๊ย บางทีก็คิดแบบนี้ แต่ว่าพอได้กลิ่นไหม้ของหนวดกุ้งมันก็รู้สึกได้บรรยากาศดีนะ
แสงสีเขียวจากไฟของเรือไดหมึก
ถ่ายรูปเล่น
จบมื้อเย็นกันแบบอิ่มพุงกาง พูดจากันไม่ออก กางเตนท์หน้าร้อนริมทะเลร้อนกว่าที่คิดมาก พวกเราแยกย้ายกันไปอาบน้ำหลังจากเก็บของล้างจานเสร็จ พีขวัญและพี่ตุ๊กไม่ยอมนอนในเตนท์เพราะว่าอากาศร้อนมาก แต่เรากลัวตุ๊กแกที่ไม่รู้ว่าร้องอยู่ตรงไหนมากกว่า ก็เลยขอนอนในเตนท์ดีกว่า เราพกหนังสือมาอ่านด้วย 1เล่มคือเรื่อง “'Annapurna ระหว่างทาง ระหว่างดาวแต่อิ่มแล้วก็ง่วงนอนมาก หลังจากถ่ายรูปในเตนท์เล่นก็นอนเลย (อยากถ่ายดาวมากๆ แต่โกรโปรถ่ายไม่ติดเลย)

การกางเตนท์นอนริมทะเลครั้งแรกนั้นร้อนผิดคาดจริงๆ เรานึกว่าจะมีลมพัดเข้าสักนิด กลายเป็นว่าลมเงียบกริบ แต่ก็ร้อนแค่ช่วงแรกๆเพราะพอหลับไปแล้วก็หลับสนิทเลย ตื่นเช้ามาแบบรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ รู้สึกอยากนอนต่อนิดหน่อย แต่ต้องออกจากหาดแห่งนี้ในเวลาประมาณ 7.30 ก่อนจะต้องรีบออกเดินทางไปเขาล้อมหมวกต่อ เรารีบสลัดความขี้เกียจออกเดินเล่นริมทะเลกับเขาบ้าง พี่ขวัญกับพี่ตุ๊กออกไปเดินเล่นกันแล้ว
การไปเที่ยวเดินขึ้นพิชิตเขาล้อมหมวก ในกองบิน 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทราบว่าตอนนี้ไม่สามารถไปได้ทุกวัน แต่เปิดให้ขึ้นได้ในวันหยุดยาวที่มีวันหยุดต่อเนื่อง 3วัน และยังกำหนดเวลา ได้เฉพาะช่วง 06.00-12.00 น. และต้องมาลงทะเบียนให้ทันก่อนเวลา 10.30 น. ตอนแรกก็พากันหลงทางนิดหน่อย หลงกันในกองบินนั่นแหละค่ะ แต่สุดท้ายก็ไปถึงมีเวลาให้เข้าห้องน้ำห้องท่ายืดเส้นยืดสายกันก่อนขึ้นด้วย
จะขึ้นไปชมวิวอ่าวบนนั้นจ้า สูงจากระดับน้ำทะเล 300เมตร
ก่อนขึ้นจะต้องลงทะเบียนที่หน้าทางขึ้นกับเจ้าหน้าที่กันก่อน มีหน่วยปฐมพยาบาลและซุ้มขายนน้ำเล็กๆน้อยๆ มีคนแซวว่าข้างบนมีเซเว่นด้วย อย่าไปเชื่อ ซื้อน้ำและขนมผลไม้เตรียมตัวไปให้พร้อม
ทางเดินช่วงแรกจะเป็นบันไดก่อน นรกแตกมากจ้า !! บันไดเป็นส่วนที่ต้องยอมหมอบร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว ไม่ถนัดเป็นที่สุด แต่ถึงยังงั้นก็เดินขึ้นไปได้เรื่อยๆ พร้อมสังเกตดูว่า กล้ามเนื้อส่วนไหนที่ยังไม่ค่อยโอเค ยังไม่แข็งแรงจะได้กลับบ้านไปเทรนนิ่งใหม่
เหมือนกำลังไปจ่ายตลาด
ค่างแว่น ตั้งชื่อให้ว่าพี่นวล เพราะหน้าเหมือนแมวที่บ้านที่ชื่อพี่นวล
ผ่านช่วงบันไดไปจะเป็นการปีนที่แท้จริง ซึ่งต้องปีนป่ายกันจริงๆไม่ใช่แค่ไต่ระดับเดินธรรมดา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทางกองบินบังคับให้ใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้ามีส้นขึ้น แต่ระหว่างเดินในใจคิดเลยว่า แค่ผ้าใบมันไม่พอคร๊าบ ภูเขาหินปูนหินมันแหลมมากทิ่มเอาทิ่มเอาเลย ก่อนมาพี่อุ้ยที่ไปทริปคินาบาลูบอกในไลน์กลุ่มว่า สนุก มันส์มากๆ “ และพี่หนูที่พึ่งขึ้นเมื่อวานนี้ ก็มาต่อท้าย สนับสนุน แนวคิดนี้ สำหรับเรา ผ่านทั้งคินาบาลู ผ่านทั้งรินจานีมาแล้ว ภูเขาสูง300เมตรนี่เด็กๆค่ะ (คิดในใจ)
แต่ปล๊าววววว หนทางไม่ได้ง่ายแบบที่คิดไว้ก่อนเลยจ้า (ถึงจะไม่ได้ยาก แค่รู้สึกผิดจากที่คิด)  ยิ่งสูงทางจะยิ่งชันทางแคบ และวันนั้นคนเยอะมาก ทั้งลงทั้งขึ้นทำให้ต้องยืนรอต่อคิวกันหลายจุด บางจุดก็นานมากอากาศก็ร้อน มองไปข้างๆวัยรุ่นหลายคนนั่งดมยาดมกัน

มันไม่ได้สบายแบบที่คิด แต่คำว่า มันส์มาก นั้นออกจากมันส์เกินกว่าที่คิดไปเยอะ การปีนเขาล้อมหมวกถ้าไม่มองในแง่ความสูง เรามองถึงเทคนิคหรือสกิลที่ใช้ในการปีน เราว่าคินาบาลูไม่มีจุดไหนที่ต้องปีนและทุ่มสุดตัวเท่าเขาล้อมหมวกเลย (เดินขึ้นเรื่อยๆทางมันทำไว้ดีแล้ว สายชอบความผาดโผนอาจจะเฉยๆกับคินาบาลู) แต่รินจานีนั้นยังใช้หลายทักษะแล้วก็ปีนยากอยู่ แล้วถ้ามองในแง่สภาพพื้นที่ปีน หรือเดิน ลักษณะความลำบากของสภาพภูเขา รินจานี ขึ้นชื่อว่า(สวยโหด) และคินาบาลู (ขึ้นชื่อว่าสูง) นั้นตัองหลบให้เขาล้อมหมวกไปเลย เพราะเขาล้อมหมวกเป็นหินปูน อย่างที่บอกหินคมมากๆ ยิ่งขาลงเวลาต้องนั่งสไลด์ลงทำให้กางเกงตูดขาดได้เลยทีเดียว (กลับมากางเกงเป็นรูเลย) แต่เพราะว่าเป็นหินปูนทำให้หินนั้นมีร่องเยอะ ทำให้สามารถเกาะร่องปีนขึ้นไปได้สบายๆ ถ้าพกถุงมือไปกันด้วยจะช่วยได้เยอะ
จุดถ่ายรูปยอดฮิต
ขึ้นต่อให้ถึงยอด หลบทางเชือกมาเพราะคนลงเยอะมาก ต่อคิวรอไม่ไหว
เรากับบัดดี้เดินขึ้นคู่กันตลอด คลาดกับพี่ขวัญและพี่ตุ๊กไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ปีนไปถ่ายรูปไปถึงยอดโดยใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง บนยอดนั้นมีนักท่องเที่ยวอยู่ข้างบนเยอะพอสมควร มีที่ให้หลบแดดก็ศาลาไหว้พระแล้วก็ซุ้มหลังคาสังกะสีเรือนเล็กๆ เดินสำรวจพื้นที่ไปเห็นจุดที่คนเข้าไปถ่ายรูปกัน ก็เลยเดินฝ่าเข้าไปถ่ายด้วย ตรงนั้นก็พากันต่อคิวรอถ่ายวิวกัน แต่เราไม่ได้ถ่ายเสียที เพราะมีคู่รักคู่นึงกำลังถ่ายรูปโดยไม่เกรงใจว่ามีคนอื่นกำลังรออยู่ เราและคนที่ต่อคิวก็พยายามยืนกดดัน แต่ผู้สาวก็นั่งบิด นั่งเอียงคอถ่ายรูปไม่สนใจใครอยู่ดี เราและคนอื่นๆเลยล้มเลิกความตั้งใจ หันไปถ่ายมุมอื่นแทน
เจ้าหน้าที่บอกว่า พี่มันสายแข็งนี่หว่า สายแข็งอะไรกัน
ใครบางคนอาจจะคิดว่า มาถึงนี่แล้วทั้งที จะถ่ายรูปจะอะไรไม่ทีใครว่า แต่ในช่วงเทศกาลคนเยอะขนาดนี้ ก็ควรจะมองคนรอบข้างบ้าง ว่าเขาก็อยากถ่ายรูปเหมือนกัน โดยเฉพาะวิวยอดฮิต

ตอนเรากำลังตั้งใจไปนั่งรอพี่ขวัญที่ศาลาสังกะสี พี่ขวัญก็ขึ้นมาพอดี ก็เลยลากใหม่ไปถ่ายรูปเล่นต่อ ขาลงใช้เวลาไวยิ่งกว่าความแรงของอินเตอร์เน็ตเจ้าไหนๆ ใช้เวลาราวๆ 20-23 นาที แทบจะวิ่งหน้าทิ่มลงไป
ถึงแล้ว
ซื้อสปอนเซอร์ไปนั่งดื่มริมทะเล ลมแรงมาก
หลังจากลงมาถึงจุดลงทะเบียน ไม่รอช้าที่จะซื้อน้ำดื่มเย็นๆและสปอนเซอร์มาดื่มเติมพลัง ทุกคนหน้าแดงแจ๋เนื่องจากแดดเผาหน้ากันเต็มๆ รู้สึกเลือดลมเดินดีมากๆ พักกันได้แป๊บเดียวก็รีบออกไปหาอะไรกินก่อนเลย เพราะหิวมากแล้ว แถมต้องรีบกลับด้วยเดี๋ยวจะดึกเกินไปไม่ได้พักผ่อน
ก่อนกิน (เมนูยังไม่ครบนะเนี่ย) กุ้งตัวใหญ่ฟินมากๆ
ผ่านไปแป๊บเดียว
ร้านอาหารริมทะเล ออกมาจากกองบินนิดเดียว วิ่งเส้นเลียบทะเลมาเลย พวกเราถามหาที่อาบน้ำบริเวณนี้ปรากฏว่าไม่มีพ่อค้ากาแฟโบราณบอกว่า ถ้าจะอาบน้ำให้เข้าไปอ่าวมะนาวจะดีกว่า พวกเราจึงขับรถเข้าไปอาบน้ำที่อ่าวมะนาวกันกินอิ่มบวกกับความเหนื่อยทำให้หลับตลอดเวลาทั้งๆที่ช่วงเวลารถติดในอ่าวมะนาวนิดเดียว แต่หลับลึกมาก

และต่อให้อาบน้ำเสร็จกินกาแฟจนชื่นใจ ก็ไม่ได้ทำให้ความง่วงนั้นหายไปเลย ในใจขอโทษพี่ขวัญที่ลำบากขับรถคนเดียวอยู่ลึกๆ แต่ก็ขอนอนดีกว่า...ไว้ขับรถเป็นจะช่วยเปลี่ยนตัวให้คร๊าบ
ได้ออกมาข้างนอกบ้าง รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ ช่วงที่ไม่ได้ทำงานก็อยู่คนเดียวไม่มีคนให้คุยด้วย พอได้ออกมาทำกิจกรรมกับคนอื่นก็รู้สึกเหมือนได้เติมพลังสกิลสังคมที่ลดหายไป กลับมาก็ยังคิดถึงตัวเองหลายๆอย่าง งานใหม่ ชีวิตใหม่ ไม่รู้จะเป็นยังไง อีกทั้งการกระทำของตัวเองช่วงตัดสินใจลาออกจากงาน ช่วงที่เคว้งคว้าง อีก 10ปีข้างหน้า ถ้าเรากลับมาอ่านไดอรี่นี้อีกครั้ง เราจะรู้สึกขอบคุณตัวเอง หรือจะพูดกับตัวเองว่า "ไม่น่าออกจากงานเลย"

แต่คำว่า "ไม่น่าเลย" มันก็มีหลายแบบที่น่าจะพูดถึง เพราะการออกจากงาน มันก็ได้อย่างเสียอย่าง บางครั้งอาจจะได้เงิน แต่เสียความสนุก แต่บางครั้งอาจจะสนุกและได้เงิน แต่กลับยุ่งมากจนไม่มีเวลาให้ตัวเอง ตอนที่เราออกจากงานด้านสื่อมวลชน เราก็เสียไปเยอะมาก ทั้งงานที่ชอบงานที่สนุก สังคม แต่เราก็ได้อย่างอื่นตอบแทนมา อยู่ที่ว่าตอนนั้นเราเลือกที่จะเสียอะไรและอยากได้อะไรมากกว่า
(จากประสบการณ์ออกจากงาน 2 ครั้ง) 

แต่ชีวิตหลังจากออกจากงานเหงามากจริงๆ จริงๆ ไม่ต้องรอถึงตอนที่ออกมาแล้ว คิดแล้วก็คิดอีกถึงตอนบอกลาออกจากงานแล้วไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว คิดถึงตอนที่บอสใหญ่รู้ข่าวแล้วต่างคนต่างไม่พูดกันแต่นั่งน้ำตาไหลด้วยกัน นี่ยังคิดถึงที่เก่าอยู่เลย

จบทริปด้วยความอิ่มเอมใจพร้อมกับทริปใหม่ที่จะไปด้วยกันก็คือ ปีนภูเขาไฟฟูจิ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะไปด้วยได้มั้ยแต่คนอื่นซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว แต่ที่แน่ๆอาทิตย์หน้าพี่เมจะออกไปเที่ยวเขา ผาหินกูบ จังหวัดจันทบุรี (คนเดียว แต่ไม่เดี่ยว) ใช้ชีวิตให้รู้สึกอยากจำมันทุกวัน และไม่มาคิดว่า  "ไม่น่าเลย" ดีกว่า


ความทรงจำเมื่อวันที่ 1-2 พฤษภาคม 2559 
ทริปผาหินกูบ จะบอกพ่อแม่ว่าไปไหนดี ??
ยาวและเวิ่นเว้อมาก
by Mei


You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images