เอาเงินไปละลายน้ำ อยากเจอฉลามวาฬ... เรื่องราววันปิดซีซั่นอ่าวไทย!

มีเรื่องน่าขำบางเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่เราคุยกับน้องฝึกงานที่ใกล้จะจบการฝึกงานในอีกไม่กี่วันนี้  น้องพูดถึงว่าจากนี้ก็ต้องเข้าสู่ชีว...




มีเรื่องน่าขำบางเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่เราคุยกับน้องฝึกงานที่ใกล้จะจบการฝึกงานในอีกไม่กี่วันนี้  น้องพูดถึงว่าจากนี้ก็ต้องเข้าสู่ชีวิตจริงแล้วต้องทำงานแล้ว เราบอกกับน้องๆว่า ตอนนี้มีถ้าอยากเที่ยวก็เที่ยวซะนะ (ถ้าอยากนะ ไม่อยากก็แล้วแต่) ทำงานแล้วเราต้องทำงาน จะไม่ได้เที่ยว น่าตลกตรงที่พวกเราพูดพร้อมกันว่า ตอนเรียนอยากเที่ยว มีเวลาแต่ไม่มีเงิน แต่พอทำงานแล้ว มีเงินกลับไม่มีเวลา

สำหรับคนที่ผ่านช่วงทั้งมีเวลาเที่ยวแต่ไม่มีเงิน กับมีเงินแต่ไม่มีเวลามาแล้วอย่างเรา ก็อดที่จะไม่รู้สึกขำความเป็นจริงข้อนี้ได้ ตอนนี้เราทำงานหยุดวันอาทิตย์และจันทร์ เจ้านายบอกว่าเราสามารถหยุดเมื่อไรก็ได้ ขอแค่บอกเขาเพราะเราทำงานคนเดียวก็ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือเขาต้องทดแทนให้เราที่บางทีวันหยุดก็ต้องทำงานหรือบางทีต้องทำงานเช้าเลิกดึก แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เราก็ไม่กล้าหยุดตามใจอะไรแบบนั้นนั่นเป็นปัญหาส่วนหนึ่ง

ในกรุ๊บคุยในแมสซสเฟสบุคของกรุ๊ปปีนเขา มักจะมีการพูดคุยเรื่องจะไปปีนเขากันเมื่อไร ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ไปได้วันเสาร์-อาทิตย์ แต่เราไม่เคยไปได้เลยเพราะเราดันหยุดอาทิตย์จันทร์อย่างที่บอกไว้ทำให้ล่าสุดเราพลาดโอกาสทริปดอยหลวงเชียงดาวไปแม้แต่กับบัดดี้เราก็ไปไหนด้วยไม่ได้ มีงานมีเงินแต่ไม่มีเวลาเที่ยว เศร้าแพร๊บ

เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา บัดดี้ได้หยุดงานเสาร์-จันทร์ (ในวันที่ 23-24 ตุลาคม) ซึ่งเป็นโอกาสดีที่พวกเราได้มีวันหยุดทีตรงกัน 2 วัน ได้คุยกันว่าพวกเราจะไปที่ไหนดี ตอนนั้นไม่มีอะไรที่อยากทำเท่ากับการไปดำน้ำ จึงตกลงกันว่าจะกลับไปซ่อมชุมพรกัน !! ความเดินตอนที่แล้วจากทริป เอาเงินไปละลายน้ำ อยากเจอฉลามวาฬ ลอยตัวสบายตัวสบายใจ ณ ชุมพร ที่เราไม่ค่อยได้ชมเรือหลวงปราบเท่าที่ควรเพราะเคลียร์หูไม่ได้และคลาดกับฉลามวาฬเพียง 3 วัน จึงทำให้นอกจากที่ชุมพรแล้วก็ไม่มีที่ไหนที่อยากไปอีก จึงเลือกชุมพรนี่แหละ อีกทั้งถ้านั่งรถไฟไปพวกเราสามารถได้เวลาที่ดีที่สุด

ตามแผนคือ เราเดินทางคืนวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม โดยรถไฟด่วนพิเศษ ออกจาหัวลำโพง 22.50ถึงชุมพรเช้าวันอาทิตย์เวลา 05.49.(ตามเวลาบนเว็บไซต์การรถไฟแห่งประเทศไทย) จากนั้นเราก็เดินทางไปร้านดำน้ำเพื่อดำน้ำหลังจากดำน้ำเสร็จ เราก็นั่งรถไฟกลับด้วยรถด่วนพิเศษ ออกจากชุมพร 20.41.ถึงหัวลำโพง 5.55เวลาที่ดีที่สุดก็คือ เราและบัดดี้สามารถพักผ่อนในวันจันทร์ที่หยุดอยู่บ้านได้ วันเต็มๆ

เราออกจากที่ทำงานไวกว่าเวลานิดหน่อย ถึงจะบอกว่าไวกว่าเวลาจริงๆแล้วทางบริษัทก็ไม่ได้กำหนดเวลาเข้างานให้เรา ก็เราทำงานคนเดียว เราจะไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครรู้หรอก 555 สรุปเราออกเดินทางจากที่ทำงานในมหาชัยตั้งใจจะไปศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตย์เพื่อเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติก่อน เรานั่งรถไฟจากสถานีบ้านขอมเพื่อที่จะไปวงเวียนใหญ่จะได้ต่อรถไฟฟ้าเข้าตัวเมืองกรุงเทพ ที่ๆเราทำงานอยู่มักจะได้ยินเสียงรถไฟฉึกฉักๆผ่านไปตลอด ตอนที่เราคิดว่าจะไปวงเวียนใหญ่ยังไงให้ง่ายที่สุด เราก็นึกถึงเสียงรถไฟนั้นนั่นแหละแล้วก็เช็คดูว่าจากมหาชัยสามารถนั่งรถไฟไปวงเวียนใหญ่ได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือได้ … สะดวกมากใช้เวลาราว 1ชั่วโมง 
สถานีรถไฟบ้านขอมเล็กมาก ไม่มีอะไรเลยมีแค่ศาลา ข้างๆมีร้านก๋วยเตี๋ยวและเซเว่น ตอนมาถึงแอบงงเล็กน้อยเพราะไม่มีจุดให้ซื้อตั๋วหรือซุ้มใดๆจึงถามผู้ที่มานั่งรอรถไฟเหมือนกันว่า เราจะสามารถขึ้นรถไฟได้ยังไง คำตอบก็คือ ไม่ต้องซื้อตั๋วหรืออะไร รถไฟมาจอดก็ขึ้นได้เลย
                                  
ยังมีเวลาสำหรับหาอะไรรองท้องก่อนเราจึงเข้าเซเว่นไปซื้อไส้รอกและน้ำแป๊บซี่มานั่งกินที่ชานชลา มีพี่ใหญ่(หมาตัวใหญ่) เข้ามาคลอเคลียเราเพื่อขออาหารกิน เราไม่อยากให้กิน สาวพม่าข้างๆก็เลยเอาขนมเครปหวานๆให้กิน พี่ใหญ่ไม่ยอมกินจากนั้นก็เดินมาหาเราต่อ เราก็เลยต้องแบ่งให้กิน ก็คิดว่าพี่ใหญ่คงไม่กินขนมหวาน แต่ก็คิดว่าขนาดนี้ยังเลือกกินเลยหรอ คิดไปถึงพี่จิ๋ว พี่จิ๋วชอบกินขนมมากเลย
หลังจากรถไฟเทียบชานชลา เราก็แบกเป้ใส่คอมและถุงผ้าใส่เสื้อผ้าสำหรับไปเที่ยวไปจับจองหาที่นั่ง ภาพตู้โบกี้รถไฟสีเขียวขุ่นๆหมองมัวและอากาศยามเย็นยังฝังอยู่ในหัว ทุกคนบนรถใส่เสื้อผ้าไว้ทุกข์สีดำเรายังจำได้ดี พวกเราพึ่งพบกับเหตุการณ์ที่สูญเสียที่โศกเศร้าที่สุดมา เพราะเราไม่ค่อยได้ไปที่คนเยอะๆการขึ้นรถไฟครั้งนี้ยิ่งทำให้เราประจักษ์ชัดเจนว่า เรื่องที่เราเศร้านั้นไม่ใช่ความฝัน

รถไฟก็แล่นไปฉึกๆฉักๆ พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า รถไฟเส้นนี้วิ่งติดชุมชนมากๆ และแต่ละสถานีก็จอดอยู่หน้าบ้านชาวบ้าน เป็นภาพที่ทำให้เราตกใจนิดหน่อย ถ้าไม่ระวังกิ่งไม้ก็อาจซัดเข้ามา เพลง Boulevard of broken dreams ของวง Green day ก็แล่นเข้ามาในหู

I’m walk alon, I’m walk alon … My shadow's the only one that walks beside me
My shallow heart's the only thing that's beating  

มองเห็นเงารถไฟวิ่งทับต้นไม้ตามทาง
ได้ยินเสียงรถไฟฉึกฉักๆ

ถึงวงเวียนใหญ่เร็วมากที่สำคัญคือ ไมต้องหงุดหงิดเรื่องรถติด เราตั้งใจจะเดินจากสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ไปสถานีรถไฟบีทีเอสวงเวียนใหญ่ จะไปสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ให้ไปแยกไหนนะ? เราเคยนั่งรถมอไซค์จากวงเวียนใหญ่ไปสถานีรถไฟฟ้าแล้ว แต่จำไม่ได้ จึงสอบถามคนแถวนั้น ได้รับการแนะนำว่าให้นั่งมอไซค์ไปดีกว่าเพราะอยู่ไกล แต่เราเคยนั่งมอไซค์แล้วครั้งนึงตอนนั้นยังคิดว่า ถ้าเรารู้ทางก็เดินมาได้นี่นา ครั้งนี้จึงตัดสินใจไม่นั่งมอไซค์น่ะแหละ ฝนตกปรอยๆ ถนนแฉะมาก ใส่รองเท้าวิ่งคู่ใจเดินเหยียบพื้นที่แฉะแล้วแอบเสียดายรองเท้า แถมหวงและห่วงโน๊ตบุคที่อยู่ในกระเป๋า

เดินได้เดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็ถึงวงเวียนใหญ่ เรานั่งจากวงเวียนใหญ่ไปสถานีอโศกเพื่อที่จะได้เดินไปศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตย์ได้ จำได้ว่าอยู่ติดกับสวนเบญจกิติที่สมัยเรียนเวลาเรียนเสร็จก็เดินมานั่งเล่นชมวิว เหมือนกำลังระลึกความหลังอันยาวยืด จริงๆไม่คิดว่าสวนมันจะกว้างขนาดนี้เดินไกลมากและไม่มีใครเดินในบริเวณนี้เลยและจะทุ่มกว่าๆแล้วก็เลยวิ่งไปทั้งๆที่แบกคอมและถุงผ้าไว้ แต่พอไปถึงงานสัปดาห์หนังสือคนก็ออกมาหมดแล้ว พอบัดดี้มาก็เลยทำได้แค่กินข้าวเย็นในศูนย์ประชุมแทน
เลิกงานไปเลย ไม่ต้องเปลี่ยนชุด พกกระเป๋าโน๊ตบุคไปด้วย

ตัดไปที่หัวลำโพง บรรยากาศคึกคักมาก มีผู้คนมากมายมานอนมาพัก มาแจกอาหารให้สำหรับผู้ต้องการไปสนามหลวง บรรยากาศจะว่าดูชื่นมื่นก็ได้ พวกเราไปนั่งที่รอเวลาเพื่อขึ้นรถไฟตอนสี่ทุ่ม(เกือบห้าทุ่ม) พากันไปนั่งเล่นนอนเล่นที่ลานกว้างภายในหัวลำโพง รู้สึกไม่สบายทั้งคู่ แสบจมูกมีเสมหะพยายามนอนให้ได้เยอะที่สุด  พอใกล้ถึงเวลาก็รีบไปเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อยก่อน
รถไฟขบวนพิเศษติดแอร์ขบวนนี้ เปิดแอร์ได้หนาวจับจิตมาก ตั้งใจจะพยายามหลับเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นไข้ แต่เจออากาศเย็นจ่ออยู่บนหัวแถมไม่ได้นั่งคู่กับบัดดี้ทำให้นอนลำบากมาก นอนไม่ค่อยหลับตื่นทั้งคืน
ถึงชุมพรแบบตื่นขึ้นมายังเบลอๆงงๆ มีร่องรอยของฝนตกให้เห็น ก็ไปหาอะไรกินที่เฟรมเกสเฮาต์ที่เดิมพร้อมกับขอให้พี่ๆช่วยเรียกรถสองแถวที่ไปหาดทุ่งวัวแล่นให้ด้วย (คราวนี้ไม่มีตังค์เหมารถไปฮ่า ) ฝนริ่มตกปรอยๆ เราเริ่มยิ้มแฉ่ง ยังไงก็ได้น้ำไม่ต้องใสก็พอ ฮ่า
พอถึงชาวเกาะไดรฟ์วิ่งก็เตรียมจัดแจงอุปกรณ์กันอย่างรู้งาน weitsuit เลือกเบอร์ M ทั้งเราและบัดดี้สามารถใส่เบอร์ M ได้ แถมหลวมอีกต่างหาก (แค่อยากจะบอกว่าหุ่นดีขึ้น ฮ่า)  จากนั้นก็นั่งรถของชาวเกาะไปยังท่าเรือ มีพาแวะเข้าเซเว่นด้วย ก็เลยซื้อสปอนเซอร์กิน

วันนี้ไดรฟ์แรกที่พวกเราจะลงคือ
 เกาะง่ามน้อย จุดดำน้ำที่มี เรือหลวงปราบ 741” จมอยู่นั่นเอง ที่เก่าที่เดิมเพิ่มเติมคือวันนี้สบายดี น่าจะเคลียร์หูได้ไม่มีปัญหา ตั้งใจว่าอยากจะลงดำเรือหลวงปราบอีกรอบอยู่แล้วพอได้ลงก็ดีใจสิคะ ส่วนไดรฟ์ที่สอง ก็คือ กองหินแพ บนเรือตอนที่พวกเราถึงมีพี่ป๊อบเจ้าเก่าที่ว่ากันว่าเป็นตัวโชคเรื่องฉลามวาฬ สมาชิกบนเรือก็ต่างพูดแซวกันไปกันมาว่า ถ้าคนนี้มา ได้เจอแน่แต่คราวที่แล้วก็มาแต่ไม่เจอนะ ฮาๆ วันนี้มีนักเรียน Open water ภาคปฎิบัติวันสุดท้ายมาลงกับเราด้วย

ช่วงเวลาที่เรือแล่นออกจากฝั่ง พวกเราก็หลับพักผ่อนเอาแรงกันก่อนที่บนดาดฟ้าเรือ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน กลัวไม่มีแรงดำน้ำ หลังจากครูกุ้งขึ้นมาบีฟก็แสดงว่าใกล้ถึงเวลาที่พวกเราจะลงน้ำกันแล้ว ก็ลงไปเตรียมแต่งตัวกันข้างล่าง

ไต่ทุ่นกันลงไปเหมือนเดิม ห้อยโตงเตงๆ รู้ว่าลงแบบไต่ทุ่นก็ง่ายดีแต่ด้วยความที่มันลึก ก็กังวลนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ระหว่างทัวร์เรือหลวงปราบตั้งใจว่าจะถ่ายวีดีโอเก็บไว้ด้วย แต่น้ำขุ่นนิดหน่อยก็เลยรู้สึกหงุดหงิดเพราะถ่ายอะไรก็มองเห็นแต่ฝุ่นๆ แต่ก็ถือเป็นฤกษ์ดียามดีที่อาจมีโอกาสได้เห็นฉลามวาฬพี่จุดใจดีแห่งท้องทะเล พวกเราเริ่มจากตำแหน่งป้อมปืนไปที่หัวเรือก่อน เห็นแมงกระพรุนตัวใหญ่มากๆ ครูกุ้งเข้าไปถ่ายใกล้ๆก่อน จากนั้นเราก็ใจกล้าตามเข้าไปถ่ายด้วย แต่ดูรูปที่ได้มาสิ !!
ตั้งใจจะรีบอวดบนโซลเชี่ยล ตอนที่ให้น้องสาวเอารูปลงคอมให้แล้วส่งรูปมาเข้าไอโฟนเพื่อจะอัพ
เราบอกน้องสาวว่า เอารูปแมงกระพรุน น้องสาวถามว่า
ไหนแมงกระพรุนฟระ ??”
จากหัวเรือเริ่มดำไปที่ท้ายเรือ ขึ้นลงบันไดและตรงปืนกล พยายามนึกฉากตอนเปิดเรื่องของภาพยนตร์เรืองไททานิค ที่ไล่ฉายตัวเรือไปเรื่อยๆ สำรวจนูดี้หรือหอยที่เกาะตามข้างเรือ มีการแวะมุดเข้าไปในหอที่อยู่กลางเรือกันนิดหน่อย ตรงนี้เป็นจุดที่อยากเข้าไปมาก คราวที่แล้วไม่กล้าเข้าไปเพราะเห็นว่าช่องประตูมันเล็ก แถมด้วยที่เจ็บหูอีกต่างหาก คราวนี้ครูกุ้งชี้ให้เข้าไปถ่ายรูป เริ่มแรกบัดดี้เข้าไปก่อน จากนั้นเราก็เข้าไป ก่อนออกก็สำรวจเพดานนิดหน่อย แต่มันมืดมองไม่ค่อยเห็นอะไร

พอออกมาก็เริ่มสำรวจบนเรือกันอีกนิดหน่อย วันนี้ไม่ค่อยเห็นปลาหูช้าง แต่จะเจอปลาเล็กๆที่มากันเป็นฝูง ปลาก็ว่ายอยู่ใกล้ๆตัวเรา บางทีก็ขวางทางเรา แต่ถ้าเราว่ายเข้าไปเขาก็หลีกทางให้อยู่ ดูคลับคล้ายว่าเป็นปลาข้างเหลือง แต่ก็ดันไม่แน่ใจทั้งๆที่เจอปลาข้างเหลืองที่ทำงานทุกวัน แต่ที่ตรงเรือหลวงปราบนั้นตัวจะใหญ่กว่า ดำบริเวณนี้ได้ราว 20นาทีก็ดำผ่านลานทรายเพื่อไปที่ทางด้านฝั่งใต้ของเกาะง่ายน้อยกัน หวังลึกๆว่าจะได้เจอพี่จุด แต่จนแล้วจดรอดก็ไม่เจอ 

น้ำขุ่นและแรงนิดหน่อย ทำให้เท้าเป็นตะคริวเล็กน้อย พยายามตีฟินให้เบาๆ และเนื่องจากฟินหลวมนิดหน่อยทำให้ได้แผลถลอกที่เกิดจากการเสียดสีของผิวกับฟิน ขึ้นเรือด้วยความเหนื่อยเต็มที่ รีบไปพักร่างกาย ก่อนที่จะลงกันอีกครั้ง  .... ดูรูปของครูกุ้งก่อนดีกว่า อลังการเวอร์
มุดเข้าไปแพร๊บ คราวก่อนมาไม่กล้ากลัวหัวโขก
ยังกับถ่ายรูปติดบัตร
สองสาวถ่ายกับเรือหลวง
เหมือนกำลังบิน

บิน

เมื่อใกล้ถึงเวลาลงไดรฟ์ที่สอง หินแพ ก็ลงมาเตรียมตัวเหมือนเดิม แต่ก็กินไปคุยไปเกี่ยวกับเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเจอพี่จุด ไม่ทันไรก็มีสัญญาณส่งมาจากผู้สำรวจฉลามวาฬว่า มาแล้วอยู่ข้างล่าง !! พวกเราที่กำลังเมาท์แตกกันอยู่นั้น รีบใส่ชุดเวทสูทและแต่งอุปกรณ์ แต่อนิจจา ทุกคนเตรียมลงน้ำแล้ว ปรากฏว่าเราดันใส่ชุดเวทสทผิดด้าน ก็เลยต้องรีบถอดออกใส่ใหม่ แต่พอใส่ใหม่ดูอีกที ก็ดันผิดด้านอีกรอบ พี่ไวท์แห่งร้าน ไวท์บีช ชุมพร ต้องรีบช่วยแต่งและจัดแจงอุปกรณ์ให้ ทุกคนกระโดดลงไปรอแล้ว แต่เราอยู่ข้างบนได้ยินว่ามีคนลืมน้ำหนักถ่วง !!

 กว่าจะลงได้เหนื่อยมาก !! เราชอบลงน้ำแบบที่กองหินชุมพร เพราะจุดที่ลงไม่ได้ลึกเกิน เมตรเลย แค่ก้มหน้าลงไปก็เห็นกองหินเป็นลูกๆแล้วพอดูว่าไม่ลึกก็ไม่ค่อยกังวลอะไร ทีมเราที่มีผู้นำเป็นครูกุ้ง ไปพร้อมกับกลุ่มเรียนวันสุดท้ายโดยมีผู้นำคือครูเบิร์ท ตีฟินกันอย่างเมามันไม่สนใจว่าข้างล่างมีอะไรเลย คิดแล้วก็ตลก เจ็บเท้าที่สีกับฟิน ตระคริวก็กิน รีบก็รีบ มีกลุ่มจากเรือลำอื่นส่งสัญญาณบอกว่าแถวนั้นแถวนี้ไม่เจอ 



บางทีก็ได้ยินเสียงเคาะเรียกแต่ไปหาก็ดันไม่เจอ หรือบางทีก็เห็นนักดำน้ำจากกลุ่มอื่นอยู่ไกลๆกำลังตีฟินอย่างเมามันส์ เราก็คิดว่าอยู่ตรงนั้นแน่เลย หลังจากเหนื่อยจากการตามพี่จุดแต่จนสุดท้ายก็พากันดำน้ำชิลๆ เพราะพี่จุดไม่มาให้เห็น ที่กองหินแพนี้ เป็นจุดที่ดำน้ำสนุกมาก ไม่คิดเลยว่าใต้น้ำแห่งนี้จะมีภูเขาลูกเล็กลูกใหญ่อยู่เต็มไปหมด (หินเล็กหินใหญ่) กองดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนอินเดียแดงก็ยังสวยงามเหมือนเดิม แต่ที่ยิ่งกว่าทำให้สนุกก็คือการลุ้นตลอดว่าจะได้เจอพี่จุดมั้ยนี่แหละ รูปถ่ายนั้นมีนิดหน่อยเพราะตามพี่จุดจนขี้เกียจถ่ายแล้ว (รูปไหนขี้เหร่ก็ของเรารูปไหนสวยก็ของพี่กุ้ง ฮ่า)

รูปนี้พี่กุ้งถ่ายตอนช่วงทำ safety stop ปลาอะไรไม่รู้เยอะมาก จริงๆเยอะตั้งแต่เรือหลวงปราบแล้ว พี่ไวท์บอกว่าปลาหัวตะกั่วนี่แหละ จำรายละเอียดไม่ได้เหมือนเกิน


พวกเราเตรียมพากันมาที่ทุ่นเพื่อทำ safety stop พี่ป๊อปที่อยู่บนผิวน้ำส่งสัญญาณว่าเจอพี่จุด พวกเราก็วนกันอยู่แถวนั้นต่อ (ห๊ะ !! ไม่ไหวแล้วเจ็บเท้ามาก ฮ่า ) ว่ายไปพร้อมกับฝูงปลาหัวตะกั่วที่ว่ายกันยังกับพายุพัด แต่แล้วพวกเราก็ไม่เจอพี่จุดถึงเวลาอันควรก็ต้องขึ้นจากน้ำ 

พี่ป๊อปบอกกับพวกเราว่าเจอพี่จุด
พวกเราไม่เชื่อ พี่ป๊อปเอารูปมาโชว์
พวกเราไม่เชื่อ คิดว่าวันที่ที่โชว์ในกล้องอาจจะโม้

แต่สุดท้ายพวกเราก็เชื่อ ! พี่ป๊อปเจอพี่จุดจริงๆ และว่ายน้ำเล่นกับพี่จุดราวครึ่งชั่วโมงตั้งแต่ตอนลงไปแล้ว พี่จุดอยู่ที่ความลึกประมาณ 3 เมตรเท่านั้น และเป็นคนเดียวที่เห็น (ไม่รวมลูกเรือและกัปตัน) เนี่ย แกยืนยันด้วยรูปว่าพี่จุดมาจริงๆ

สวัสดี!!ว่ายน้ำตัวเดียว เหงาจังเลย

ตัวใหญ่มาก สัก 5-6 เมตร
โอ๊ยยยยย อิจฉาคนได้เจอ

น่ารักมั้ยล่ะ !!
พวกเรารู้สึกเสียดายมากที่ไม่ได้เจอและก็เป็นไดฟ์สุดท้ายแล้ว ด้วยความตื่นเต้นที่พี่ป๊อปเจอฉลามวาฬและไหนๆก็ถือว่ามีคนได้เจอฉลามวาฬแล้วก็เหมือนเจอด้วยกันทั้งกลุ่มน่ะแหละ พวกเราก็เลยถ่ายรูปทำสัญลักษณ์ฉลามวาฬเพื่อไปโม้กับคนอื่นว่า ได้เจอแล้วพวกเราคุยกันสนุกสนานอยู่ที่ท้ายเรือโดยไม่ได้เปลี่ยนชุด แล้วจู่ๆพี่ไวท์ก็บอกว่า วันนี้ครูกุ้งพาลง 3 ไดฟ์นะ ไม่รู้หรอ แต่ด้วยความเหนื่อยเจ็บเท้า เพลีย พี่จุดน่าจะไปแล้ว และเงินที่กดมาไม่น่าจะพอ ทำให้เราไม่อยากต่อไดฟ์ที่ 3 พี่แต่ไวท์ก็บอกว่า มาไกลถึงนี่แล้วมีโอกาสเจอสูงถ้าไม่ลงก็เสียดายแย่”  

วันนี้วันปิดซีซั่นอ่าวไทย และเราเดินทางมาไกล                
พอคิดอีกที พวกเราก็ตัดสินใจลง เอาก็เอาวะ ไหนๆก็มาแล้วเราและบัดดี้ตอบตกลงกัน
ไดฟ์ที่ 3 เราไม่เสียเวลาแต่งตัว เพราะเราไม่ได้เปลี่ยนชุดขึ้นไปพัก เราตั้งตารอเวลาเต็มที่ กินแตงโม กินน้ำ กินขนมหวานเติมพลัง หาพาสเตอร์มาปิดตามจุดที่มีโอกาสที่ฟินจะเสียดสี

และแล้วก็ถึงเวลาลง !! จุดที่ลงก็เป็นบริเวณใกล้ๆกับไดฟ์ที่แล้ว บรรยากาศแข็งขันกันมาก พวกเรายังไม่ดำลงไปในน้ำคอยมองหากันบนผิวน้ำก่อน ราวๆ 5 นาทีก็ดำลงไป ตีฟินไม่ถึง 5 นาที นึกได้ว่าตัวเองไม่ได้เอากล้องโกโปรลงมา แต่จริงๆทั้งเราและบัดดี้ก็ไม่อยากเอาลงแล้วเพราะถือกล้องแล้วเสียสมาธิ แต่รอบนี้ถ้าเจอแล้วไม่มีกล้องก็เสียดายสิ (แถมรูปที่ถ่ายไว้ก่อนหน้าไม่ได้เรื่องสักรูป) ก็หันไปพูดกับบัดดี้ด้วยภาษามือว่า
เฮ้ยมึง กูไม่ได้เอากล้องลงมาว่ะ
กูก็ไม่ได้เอาลงมาว่ะบัดดี้ตอบ

ในใจคิดว่าไม่เป็นไร ไม่มีกล้องก็ไม่เป็นไร เพราะก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอพี่จุด 100% สักหน่อย ยังไม่ทันที่จะหันหน้าไปทางอื่น มองเยื้องซ้ายจากจุดทีบัดดี้อยู่ 

พี่จุดมาแล้วจ้า !! พี่จุดมา !! ชี้ให้บัดดี้ดู จากนั้นทุกคนก็รวมตัวกันอยู่กับพี่จุด คอยมองพี่จุดอยู่ห่างๆ ทุกคนถ่ายรูปเล่นกัน แต่เราไม่มีกล้อง ก็เลยยืนดูพี่จุดเฉยๆ จริงๆแค่นี้ก็พอแล้ว ในโมเมนต์ที่ทุกคนยืนมองพี่จุด เราที่มองทุกคนอยู่ที่ลึกกว่า เห็นพี่เบิร์ททำท่าที่ดีใจตบมือในน้ำกับบัดดี้ ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่ไวท์  เราก็ว่ายน้ำไปแท๊กมือกับบัดดี้

พวกเราไม่มีกล้องพี่ป๊อปและครูกุ้งพาไปถ่ายรูปกับพี่จุดเราก็เลยได้ว่ายน้ำห่างๆคู่กับพี่จุด ว่ายอยู่บนตัวพี่จุด ตามหลังพี่จุดบ้าง สนุกดี และจากนั้นเราก็ลงมามองพี่จุดต่อ ราวสัก 20 นาที ก็ขึ้นไปส่งสัญญาณให้กลุ่มอื่น และจากนั้นฝูงชนก็เข้ามาที่จุดนั้น
 
พี่ใหม่ถ่ายกับพี่จุดบ้าง
ความรู้สึกตอนนั้นคือ ตื่นเต้นมาก และรู้สึกดีมากที่เราไม่เอาความเหนื่อย ความเจ็บ มาล้มเลิกภารกิจนี้ รู้สึกขอบคุณที่พี่ไวท์ดึงให้ลงอีกรอบ รู้สึกขอบคุณพี่เบิร์ทที่อยู่ช่วยแต่งอุปกรณ์ รู้สึกขอบคุณครูกุ้งที่พาทัวร์โลกใต้น้ำของชุมพรได้สนุกมาก และที่สุดของที่สุดคือ ความฝันที่ได้ว่ายน้ำกับฉลามวาฬนั้นเป็นจริงแล้ว เอาไปเล่า 3 ปีก็ไม่จบ

เรามองอยู่ข้างล่าง แหงนหน้ามองพี่จุด จนแสบตาเพราะแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาและจากการที่ตาล้าผสมกับแสงนั้น ทำให้เรามองพี่จุดเป็นภาพทึบแบบโมโนโทน ที่ดูแล้วตราตรึงใจมากๆ รู้สึกเหมือนว่าน้ำตาจะไหล แต่คนยิ่งเยอะขึ้น ทั้งกลุ่มดำน้ำแบบสกูบ้าและสน๊อกเกิ้ล ทำให้เราไม่สามารถอยู่เฉยๆได้เท่าที่ควรเพราะต้องคอยหลบนักดำน้ำ ที่อาจจะเป็นมือใหม่ (เราก็มือใหม่นะ) บางทีพี่จุดก็ว่ายต่ำลงมาทางเราทุกคนก็ไหลกันมาทางเรา การที่ต้องคอยหลบทำให้เราเหนื่อยมาก
พี่ใหม่พี่เมและพี่จุดถ่ายรูปด้วยกัน (ครูกุ้งถ่ายรูปให้)
ถ่ายรูปด้วยกันทำท่า แปลกๆฮาๆ 
หนึ่งในความฝันของเราคือ อยากว่ายน้ำกับฉลามวาฬ และโคตรอยากได้ภาพไปยืนยันว่าเราได้ทำแล้วจริงๆ ฮ่าๆ ตอนที่ครูกุ้งเรียกมาถ่ายรูปเราคิดไว้ว่าต้องทำท่าๆนึงให้ได้ ซึ่งก็เป็นท่านี้เลย ไม่อยากจะเชื่อว่าครูกุ้งถ่ายได้ทันด้วย ฮ่าๆ เป็นภาพที่อยากได้มาก ใฝ่ฝันมาตลอด (เหมือนกำลังตีลังกา ฮ่าๆ)

มีนักดำน้ำหลายคนพยายามว่ายไปชิดพี่จุด แต่พอพี่จุดพลิกตัวสะบัดหางก็หนีพี่จุดไม่ได้ ไปโดนพี่จุดบ้าง เราว่าจริงๆก็ควรดูห่างๆก็ได้นะ พี่จุดอาจจะตกใจหรือบางทีแท๊งค์อากาศเราจะไปโดนพี่จุดทำให้ได้รับบาดเจ็บบ้าง เรา บัดดี้ พี่ไวท์ ยืนกอดอกดูทั้งมีความสุขและก็กลัวอันตราย (พี่จุดก็ชอบหนีมาทางพวกเรา พวกเราก็ต้องคอยหลบพี่จุด ทำให้เหนื่อยมาก) และครูกุ้งก็มา พวกเรามองหน้ากันเป็นสัญลักษณ์ว่าจะขึ้นแล้ว ก็เตรียมหาที่โล่งๆทำ safety stop แต่มีจุดนึงที่พี่จุดก็ดันตีหางมุ่งมาทางเรา พวกเราก็ต้องหลบบางทีก็ต้องลงไปต่ำกว่าเดิมแล้วเราก็เริ่มทำกันใหม่ แต่พี่จุดก็มาใหม่ ซ้ำไปซ้ำมา 

แต่ในที่สุดพวกเราก็ถึงผิวน้ำ พร้อมกับตะโกนว่า เฮ้”  และยิ้มแฉ่งดีใจกันสุดๆ แต่หันไปเรืออยู่ไกลมาก พวกเราว่ายตามพี่จุดออกจากเรือมาไกลมาก แต่จริงๆก็คิดว่าไม่ได้ว่ายไปไหนเลยนะ แต่ก็อย่างที่รู้ พี่จุดตีฟินทีเดียวก็ไปไกลแล้ว พวกเราลอยคอกันเข้าหาเรือกันพักใหญ่ถึงได้ขึ้นเรือ คนอื่นขึ้นกันมานานแล้ว ด้วยความที่เหนื่อย หิว ไม่มีแรง พอเราขึ้นมาบนเรือเราก็ดันล้มลงทั้งชุด เจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่ไม่กล้าร้องไห้ พร้อมประครองตัวเองไปวางแท๊งค์อากาศ แล้วก็อาบน้ำสระผมหลังเรือไปเมาท์กับเพื่อนร่วมทริปไปด้วย

ปลาฉลามวาฬ หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Whale Shark เป็นปลากระดูอ่อนมีความยาวประมาณ12เมตร (ฉลามวาฬทะเลไทยมีความยาวเพียง3-7เมตร แต่ทะเลเมืองนอกมี8เมตรขึ้นไป)

ฉลามวาฬนั้นหากินบนผิวน้ำอาหารคือแพลงก์ตอน ส่วนมากพบเจอเพียงลำพังแต่บางครั้งอาจเจอเป็นฝูงถ้าบริเวณนั้นมีอาหารสมบูรณ์ อายุไม่ทราบแน่ชัดแต่จากการศึกษาพบว่าไม่น้อยกว่า 70ปี

อาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนอุณหภูมิเฉลี่ย18-26องศาในมหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศไทยพบได้ทั้งสองฝั่ง ฝั่งอันดามันพบบ่อยที่กองหิวริเซลิว ฝั่งอ่าวไทยพบบ่อยที่หมู่เกาะในจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี

จากหนังสือของอาจารย์ธรณ์บอกว่า ฉลามวาฬนั้นถึงแม้ว่าจะตัวใหญ่แต่ขี้ตกใจมากถ้าเขาตกใจอาจจะพุ่งพรวดจนกวาดหางมาชนคนได้ จึงต้องรักษาระยะห่างให้ดี และนอกจากนี้ผู้ที่ไม่ได้ดำน้ำลึกก็มีโอกาสเห็นฉลามวาฬได้ อาจารย์ธรณ์แนะนำว่าให้ไปที่หมู่เกาะพังงาและกระบี่ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน

ฝนเริ่มลงเม็ด ขึ้นมานั่งบนดาดฟ้า พี่ไวท์เอาเบียร์มาให้ดื่ม ดื่มไปเมาท์ไป มีความสุขมากๆ นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากทำ ชีวิตบนเรือ ลงน้ำ นอนเล่น ลงน้ำ ตัวเปียกทั้งวันและสุดท้ายคือการนั่งคุยกับใครสักคนที่เรามีโอกาสพิเศษดีๆร่วมกันคุยถึงความหลัง ถึงแม้จะพึ่งผ่านมาแค่ไม่กี่นาที

พวกเรากลับมาที่ตัวเมืองชุมพรด้วยรถสองแถวมาจอดที่ตัวเมือง พวกเราหาร้านนวดแผนไทยเพื่อฆ่าเวลาก่อนที่จะขึ้นรถไฟราว 2 ทุ่ม และก็หาอะไรกินที่เฟรมเกสเฮาสต์ เช็คอินเฟสบุคอวดรูปที่ถ่ายคู่กับพี่จุดนิดหน่อย (ไลค์และคอมเมนต์กระฉูดมาก) แล้วน้องต่อเอกจิตก็โทรผ่านเฟสบุคมาหา ถามว่าเราอยู่ที่ชุมพรหรือเปล่า ตอนนี้น้องกำลังอยู่ร้าน ไวท์ บีช ร้านนั่งดริ๊งของพี่ไวท์เพื่อนร่วมทริปฉลามวาฬ พี่กุ้งและชาวเกาะก็กำลังกินอยู่ร้านนั้นอยู่พอดี และจะชวนเราไปนั่งคุยกัน แต่เราก็ต้องกลับก่อน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

นั่งรถไฟธรรมดาแหละ นั่งหลับตลอดทางคนเยอะมาก คนยืนเต็มไปหมด เบียดกันหลังขดหลังแข็ง นี่ยิ่งเพิ่งล้มมา ทรมานจนไม่รู้จะพูดยังไง ฮ่าๆ ถึงบ้านตอนเช้าหลับเป็นตายเลย


เรานึกถึงวันที่เรากับบัดดี้พากันไปเรียนดำน้ำที่เกาะเต่า เพราะอยากเห็นโลกใต้ทะเลจริงๆ ไม่ใช่จากตู้กระจก การได้เห็นพี่จุดหรือฉลามวาฬใจดีแห่งท้องทะเลนั้นมันรู้สึกคุ้มค่ามากที่เราเลือกไปเรียนดำน้ำ มันช่วยเปิดโลกให้เราอย่างมาก ข้างล่างนั้นสวยมากจริงๆ และยิ่งอยากจะให้คนอื่นรู้ว่ามันสวยมาก และยิ่งอยากทำให้คนอื่นรู้ว่าเราต้องดูแลรักษาสิ่งล้ำค้าของเรายังไง


เจอกันใหม่เมื่อฤดูของอ่าวไทยมาถึง
แผลที่ได้จากการล้ม เจ็บน้ำตาเล็ด



ความทรงจำเมื่อวันที่ 23-24ตุลาคม 2559 
รูปของตัวเองถ่ายมาไม่สวยแอบรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ได้ว่ายน้ำกับฉลามวาฬแล้ว ฮ่าๆ
by Mei


You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images