Mai Soong Kha สวัสดี … เช้านี้ที่เมืองสีป้อ พบแล้วจากไปย่างกุ้ง

ถึงวันนี้จะต้องออกจากเมืองสีป้อแล้ว แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าอยากตื่นขึ้นมาเพื่อออกไปทำนู่นทำนี่อยู่ดี อากาศเย็นๆเตียงนุ่ม...



ถึงวันนี้จะต้องออกจากเมืองสีป้อแล้ว แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าอยากตื่นขึ้นมาเพื่อออกไปทำนู่นทำนี่อยู่ดี อากาศเย็นๆเตียงนุ่มๆผ้านวมหนาๆ จะมีอะไรดียิ่งไปกว่าสิ่งนี้อีกมั้ย ? แต่เราก็ลุกนะไม่ใช่ไม่ลุก เมื่อวานคุณโสภณโชว์รูปถ่ายตลาดสีป้อยามเช้าให้เราดู เป็นรูปที่คุณโสภณถ่ายตอนที่เรานอนเกลือกกลิ้งอยู่ในห้อง(แกชวนไปด้วยไม่ยอมไป)แน่นอนหลังจากที่คุณโสภณสปอยรูปไว้ให้แล้ว เราจึงสลัดความอยากนอนออก (ง่ายๆ สลัดความขี้เกียจ) แล้วลุกไปกินอาหารเช้าที่ทางเกสเฮาสต์จัดไว้ให้

วันนี้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว คุณโสภณนั่งรถไปเมืองมูเซ่ตั้งแต่ตอนตี 5 ออกไปนั่งกินข้าวกับคู่สามีภรรยานักโบกรถ วันนี้ทั้ง 2 ก็จะออกจากเมืองสีป้อแล้วเหมือนกัน คุณเอียนชวนเราโบกรถไปย่างกุ้งใหญ่เลย แต่เราไม่ได้ทำตามคำแนะนำของคุณเอียนหรอกนะ ตอนทั้งคู่ขอตัวกลับไปเก็บกระเป๋าก็รู้สึกแอบเหงานิดๆ เหลือตัวคนเดียวแล้วจริงๆ

ในภาษาไทใหญ่ ใหม่-สุง-ข้า แปลเป็นไทยว่า สวัสดี  หยู่-หลี-อยู่-ข้า ในภาษาไทใหญ่นั้น แปลเป็นไทยว่า สบายดีครับ/ค่ะ(ลองออกเสียงตอนพูดคำนี้ดู หยู่หลีอยู่ข้า นั้นเหมือนพูดว่า อยู่ดีอยู่ค่ะ) และถ้าเราจะพูดคำว่า ใจเย็นๆก็พูดว่า ใจเย็นใจยาวส่วนการนับเลขของชาวไทใหญ่ ตามที่พี่สาวชาวไทใหญ่นับให้ฟังนั้น 1-10 พวกก็นับเหมือนกับที่เรานับในภาษาไทยเลย

เราคุยกับคุณโสภณเมื่อวานที่ข้างๆแม่น้ำน้ำตู แล้วมีผู้ใหญ่ระแวกนั้นมาทักเพราะเขาได้ยินเราคุยภาษาไทย ตอนนั้นเราก็ตกใจมากๆแล้ว แต่จากการที่เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องภูมิหลังของเมืองสีป้อเลย และไม่รู้จักชาวไทใหญ่เท่าไร รู้จักแค่ชื่อ นั้นทำให้เราอึ้งหนักตรงที่ ไม่ใช่แค่ชาวไทใหญ่ได้ยินเราพูดแล้วฟังออกว่าเป็นภาษาไทย แต่เราเองพอได้ยินคนพูดภาษาไทใหญ่ก็พอจะฟังออกบ้างเหมือนกัน

ที่ภาษาเราคล้ายคลึงกันนั่นก็เพราะว่าพวกเราอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน  แต่คนไทใหญ่ ไม่ใช่คนไทย (Thais นะจ๊ะ ) เขาเรียกตัวเองว่าไต แต่พม่าเรียก ฉาน, คนไทยเรียก ไทใหญ่) กลุ่มชาติพันธุ์ไท หรือกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท (Tai-Kadai) นั้น มีกระจายอยู่ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนใต้ของประเทศจีน มีตั้งแต่  ชาวไทในสิบสองปันนา ตอนใต้ของมณฑลยูนาน ประเทศจีน, ชาวไทอาหม ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย, ชาวไทใหญ่ ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่รัฐฉาน ทางตอนเหนือของพม่า ในลาว (คนไทยกับคนลาวเลยคุยกันรู้เรื่อง) เวียดนาม และไทย  

จากการนั่งเรียนประวัติศาสตร์ที่ร้านอาหารเมื่อคืนกับคุณโสภณ โดยมีอาจารย์เป็นคุณวิทย์ เรามีโอกาสได้ฟังเพลงไทใหญ่ที่คุณยายที่ร้านอาหารเปิดให้ฟัง เราก็พอจะฟังออกบ้าง ซึ่งเราก็ไม่ได้เข้าใจทุกคำหรอก แต่ก็รู้ว่าเพลงนั้นต้องการที่จะพูดถึงเรื่องอะไรคล้ายๆเวลาฟังเพลง แว่วเสียงซึงด้วยเสียงของคุณอรวี สัจจานนท์ ที่แม่เปิดให้ฟังบ่อยๆตอนเด็กๆ  ไม่ได้เข้าใจทุกคำแต่ก็เข้าใจเพลง เท่าที่ฟังดูแล้วสำเนียงการพูดภาษาไทใหญ่ที่เราฟังจากทั้งคุณยายและคุณวิทย์สนทนากันนั้น คล้ายกับเราได้ยินนังเกมส์เพื่อนซี้ชาวเชียงรายอู้คำเมืองเลย มันมีความเนิบ แบบมีจังหวะขึ้นลง มันมีความแปร๋น ความน่ารัก (แบบที่ชอบพูดกับซี้ว่า เวลามันอู้คำเมืองแล้วน่ารัก) คำว่า ฮัก (รัก)ในภาษาเหนือ ชาวไทใหญ่ก็ใช้คำนี้เช่นกัน อ่านเจอมาว่า ภาษาไทใหญ่ คล้ายกับภาษาเหนือเชียงใหม่ หรือล้านนาในระดับที่คุยกันรู้เรื่อง ลองหาเพลงไทใหญ่มาฟังดูอาจฟังออก

ในขณะที่เรากำลังเขียนเอนทรี่นี้ (จบทริปมาได้ 3 เดือนแล้ว) เราก็กำลังศึกษาความเป็นมาของชาวไทใหญ่อยู่ ภาษารวมถึงประวัติเจ้าฟ้าด้วย และเรากำลังนั่งฟังเพลงไทใหญ่ไปด้วย ซึ่งบังเอิญฟังไปถึงเพลงที่ดั๊นดันมีทำนองเดียวกับเพลงไทย ที่แม่ชอบเปิดให้เราฟังบ่อยๆตอนยังเด็ก(อีกแล้ว) ซึ่งเราก็จำชื่อเพลงไม่ได้ นึกท่อนภาษาไทยก็ไม่ออก โดยท่อนแรกร้องว่า ม่วนถึงเหมื่อก่อน หม๋าย้อน…??? เจบไจ๋ตัวเรา แสนเศร้าอยู่หมองอะไรทำนองนี้ เราแปลเป็นภาษาไทยว่า คิดถึงเมื่อก่อน เจ็บใจตัวเรา แสนเศร้าเอาเนื้อหาที่แปลได้ไปค้นในกูเกิ้ลดู ก็หาเพลงภาคภาษาไทยเจอซะงั้น คือแกะไม่เป๊ะแต่พอฟังก็จับใจความได้ (อาจเพราะเคยฟังฉบับภาษาไทยมาด้วย) 
จากในคลิปด้านบนนี้เพลงนาทีที่ 17.17 เป็นต้นไป นั้นเพลงที่เราเคยฟังตอนเด็กๆก็คือเพลง แอบช้ำของคุณเอ๋ พัชรา แวงวรรณ คิดถึงเมื่อก่อน ที่ไม่ย้อน หวนมา เจ็บใจตัวเรา แสนเศร้าหนักหนักหนาคล้ายกันมาก !! แม้แต่คำว่า น้ำตาก็เหมือนกัน (โอ๊ยเพลินบันเทิงใจมาก)

เอาล่ะ เราต้องวกกลับมาที่การเดินทางของเราก่อน หลังจากที่เรากินอาหารเช้าเสร็จ เราก็ออกไปเดินเล่นที่ตลาดก่อนเลย อากาศช่วงก่อน 9 โมงเช้ายังเย็นอยู่ (จริงๆเราน่าจะออกให้ไวกว่านี้นะ) แดดจ้ามองอะไรก็เป็นสีขาวไปหมด
หูย นอนสบายเลยนะ
แมวตลาดสีป้อ
เดินซอกแซกไปเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดมุ่งหมายเท่าไร เห็นทางไหนน่าไปก็เดินเลี้ยวไป เดินไปริมฝั่งแม่น้ำ นั่งฟังเพลงริมแม่น้ำ แล้วก็ออกเดินเล่นต่อ เราพยายามมองหาดูว่ามีอะไรที่เราจะซื้อกินระหว่างนั่งรถไปย่างกุ้งได้มั้ย คุณโสภณบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวฉานที่ร้านอยู่ข้างแม่น้ำอร่อย แต่เราก็พึ่งกินอาหารเช้ามาก็เลยยังไม่ได้เข้าไปกิน ผ่านร้านลูกชิ้นทอดก็ยังไม่ซื้อ เพราะเราออกเดินทางจากเมืองสีป้อตั้ง 5 โมงเย็น
เดินไปเดินมาจนถึงใกล้เวลาเช็คเอาท์เราก็กลับไปที่พักเพื่อไปเก็บของ เราคิดแล้วคิดอีกว่าจะไปไหนดีเพราะเรามีเวลาเยอะมากก่อนถึงเวลารถออก มีความตั้งใจเดียวของช่วงบ่ายก็คือ ไปรอดูรถไฟที่จะมาถึงเมืองสีป้อ ในเวลาบ่าย 3 โมงเย็น (มาจากลาโชว์) เราคิดว่าเราจะไปน้ำพุร้อนก่อน แต่เราเดินกลับเข้าไปตลาดอีกรอบเพื่อหาอะไรกินเป็นอาหารเที่ยง (ห๊ะ ! พึ่งกินเข้าไปนิ)  สุดท้ายก็ไม่ได้ไปน้ำพุร้อน

เราเลือกอาหารเที่ยงของเราเป็นร้านเดิมที่กินเมื่อคืน ร้านคุณยายใจดี เราสั่งข้าวผัดหมูมากิน อยากรู้ว่าจะอร่อยเหมือนที่ทำกินที่บ้านมั้ย ซึ่งก็อร่อยใช้ได้ แต่ข้าวผัดของร้านนี้มีการใส่พริกขี้หนูด้วยแหละ ที่พุกามก็ใส่พริก ทีแรกก็ไม่รู้พอเคี้ยวข้าวเท่านั้นแหละ เผ็ดจ้า !
แมวร้านคุณยาย
คุณยายอุตสาห์มานั่งคุยด้วย แต่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องซะงั้น คุณยายถามว่าคนอื่นๆไปไหน ซึ่งที่รู้ในคำถามก็ไม่ใช่เพราะฟังที่คุณยายพูดออก แต่คุณยายทำภาษามือทำท่าชี้ไปที่เก้าอี้ตัวอื่นๆ ด้านขวา และตรงข้าม แล้วทำท่าตบๆเก้าอี้ ทำนองนี้ก็เลยตีความว่าคุณยายถามแบบนั้น (มโนเก่งต้องยกให้พี่เม) พอถึงคำตอบก็เป็นส่วนที่เราต้องทำภาษามือตอบไปบ้าง เราก็ทำท่า ชี้ไปที่เก้าอี้ทั้ง 2 ตัว แล้วก็ทำท่าปัดมือแบบตั้งใจจะบอกว่า กลับไปแล้วโดยโพล่งภาษาไทยออกไปด้วย แต่ดูคุณยายแกทำท่าเข้าใจ ไม่รู้ว่าเข้าใจภาษามือหรือเข้าใจภาษาไทย ฮ่าๆ แล้วเราสองคนก็นั่งมองหน้ากัน
ร้านหนังสือมีโปสเตอร์ภาพเจ้าจาแสง เจ้าฟ้าผู้ครองนครรัฐสีป้อและชมหาเทวีติดอยู่ด้วย
หอนาฬิกาหน้าจอ LED ซะด้วย
คลินิกทำฟัน
วนกลับเข้าตลาดอีกรอบ
Ye Shin Guesthouse
ร้านอะไรเอ่ย?? เสี่ยงโชคหน่อยมั้ย ?? 
เดินเมืองสีป้อ แล้วรู้สึกไม่ต่างว่าเดินอยู่แถวบ้านเก่าที่เมืองปทุมธานี โดยเฉพาะบรรยากาศแถวๆสามโคก (ไม่รู้เหมือนยังไง เดินแล้วมันคิดถึง) บ้านส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น ด้านล่างเป็นปูนส่วนด้านบนยังเป็นไม้ แต่ถ้าออกมานอกเมืองหน่อยจะเป็นบ้านไม้เยอะกว่า ลักษณะสิ่งก่อสร้างไม่ได้ดูแปลกตา มองเห็นประตูบ้านเป็นแบบบานเพี้ยมที่ทำด้วยไม้เดินมองประตูบ้านของชาวบ้านจนเพลิน ไปจนใกล้ถึงสถานีรถไปสีป้อ เดินผ่านบ้านที่มีพี่ใหญ่ (หมาตัวใหญ่) ก็เฉยๆไม่ได้มองไม่ได้ทำตัวพิลึกอะไร จู่ๆพี่ใหญ่ก็วิ่งออกมางับที่น่องขาข้างขวา ตกใจมากๆ ไม่โดนหมากัดที่เมืองมัณฑเลย์แต่มาโดนที่เมืองสีป้อแทนนี่นะ จังหวะที่ตกใจเราก็เลยคำรามกลับไปเสียงดังมากว่า เฮ้ยไม่รู้ว่าหมาใหญ่เข้าใจคำนี้หรือเปล่า แต่หมาใหญ่ทำหน้าจ๋อยอย่างเห็นได้ชัด ฮั่นแน่ เสร็จตู !! เราเคยโดนสอนมาว่า ถ้าอยากทำให้หมากลัวให้เราทำให้เขารู้ว่า เราแน่กว่า ใหญ่กว่า อย่าหนี อย่ากลัว เราก็เลยคำรามใส่พร้อมทำหน้าดุนั่นแหละ ถือว่าโชคดีที่กัดไม่เข้า เจ็บแปร๊บมาก ในชีวิตโดนหมากัดมา 3 รอบไม่เคยเข้าสักรอบ คิดไม่ออกว่าถ้าโดนกัดจริงๆจะทำยังไง ??
 เข้ามาถึงบริเวณรางรถไฟ มีพี่เล็กพี่ใหญ่อีกหลายตัวมารอต้อนรับเรา ตอนนั้นเริ่มจิตตก แต่ก็ทำหน้าตาหยั่งเชิงทำนองว่า อย่ามายุ่งกับพี่เมนะเนื่องจากพวกเราสู่สารกันรู้เรื่อง ก็เลยไม่มีตัวไหนกล้าเข้ามายุ่งด้วย
ถ่ายรูปป้ายชื่อสถานีเสียหน่อย ยังไม่มีคนมาเลย
เรานั่งเล่นไปมาอยู่บริเวณสถานีรถไฟอยู่คนเดียว ฝั่งตรงข้ามมีชาวบ้านนั่งเล่นกีตาร์โชว์ให้เห็นบ้างหายเข้าบ้านไปบ้าง บางทีก็มีเด็กน้อยเดินข้ามทางรถไฟไปซื้อขนมกับพี่แล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน  มีเด็กๆหลายกลุ่มที่เดินผ่านหน้าเราไปในช่วงเวลานั้นอาจจะงงว่าเรามานั่งทำอะไรตรงนี้ ฮ่าๆ บรรยากาศรอบๆเงียบสงบ แต่เสียงเพลงใน Ipod กระหึ่มในหูตลอดเหมือนเดิม ปล่อยให้เวลาผ่านไป(บ้างเหอะนะ)
ช่วงใกล้บ่าย 3 พ่อค้าแม่ค้าเริ่มเอาของมาตั้งร้านขายอาหาร ขายผลไม้กันแล้ว บรรยากาศเริ่มคึกคัก ดูเป็นสถานีรถไฟขึ้นมาบ้าง เราก็รู้สึกอายๆนิดหน่อย เพราะมีหลายคนที่ต้องเดินผ่านทางที่เรานั่ง แล้วคนที่ผ่านก็จ้องมองมาที่เรา เราเพลินกับการนั่งฟังเพลงพอหันหน้าไปที่สถานีรถไฟ ก็เห็นไฟหน้าของรถไฟที่กำลังแล่นเข้ามาจอดที่ชานชลา พ่อค้าแม่ค้าเตรียมตั้งท่าขายของ คนจากเกสเฮาส์เจ้าต่างๆ ต่างพากันชูป้ายบ่งบอกชื่อที่พักของตนเอง ที่มีราคาเขียนไว้ด้วย ส่วนเราตั้งใจจะถ่ายรูปตอนรถไฟวิ่งเข้าชานชลาพร้อมกับป้ายสถานีรถไฟด้วยกล้องฟิล์ม ซึ่งทุกอย่างมันผ่านไปไวมาก เรายังตั้งค่ากล้องไม่เสร็จเลย รถไฟก็จอดสนิทแล้ว อดอีกตามระเบียบ นักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนท้องถิ่นต่างพากันลงจากรถไฟ บางคนก็ตั้งใจลงที่สถานีนี้ บางคนตั้งใจลงมาหาซื้ออะไรกินเพื่อที่จะเดินทางต่อไป เราเดินเข้าไปถ่ายรูปเล่นนิดๆหน่อยๆ พลันไปเห็นน้องผู้ชายที่อยู่เกสเฮาส์เดินเข้ามาไหว้เราด้วยภาษาไทใหญ่ว่า “Mai Soong Kha” และตามด้วยภาษาไทยว่า สวัสดีครับแล้วถามไถ่เราว่าจะไปไหนต่อ เราพูดคุยกันนิดหน่อยก็ขอบคุณแล้วจากกันไป

น้องก็พาแขกกลับที่พัก เราโบกมือให้พี่สาวชาวไทใหญ่ที่มารับเราเมื่อวันก่อนนิดหน่อย แล้วเราก็เดินไปหาห้องน้ำเข้าภายในสถานี เราเดินไปหาเจ้าหน้าที่ ที่ตอนนี้สถานีรถไฟกำลังวุ่นวายนิดหน่อย เจ้าหน้าที่พาเราเดินไปที่ห้องน้ำในสถานีที่ดูจะไม่มีคนเข้าเพราะมีกุญแจล็อคไว้ หลังจากเราทำธุระเสร็จเราก็เดินเข้าไปขอบคุณเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ถามเราว่า เรามาจากที่ไหน เราก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษไปตามระเบียบ แต่เจ้าหน้าที่ตอบกลับเราด้วยภาษาไทยว่า สวัสดีครับ ขอบคุณครับ”  เรานี่ยิ้มแป้นเลย

เราเดินกลับเข้าเมืองเพื่อไปที่รอรถบัสที่จะส่งเรากลับย่างกุ้งอย่างรู้ทางพร้อมกับนักท่องเที่ยวที่เดินเข้าเมืองสีป้อ เรารู้สึกชำนาญทางมาก ก็เลยรู้สึกเศร้าใจมากๆที่เราต้องกลับแล้ว เราหลีกเลี่ยงที่จะเดินผ่านบ้านพี่ใหญ่ที่กัดเราก่อนหน้านี้ก็เลยเดินเลาะด้านใน (บ้านพี่ใหญ่อยู่ริมถนนใหญ่) และซื้อโค๊กจากร้านขายของข้างทางในซอยดื่มให้ชื่นใจ
ที่รอรถบัส เดินมาที่ถนนใหญ่อยู่ด้านขวามือ

พูดถึงการเดินทางไปเมืองย่างกุ้ง หรือเมืองอื่นๆในประเทศพม่าจากสีป้อ ก่อนหน้านี้เราเคยเข้าใจว่า เมืองสีป้อเป็นเมืองที่ไม่มีอะไร การเดินทางไปเมืองต่างๆด้วยรถบัสในอินเตอร์เน็ตก็พูดถึงแค่บริษัทเดียว เราก็คิดในหัวเลยว่าถ้าเราถึงสีป้อเราต้องรีบซื้อตั๋วนะเดี๋ยวตั๋วหมด แต่ในความเป็นจริงๆ เราสามารถซื้อตั๋วรถบัส หรือจะตั๋วแชร์แท๊กซี่ ได้ที่เกสเฮาส์เลย ถ้าที่เกสเฮาส์ไม่มีเคาเตอร์ ก็ให้เดินออกมาซื้อบริเวณถนนใหญ่เดินไปทางมุ่งสู่มัณฑเลย์ (ไปทางสถานีรถไฟ) มีบริษัทรถบัสหลายเจ้าตั้งอยู่ เวลาของรถบัสส่วนใหญ่ก็วันละ 2 รอบ คือรอบเช้าและบ่าย


เราซื้อตั๋วรถบัสเป็นรถแบบ VIP ในราคา 18,300จั๊ต (แอบช็อคเบาๆ) ซึ่งจริงๆเราซื้อเป็นตั๋วธรรมดาไว้ แต่ตอนเช้าน้องที่เกสเฮาส์บอกว่า มีการเข้าใจผิดเรื่องตั๋วรถเรา คือทางเกสเฮาส์ซื้อแบบรถธรรมดาให้ แต่บริษัทรถทำผิดไปจองแบบ VIP ให้เรา พอรู้ตัวอีกทีก็จะดึงตั๋วกลับเป็นตั๋วแบบธรรมดาราคา 14,800 จั๊ตก็หมดแล้ว (แถมเราจ่ายเงินไปแล้ว) เราก็เลยต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 3,500จั๊ต !! แต่เดี่ยวก่อน เรานึกออกว่า รอบแรกที่เราซื้อตั๋วไปมัณฑเลย์ราคาตั๋ว 4,500จั๊ตแล้วเรายกเลิกไม่ไป ไปย่างกุ้งแทนเราไม่ได้เงินคืนนะ (ก็คิดว่าไม่ได้คืนหรอกเพราะออกตั๋วไปแล้ว) ก็เลยลองถามลูกเจ้าของเกสเฮาส์ดูว่า เราจะมีโอกาสได้คืนมั้ย ซึ่งทางนั้นก็ถามว่าเรายังไม่ได้คืนหรอ เขาก็เลยเอาส่วนตรงนั้นไปจ่ายค่าตั๋วที่เราต้องจ่ายเพิ่มให้เราและคืนที่เหลือให้เราอีก (โชคดีง่ะ)

ก่อนที่จะถึงเวลาขึ้นรถ เราวุ่นกับการหาอะไรกินตามร้านขนมและที่สำคัญเราวุ่นกับการหาซื้อผ้าอนามัย (ตายละ) ช็อคเบาๆ เราพึ่งรู้ตัวตอนเข้าห้องน้ำนี่แหละ เราไปด้ำๆมองๆในร้านโชว์ห่วยแต่ก็หาสิ่งของที่เป็นเป้าหมายไม่เจอ ถามเป็นภาษาอังกฤษก็ไม่เข้าใจกัน ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เราก็นึกได้ว่ามีซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ใกล้ๆเกสเฮาส์ เราก็เลยดิ่งไปเลย มีพนักงานสาวๆมาต้อนรับเรา เราพยายามพูดภาษาอังกฤษแต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจ เราก็เลยเดินเข้าไปหาเอง (ก็ตั้งใจว่าจะหาเองเลยมุ่งไปซูเปอร์มาร์เก็ตนี่แหละ) สุดท้ายก็ได้ผ้าอนามัย ลอริเอะมันเขียนแบบนั้นจริงๆ ป้าย ฉลาก เป็นภาษาไทยหมด !! (โซฟี ก็มีนะเออ !!) ที่อยากเขียนฉากนี้ก็เพราะอยากเล่าว่า เราไม่คิดว่าจะมาซื้อผ้าอนามัยที่มีภาษาไทยไกลถึงนี่แค่นั้นแหละ

รถบัส VIP ของเรามาถึงตรงเวลามากๆ มีพนักงานสาวใส่ชุดแบบเรียบร้อยสีเขียวมาต้อนรับ (แลดูดี) เป็นรถคันใหญ่ที่มีที่นั่งด้านซ้ายเป็นแบบคู่ และด้านขวาเป็นที่นั่งเดี่ยว ส่วนเรานั่งหลังสุด (คน) หน้าต่างบานกว้าง … หลังจากขึ้นรถไปได้สักพัก พนักงานก็เอาขนมและน้ำมาแจกเลย ส่วนเราหลังจากนั้นก็สะลึมสะลือ 

รถบัสวิ่งแล่นตรงไปเส้นมุ่งสู่มัณฑเลย์เรื่อยๆตามเวลา พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงเป็นสีส้ม มองเห็นพระอาทิตย์อยู่หลังต้นไม้น้อยใหญ่ อยากจะดูวิวก็อยาก อยากจะนอนก็อยาก ทำได้แค่ปล่อยให้ร่างกายตัดสินว่าจะทำอะไร
รถวิ่งมาได้แค่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ก็ปล่อยให้ทุกคนลงมากินข้าว เราไม่รู้ว่าฟรีหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้เข้าไปกินด้วย สถานที่รถจอดดูเลวร้ายที่สุดเท่าที่แวะจอดมาตั้งแต่นั่งรถบัสของพม่า สภาพห้องน้ำเหลือทนมากๆไม่มีไฟอีกต่างหาก เราหาซื้อขนมกินแทนการกินข้าว รู้สึกไม่อยากกินอะไร รู้สึกกลัวและเหงามากกว่า อยากขึ้นไปนอนแล้ว
จากนั้นเป็นช่วงเวลาของการหลับยาว(ซะเมื่อไหร่) รถวิ่งบนเขาคดเคี้ยว หลับบ้างตื่นบ้าง มองเห็นแสงไฟของรถยาวระยิบระยับเป็นเส้นโค้งคดเคี้ยวไปมาด้านล่าง เราหลี่ตามองจนเข้าใจได้ว่าตอนนี้รถกำลังแล่นอยู่บนเขาไต่ระดับไปเรื่อยๆ มิน่ารถถึงได้เอี้ยวไปมา ตีโค้งจนรู้สึกปวดท้อง ด้วยความที่เรานั่งหลังสุดแล้วมีประสบการณ์เจอโค้งนรกตอนไปงานแต่งทางภาคเหนือแล้วเมารถ เราก็รู้สึกอยากจะรีบๆหลับให้ลึกเพราะกลัวจะอ้วกแตกอ้วกแตนบนรถ VIP ที่ประเทศพม่านี้

เราไม่ได้เช็คว่าจากสีป้อ ถึงเมืองย่างกุ้งนั้นใช้เวลากี่ชั่วโมง เราไม่มีความกังวลใดๆอีกเลย (ก็หลับสนิท) จนรถได้เดินทางมาถึงบริเวณ บขส  "Aung Mingalar Bus Station"  รถบัสมาถึงย่างกุ้งตอนตี 5 นิดๆ แล้วจากนั้นเราก็กังวลว่า อ้าว แล้วเราจะไปไหนล่ะ เช้าขนาดนี้ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากหลังจากที่เราตื่นจนระลึกถึงว่า เราเดินทางมาถึงย่างกุ้งแล้ว เราก็ต้องลงจากรถเลย ตอนที่รถจอดสนิททุกคนกำลังทยอยลงจากรถ ที่ด้านหน้าของประตูรถนั้นมีคนเข้ามาออเต็มไปหมด เข้าใจว่าเป็นพวกแท๊กซี่มาหาลูกค้าที่กำลังลงจากรถนั่นแหละ เราเดินอึนสะพายเป้ลงจากรถแล้วเดินออกไปยังสถานีขนส่งแห่งนี้อย่างไม่สนใจใครเลย (ต้องทำแบบช่ำชองไม่วอกแวกถ้าไม่อยากโดนตื้อ) แล้วเราก็ทำสำเร็จไม่มีใครมารุมมาตื้อเราเลย จากความชำนาญของเราตั้งแต่ไปเวียดนามที่ใครๆก็บอกว่า พวกตื้อเยอะมาก จนมาถึงพม่าที่ในอินเตอร์เน็ตหรือหนังสือนำเที่ยวมักจะพูดถึงเรื่องโดนรุมโดนตื้อจนรำคาญ เราไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนั้นค่ะ


เราเดินไปที่ถนนใหญ่ตรงบริเวณทางเข้าออมิงกาลาบัสเทอมินอล จะมีลานจอดรถบัสอยู่ (จำได้เคยมาแล้ว) เรายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำยังไงกับชีวิตตอนนี้ ก็เลยไปนั่งบริเวณนั้นกินขนมปังที่ได้รับแจกมา นั่งรอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น อากาศที่ย่างกุ้งตอนเช้าเย็นมากๆจนน่าตกใจเลย นั่งมองความเป็นไปบนถนนไปได้ครู่เดียวทันใดนั้นก็คิดได้ว่า ถ้าไม่รีบเข้าเมืองรถจะติดมากๆ เราก็เลยรีบข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม เพื่อนั่งรถสาย 43 เข้าไปที่เจดีย์สุเลพญา เราคิดว่าเราทำทุกอย่างได้ช่ำชองมากเลยนะ ... 
รถเมล์พาเราเข้าเมืองมาพร้อมกับความรู้สึกเริ่มใจชื้นขึ้น เริ่มมีแดดแล้ว เริ่มสว่างแล้ว แสงแดดส่องเข้าที่ใบหน้า ผ่านทะเลสาบอินยา (บ้านของนางอองซาน ซูจี ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแห่งนี้) ผ่านสวนสัตว์ จนมาถึงเจดีย์สุเลพญา มิงกาลาบา ย่างกุ้ง เจอกันอีกแล้วนะ !!

ความทรงจำเมื่อวันที่  10-17 กุมภาพันธ์ 2559
วันที่เหงาๆ มีพบและมีจาก ไม่มีอะไรนอกจากเดินทาง 
by Mei

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Show Comments: OR

Flickr Images